ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2021 ตอนที่ 2
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 26 มี.ค. 64 00:00
- 12,605 อ่าน
เข้าสู่ฤดูกาลใหม่ของการแข่งขันรถสูตร 1 Formula 1 หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า F1 กันอีกแล้ว เรามาดูกันหน่อยดีกว่าว่า 10 ทีม 20 นักแข่งที่ลงชิงชัยในปีนี้มีใครบ้าง ติดตามกันได้เลย
Scuderia Ferrari Mission Winnow
ทีมเก่าแก่ที่ลงสนามแข่งทางเรียบเกือบทุกรายการอย่าง Ferrari อยู่ในการแข่งขันรถสูตร 1 F1 มาเป็นระยะเวลานานแล้ว เริ่มร่วมทำการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 1950 ถือเป็นฤดูกาลแรกที่ใช้ชื่อการแข่งขันรถยนต์ที่นั่งเดียวว่า Formula 1 เลย มีสำนักงานใหญ่อยู่ในอิตาลีเช่นเดียวกับรถของ Ferrari ถือเป็นทีมที่คว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาได้มากที่สุด ทั้งในส่วนของทีมผู้สร้างและนักขับ โดยคว้าแชม์ทีมผู้สร้างไป 16 ครั้ง (1961, 1964, 1975, 1976, 1977, 1979, 1982, 1983, 1999, 2000, 2001, 2002, 2003, 2004, 2007, 2008) และนักขับไป 15 ครั้ง (1952, 1953, 1956, 1958, 1961, 1964, 1975, 1977, 1979, 2000, 2001, 2002, 2003, 2004, 2007) โดยใช้เครื่องยนต์เฟอร์รารี่ทำการแข่งขันมาโดยตลอด ส่วนฤดูกาลล่าสุด คือปีที่ทีมตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย มีแต่เรื่องไม่บันเทิงใจ ทั้งการไม่ต่อสัญญากับนักแข่งอดีตแชมปโลก Sebastian Vettel, รถวิ่งช้ากว่าปีก่อนอย่างชัดเจน การไม่ลงรอยกันระหว่างทีมต่อ Sebastian Vettel และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้จากทีมระดับหัวแถว กลายเป็นทีมกลางตารงเฉยเลย จบฤดูกาล 2020 เพียงอันดับที่ 6 เท่านั้น และไม่มีสนามไหนเป็นแชมป์ได้เลย
Scuderia Ferrari Mission Winnow มีผู้อำนวยการทีมชื่อ Mattia Binotto อายุ 51 ปีเป็นชาวอิตาลี เข้าร่วมทีมตั้งแต่ปี 1995 ในฐานะทีมงานวิศวกรเครื่องยนต์ ก่อนที่จะได้รับการโปรโมทให้เป็นนายใหญ่ของทีมในปี 2019 แทนที่ Maurizio Arrivabene ที่ลาออกไป
นักแข่ง
Charles Leclerc
นักขับดาวรุ่งชาวโมนาโกอายุ 23 ปี Charles Leclerc เริ่มไต่เต้ามาตั้งแต่โกคาร์ท, F3 จนมาถึงปี 2016 ก็เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันรถสูตร 1 โดยเริ่มจากการได้เป็นนักขับใน Ferrari Driver Academy ที่เป็นสถาบันในการปั้นนักแข่งเยาวชนป้อนสู่ทีมใหญ่ทั้ง Haas F1 Team และ Scuderia Ferrari และเริ่มขับทดสอบให้กับ Haas ในรายการ 2016 British Grand Prix ซึ่งหลายคนก็คาดการณ์ว่า เขาคงได้เข้าสู่ทีมนี้แน่ แต่ในที่สุด Guenther Steiner ผู้อำนวยการทีมช่วงนั้นบอกว่า Charles Leclerc ควรกลับไปเริ่มใหม่กับการแข่งขัน F2 อีกครั้งก่อน เขาก็เลยเริ่มฤดูกาล 2017 ด้วยการไปแข่งใน F2 ก่อน และปีนั้นเขาก็คว้าแชมป์ไปได้จริง ๆ จนในที่สุดทีม Alfa Romeo Sauber ก็ตัดสินในประกาศดึงเขาเข้าร่วมทีมในฤดูกาล 2018 ถึงแม้ว่าปีนั้น เขาจะไม่ได้ขึ้นโพเดียมเลย และทำคะแนนได้เพียง 39 คะแนน ได้เพียงอันดับที่ 13 จาก 20 คน แต่ฟอร์มการขับขี่ดันไปถูกใจทางทีม Ferrari เข้า จึงได้ประกาศช่วงก่อนจบฤดูกาลว่า จะดึงทาง Leclerc มาร่วมทีมเพื่อลงแข่งในฤดูกาลปี 2019 เคียงคู่กับอดีตแชมป์โลกอย่าง Sebastian Vettel แทนที่อดีตแชมป์โลกอย่าง Kimi Räikkönen ที่ถูกสลับที่ไปอยู่ทีม Alfa Romeo แทน และก็เป็นปีที่เขาระเบิดฟอร์มแบบไม่เกรงใจเบอร์ 1 อย่าง Vettel เลย เพราะสามารถขึ้นโพเดียมได้ถึง 10 สนาม และคว้าแชมป์ไป 2 สนาม เก็บแต้มได้เป็นอันดับที่ 4 ด้วยคะแนน 264 คะแนน มากกว่าเบอร์ 1 ของทีมที่เก็บไป 240 คะแนน จบที่ 5 ซึ่งจากการขับหลายสนาม เราจะเห็นได้เลยว่า Charles Leclerc ไม่ค่อยพอใจที่จะเป็นเบอร์ 2 รองจาก Vettel ทำให้มีบางครั้งได้แสดงออกมาในการขับว่าเขาไม่เห็นด้วยจากคำสั่งของทีม (Team Order) และ Vettel เองก็เช่นกัน ทำให้มีหลายสนามที่ทั้งคู่ต่างมาขับแบบเบียดกันประดุจเป็นคู่แข่งกัน ชัดเจนที่สุดคือสนามรองสุดท้ายในบราซิลที่ทั้งคู่เกี่ยวกันเองจนยางระเบิด ต้องออกจากการแข่งขันไปพร้อมกัน สร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นในทีมอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายแล้วเมื่อฤดูกาลก่อน ทีมมีความชัดเจนด้วยการไม่ต่อสัญญากับ Vettel ทำให้ Leclerc มาเป็นมือ 1 ให้กับทีมทันที แต่ถือเป็นปีที่ย่ำแย่อย่างมาก ด้วยความที่รถมีสมรรถนะตกลงอย่างชัดเจน ทำให้เขาทำได้ดีที่สุดแค่อันดับ 2 ในสนามแรก เก็บไปได้เพียง 98 คะแนน จบฤดูกาลที่แสนแย่ที่อันดับ 8
Carlos Sainz
นักขับชาวสเปนวัย 26 ปี Carlos Sainz Jr. เริ่มต้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน Formula 1 ในนามนักแข่งทดสอบของทีม Red Bull และ Toro Rosso กอ่นที่จะถูกโปรโมทขึ้นเป็นนักขับหลักในทีม Scuderia Toro Rosso ประจำฤดูกาล 2015 เคียงข้างกับ Max Verstappen เริ่มสนามแรกด้วยการทำเวลาช่วงรอบคัดเลือกได้อันดับที่ 8 แต่จบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 9 ก่อนจบฤดูกาลแรกของเขาด้วยอันดับที่ 15 ถัดมาในปี 2016 จบอันดับที่ 12 ตำแหน่งที่ดีที่สุดคืออันดับที่ 6 และปีสุดท้ายที่ Toro Rosso ปี 2017 เขาขับให้กับทีมเดิมได้จนถึงสนามที่ 16 ก่อนที่จะย้ายตัวเองมาอยู่กับทีม Renault ในสนามที่เหลือ จับคู่กับ Nico Hülkenberg เริ่มต้นสนามแรกด้วยการจบอันดับที่ 7 ถือเป็นการเปิดตัวที่ดีพอประมาณ ก่อนจบฤดูกาลนี้ด้วยการทำคะแนนรวม 2 ทีมได้อันดับที่ 9 ดีที่สุดตั้งแต่ขับมา ต่อมาในปี 2018 Sainz เริ่มต้นฤดูกาลได้ดี โดยเก็บคะแนนได้ 5 จาก 6 สนามแรก โดยดีที่สุดที่สนาม Azerbaijan จบอันดับที่ 5 สุดท้ายปิดฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 10 เก็บไปได้ 53 คะแนน เป็นรองเพื่อนร่วมทีมอย่าง Hülkenberg ที่จบอันดับที่ 7 ไป และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้เขาต้องออกไปหาทีมใหม่อย่างกะทันหัน เพราะการมาของนักแข่งอย่าง Daniel Ricciardo ที่ได้ตำแหน่งในทีมไปครองอย่างแน่นอน แต่ยังโชคดีที่มีที่ว่างในทีม McLaren เพราะ Fernando Alonso เจ้าของเก้าอี้เดิมเลิกแข่งไปนั่นเอง ทำให้เขาเริ่มฤดูกาล 2019 กับทีมจากแดนอังกฤษ สร้างผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง แถมยังสามารถขึ้นโพเดียมได้ในบราซิล หลังจากที่ Lewis Hamilton ผู้ที่เข้าอันดับ 3 ถูกลงโทษจากการขับรถชน Alex Albon ถือเป็นครั้งแรกของ Sainz ที่ได้ตำแหน่งนี้ด้วย จบฤดูกาลด้วย 96 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 ดีที่สุดสำหรับตัวเขาเองในการขับ F1 และเริ่มมีข่าวดีเมื่อเข้าสู่กลางปี 2020 เมื่อถูกประกาศว่าจะได้ย้ายไปอยู่กับทีมหัวแถวอย่าง Ferrari ในปี 2021 เพื่อแทนที่ Sebastian Vettel และเป็นปีที่ Sainz ขับได้ดีกว่าเก่าเสียอีก สามารถเข้าเส้นชัยใน 10 อันดับแรกเป็นประจำ แถมยังจบอันดับที่ 2 ในอิตาลีได้อีกด้วย ปิดฤดูกาลได้อันดับที่ 6
Scuderia AlphaTauri Honda
Scuderia AlphaTauri Honda หรือ Scuderia Toro Rosso เดิม ทีมนี้คือทีมน้องร่วมสายเลือดกับ Red Bull Racing เลย เพราะนักแข่ง 4 คนจาก 2 ทีมนี้ สามารถสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันได้อยู่ตลอดเวลา สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อิตาลี เริ่มก่อตั้งทีมตั้งแต่ปี 2006 ด้วยการซื้อทีม Minardi ต่อมาจาก Paul Stoddart ทาง Dietrich Mateschitz ผู้เป็นเจ้าของ Red Bull เลยต้องการใช้ทีมนี้เป็นเหมือนทีมฝึกหัดเยาวชนเพื่อให้พร้อมกับการขึ้นไปสู่ทีมใหญ่ใน Red Bull Racing อีกทีหนึ่ง โดยปีแรกใช้งานนักขับอย่าง Vitantonio Liuzzi และ Scott Speed แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่ไม่เป็นใจ เลยไม่สามารถขับให้จบการแข่งขันไปหลายสนาม และทำอันดับได้ไม่ดี เลยจบฤดูกาลแรกด้วยการเก็บไปได้เพียง 1 คะแนนเท่านั้น ปี 2007 เลยตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์ไปใช้ของ Ferrari แต่ก็ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เก็บไปได้เพียง 8 คะแนน แต่ปีนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะช่วง 7 สนามสุดท้าย ก็ได้มีการเอา Sebastian Vettel เข้ามาเป็นนักขับแทน Scott Speed และทำผลงานได้ดีที่สุดถึงอันดับที่ 4 ปี 2008 Vettel เลยได้ตำแหน่งนักขับในทีมไปครอง เป็นปีที่เริ่มลืมตาอ้าปากได้ เพราะสามารถเก็บแต้มได้ถึง 39 แต้ม แถมยังคว้าแชมป์ได้อีก 1 สนาม ผลงานของ Vettel ที่รายการ Italian Grand Prix อีกด้วย ก่อนที่ภายหลังจะได้ขึ้นไปขับในทีมใหญ่ จากนั้น Toro Rosso ก็กลายเป็นทีมแรกรับของนักแแข่งเยาวชน เพื่อป้อนนักแข่งส่งให้ทีมใหญ่อีกหลากหลายคน ทั้ง Daniel Ricciardo, Daniil Kvyat, Max Verstappen, Pierre Gasly, Alexander Albon หรือแม้กระทั่ง Carlos Sainz Jr. ที่ไม่เคยขึ้นไปขับทีมใหญ่ แต่ย้ายไปขับให้ Renualt และ Mclaren ก็เคยอยู่ในทีมนี้มาก่อนเช่นกัน ปีล่าสุด 2020 สามารถเก็บคะแนนรวมไปได้ 107 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 และที่จดจำมากที่สุดก็คือสามารถขึ้นไปคว้าแชมป์ได้ 1 สนามอีกด้วย ปัจจุบันใช้เครื่องยนต์ของ Honda เป็นขุมกำลังเช่นเดียวกับทีมใหญ่
Scuderia AlphaTauri Honda ปัจจุบันมี Franz Tost ชาวออสเตรียวัย 65 ปีช่วยดูแลเป็นผู้อำนวยการทีมอยู่ แต่ก็มี Dr. Helmut Marko มาช่วยดูแลอยู่เช่นกัน
นักแข่ง
Pierre Gasly
นักขับวัยรุ่นดวงใหม่วัย 25 ปี Pierre Gasly เป็นชาวฝรั่งเศส ที่เติบโตมาจาก Red Bull Junior Team เช่นกัน เริ่มเข้ามาอยู่ในวงการรถสูตร 1 ได้ตั้งแต่ปี 2015 ด้วยการเป็นนักขับสำรองให้กับทีม Red Bull Racing ก่อนที่ในปี 2017 ช่วงปลายฤดูกาล เขาได้โปรโมทขึ้นเป็นนักขับหลักให้กับทีมเล็ก Toro Rosso แทนที่ Daniil Kvyat ลงแข่งรวม 5 สนาม แต่ไม่สามารถเก็บคะแนนได้เลย ปีต่อมา ฤดูกาล 2018 ได้การันตีอยู่ในทีมเดิมต่อไป โดยเปลี่ยนคู่หูใหม่เป็น Brendon Hartley โดยเปิดตัวได้อย่างดี สามารถคว้าอันดับ 4 ได้ใน Bahrain Grand Prix ก่อนที่จะจบฤดูกาลไปด้วย 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 15 ปีต่อมาจึงได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ด้วยการถูกดึงขึ้นไปขับให้กับทีมใหญ่ Red Bull Racing เคียงคู่กับ Max Verstappen แต่ด้วยฟอร์มที่ไม่ดี และรับแรงกดดันไม่ไหว ไม่สามารถขึ้นไปกดดันกลุ่มทีมนำได้เลย จนถึงช่วงเบรกพักครึ่งฤดูกาล Christian Horner ผู้อำนวยการทีมจึงตัดสินในลดชั้น Pierre Gasly ลงไปอยู่ทีม Toro Rosso เช่นเดิม แล้วให้ Alex Albon ขึ้นมาขับทีมใหญ่แทน ซึ่งหลังจากนั้นก็ถือว่าเขาสามารถงัดฟอร์มที่ดีกลับมาได้อีกครั้ง โดยสามารถทำผลงานได้ดีที่สุดในบราซิล ด้วยการขึ้นโพเดียมด้วยการเป็นอันดับที่ 2 เป็นครั้งแรกในชีวิตในการแข่งขัน F1 เลย จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 95 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 และได้ที่นั่งในทีมเดิมต่อไป และปี 2020 คือปีที่ดีที่สุดของเขาเลย เพราะสามารถระเบิดฟอร์มได้อย่างเต็มที่ มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม คว้าแชมป์ไปได้ 1 รายการที่ Monza และเก็บแต้มได้สม่ำเสมอ สุดท้ายจบฤดูกาลไปที่อันดับที่ 10 สุดท้ายแล้วความหวังในการกลับไปนั่งในทีม Red Bull Racnig ก็ยังไม่เป็นจริง เมื่อทีมใหญ่ยังมองว่าเขาเหมาะกับทีมเล็กมากกว่า
Yuki Tsunoda
หนุ่มน้อยชาวญี่ปุ่นวัย 20 ปี ที่เริ่มไต่เต้าความสำเร็จมาตั้งแต่วัย 16 กับการเข้ามาแข่งขันในรายการ Formula 4 ในญี่ปุ่น จากการเป็นนักเรียนในสังกัด Honda's Suzuka Circuit Racing School แล้วได้มาอยู่ในโครงการ Honda Formula Dream Project จบการแข่งขันสนามแรกด้วยอันดับที่ 2 และจบอันดับ 4 ในสนามที่ 2 ด้วยความมีฝีมือ จึงมีโอกาสได้เข้าร่วมทีม Red Bull junior team จนจบปี 2018 แล้วขยับตำแหน่งขึ้นมาขับ F3 ในปี 2019 กับทีม Jenzer Motorsport ซึ่งก็สามารถโชว์ฟอร์มได้ดีด้วยการเก็บคะแนนได้ทุกสนาม ได้แชมป์ 1 สนาม และขึ้นโพเดียมอีก 3 ครั้ง จากนั้นในปี 2020 ก็ได้ขยับขึ้นมาขับรายการ FIA Formula 2 Championship กับทีม Carlin คว้าแชมป์ไปได้ 3 สนาม, 4 Pole-Position, 7 โพเดียม จบฤดูกาลในอันดับที่ 3 จนได้รับโอกาสในการเป็นนักขับหลักของทีม Scuderia AlphaTauri Honda ในปี 2021 แทนที่ของ Daniil Kvyat
Alfa Romeo Racing ORLEN
ถึงแม้ว่าแบรนด์รถยนต์ Alfa Romeo จะมีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส ก่อนที่ภายหลังจะถูกค่ายจากอิตาลีซื้อไป แต่กับทีม Alfa Romeo Racing นั้นต่างออกไป เพราะถูกดูแลโดยทีมงานของ Sauber Motorsport AG จากสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้นฐานสำนักงานใหญ่จึงอยู่ที่เมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์ เริ่มต้นการเข้าร่วมการแข่งขัน Formula 1 ตั้งแต่ปี 1950 - 1951 นักแข่งสามารถคว้าแชมป์ไปได้ทั้ง 2 ปี (Giuseppe Farina ปี 1950, Juan Manuel Fangio ปี 1951) ก่อนที่จะหยุดไปเพราะประสบปัญหาเรื่องการเงิน หลังจากนั้นหลายปี ก็เริ่มกลับมาแข่งขันใหม่อีกครั้งในปี 1979 ใช้ชื่อทีมว่า Alfa Romeo 177 เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford/Cosworth เป็นขุมกำลัง ซึ่งทีมก็ลงทำการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ก่อนที่จะจบฤดูกาลสุดท้ายเมื่อปี 1985 จนถึงฤดูกาล 2018 ทาง Alfa Romeo ก็ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับทีม Sauber เป็นการกลับมาในวงการ F1 ใหม่อีกครั้ง แล้วใช้ชื่อทีมเป็น Alfa Romeo Sauber F1 Team และเปลี่ยนเครื่องยนต์จาก Honda ให้มาเป็น Ferrari ใช้นักขับเป็น Charles Leclerc กับ Marcus Ericsson จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 มี 48 คะแนน และเมื่อปี 2019 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Alfa Romeo Racing อย่างเป็นทางการ มีนักขับอย่าง Kimi Räikkönen และ Antonio Giovinazzi เป็นกำลังหลัก และยังคงใช้เครื่องยนต์ของ Ferrari ต่อไป ปิดฤดูกาลล่าสุดด้วยการมีเพียง 8 คะแนน ได้อันดับ 8 ไป
Alfa Romeo Racing ORLEN มี Frédéric Vasseur ชายวัย 52 ปีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้อำนวยการทีม รับหน้าที่มาตั้งแต่ปี 2017
นักแข่ง
Kimi Räikkönen
นักแข่งรุ่นเก๋าวัย 41 ปีอย่าง Kimi Räikkönen ชาวฟินแลนด์ อดีตแชมป์โลกตั้งแต่ปี 2007 สมัยยังขับให้กับทีม Scuderia Ferrari เริ่มต้นเข้าสู่วงการ F1 ตั้งแต่ปี 2001 กับการอยู่ในทีม Sauber เปิดปีแรกด้วยการเก็บได้ 9 คะแนน เป็นอันดับที่ 10 ก่อนที่ปีต่อมาจะย้ายไปอยู่กับ McLaren เปิดสนามแรกก็สร้างความฮือฮาด้วยการจบอันดับ 3 ในการแข่งขันที่ออสเตรเลีย แต่ด้วยที่ส่วนใหญ่จะแข่งไม่จบ ทำให้ฤดูกาล 2002 ทำได้ 24 คะแนนเท่านั้น เป็นอันดับที่ 6 เพราะขับจบเพียงแค่ 6 สนาม เขายังขับให้กับทีมนี้จนถึงปี 2006 ดีที่สุดคือการเกือบคว้าแชมป์โลกไปได้ในปี 2003 ด้วยการแพ้ Michael Schumacher ไปเพียง 2 คะแนน และปี 2005 ที่แพ้ Fernando Alonso ไป 21 คะแนน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจย้ายทีมไปร่วมกับ Ferrari ในปี 2007 และเพียงปีแรก เขาก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ทันที ด้วยการเอาชนะ Lewis Hamilton ไปเพียงแต้มเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มฟอร์มตกลงเรื่อย ๆ จนต้องหยุดการแข่งขันไป 2 ปี ช่วง 2010 - 2011 แต่พอถึงปี 2012 Lotus ก็ไปดึงเขากลับมาแข่งใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็สามารถสร้างฟอร์มเก่งได้ ด้วยการจบเป็นที่ 3 ด้วย 207 คะแนน และอันดับที่ 5 กับ 183 คะแนนในปี 2013 กับการแข่งไปได้เพียง 17 จาก 19 สนาม เพราะมีปัญหากับทีมงาน เขาได้ประกาศยุติการขับให้กับทีมนี้เป็นต้นไป ดังนั้นในปี 2014 เขาได้ย้ายกลับไปสู่ที่ Ferrari อีกครั้ง ด้วยการขับคู่กับ Fernando Alonso แต่ก็สร้างผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะทำได้เพียง 55 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 12 เท่านั้น เขายังคงขับให้ Ferrari อย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2018 ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม Alfa Romeo Racing ในฤดูกาล 2020 จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งอันดับที่ 16 เก็บได้เพียง 4 คะแนน แต่ยังคงเป็นนักขับหลักให้ทีมต่อไปในฤดูกาล 2021
Antonio Giovinazzi
นักขับชาวอิตาลีวัย 27 ปี Antonio Giovinazzi เริ่มต้นการขับรถสูตร 1 ในปี 2017 กับทีม Sauber โดยทำการลงแข่งแทน Pascal Wehrlein ที่บาดเจ็บในสนามแรก ในปีนั้น Giovinazzi มีโอกาสได้โชว์ฝีมือเพียง 2 สนาม คือ Australian Grand Prix จบในอันดับ 12 และที่ Chinese Grand Prix ที่เกิดอุบัติเหตุจนไม่จบการแข่งขัน และไม่ได้โอกาสอีกเลยในปีนั้น และปี 2018 ก็เป็นนักแข่งสำรองทั้งปี จนในที่สุดฤดูกาล 2019 ทาง Alfa Romeo Racing (Sauber เปลี่ยนชื่อ) ก็ได้ประกาศให้เขามาเป็นนักขับหลักให้กับทีม แต่ก็ยังไม่ได้มีฟอร์มที่ดีสักเท่าไหร่ ผลงานดีที่สุดคือที่บราซิล จบอันดับที่ 5 ปิดฤดูกาลด้วยอันดับที่ 17 ด้วยการเก็บได้เพียง 14 คะแนน ฤดูกาลล่าสุด 2020 ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเก็บได้เพียง 4 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 17 เท่านั้น แต่ก็ยังคงได้เป็นนักขับหลักต่อไปในปี 2021
Haas F1 Team
ทีมสายเลือดอเมริกัน Haas เริ่มต้นทีมด้วยการเป็นทีมแข่ง Nascar ในสหรัฐฯ ก่อนที่จะเริ่มเข้ามาร่วมลงแข่งรถสูตร 1 ในปี 2016 มีฐานใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ ก่อตั้งทีมโดย Gene Haas เจ้าของ Haas Automation ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรกลโรงงาน เริ่มต้นฤดูกาลแรกด้วยการใช้นักแข่งอย่าง Romain Grosjean และ Esteban Gutiérrez แค่สนามแรกในรายการ Australian Grand Prix นักขับอย่าง Grosjean สามารถเข้าเส้นชัยได้ในอันดับที่ 6 เก็บไป 8 แต้มให้กับทีม ถือเป็นทีมผู้สร้างจากอเมริกาทีมแรกที่สามารถคว้าแต้มใน F1 ได้ และเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก Toyota Racing ที่สามารถเก็บคะแนนได้ตั้งแต่ลงสนามครั้งแรกเมื่อปี 2002 และยังจบอันดับที่ 5 ในสนามต่อมาอีกด้วย เปิดปีแรกไปอย่างสวยงาม กับ 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 8 จาก 11 ทีม และปี 2017 ได้สลับตำแหน่งนักขับด้วยการเอา Kevin Magnussen มาแทนที่ Gutiérrez แล้วก็เปิดหัวได้อย่างดี โดยเฉพาะที่โมนาโก เมื่อนักขับทั้ง 2 คนสามารถเก็บแต้มให้ทีมได้ทั้งคู่ (อันดับ 8 และ 10) จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งเดิม เพิ่มเติมด้วยแต้มที่มากขึ้นเป็น 47 คะแนน แต่พอเข้ามาปี 2018 กลับเปิดหัวด้วยฝันร้ายในรายการที่ออสเตรเลีย โดยขณะที่แข่งอยู่นั้น Magnussen และ Grosjean กำลังอยู่ในอันดับที่ดี คือที่ 4 และที่ 5 แต่ความผิดพลาดใน Pit Stop ที่ทำการล๊อกยางไม่ดี ทำให้ทั้งคู่ต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดจะเกิดขึ้นซ้ำ 2 ครั้งในรอบเดียวได้ แต่สุดท้ายแล้วทั้ง 2 คนก็ค่อย ๆ ไล่เก็บคะแนนได้เรื่อย ๆ จนสุดท้ายปิดฤดูกาลไปด้วย 93 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 5 เป็นผลงานที่ดีที่สุดอย่างน่าประหลาดใจสำหรับทีมน้องใหม่ที่ลงแข่งเพียงไม่กี่ปี แต่ปีล่าสุด ฤดูกาล 2019 มันคือฝันร้ายของ Haas ถึงแม้จะใช้นักแข่งคู่เดิม แต่ผลงานกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด จบฤดูกาลไปด้วยเพียงอันดับที่ 9 มี 28 คะแนนเท่านั้น อันดับที่ดีที่สุดคืออันดับ 7 ในสนามที่สเปนกับฮังการี ทำเอาเจ้าของทีมอย่าง Gene Haas หัวเสียไปเลย แต่เท่านั้นยังไม่แย่พอ เพราะทีมยังฟอร์มตกอย่างถึงที่สุด กับการเก็บได้เพียง 3 คะแนนเท่านั้น จบในอันดับรองบ๊วย แถมยังประสบปัญหาการเงินอีก ทำให้ปีนี้จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแบบยกทีม
Haas F1 Team ใช้บริการเครื่องยนต์ของ Ferrari อยู่ โดยมี Günther Steiner ชาวอิตาลีวัย 55 ปีเป็นผู้อำนวยการทีมตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นทีมงานให้กับ Red Bull Racing มาก่อน
นักแข่ง
Mick Schumacher
นักขับชาวเยอรมันวัย 22 ปี ลูกชายของอดีตแชมป์โลก 7 สมัย Michael Schumacher แต่ Mick Schumacher เองก็คงอยากสร้างเกียรติประวัติของตัวเอง เริ่มต้นเข้าวงการรู Formula ด้วยการเข้าเป็นนักแข่งทดสอบให้กับทีม Jenzer Motorsport ในการแข่งขัน Formula 4 ในปี 2014 แล้วขยับขึ้นมาขับแข่งจริงในปี 2015 ก่อนที่ปี 2016 จะขยับคลาสขึ้นมาขับ Formula 3 ในรายการที่ประเทศอินเดียก่อน จนจบอันดับที่ 3 แล้วขยับขึ้นมาขับในรายการ FIA Formula 3 European Championship ในทีม Prema Powerteam จบฤดูกาลปี 2017 ไปด้วยอันดับที่ 12 ดีที่สุดคือการขึ้นโพเดียมเป็นอันดับที่ 3 ที่ Monza และเริ่มฤดูกาลปี 2018 ด้วยความย่ำแย่ โดยครึ่งฤดูกาลแรกเขาเก็บคะแนนอยู่เป็นอันดับที่ 10 เท่านั้น แต่จากนั้นก็เริ่มเก็บคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ เก็บชัยไปได้ 8 สนาม, 14 โพเดียม, 7 Pole-Position และ 4 fastest laps ทำให้ปี 2019 Mick Schumacher ได้ขยับขึ้นไปขับรายการ FIA Formula 2 Championship และจบฤดูกาลไปด้วยเพียงอันดับที่ 12 แต่ฤดูกาลต่อมาคือปี 2020 Mick Schumacher ก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงขับให้กับทีม Prema เช่นเคย แล้วสามารถคว้าแชมป์ไปครองจนได้ สุดท้ายก็ได้สัญญาเป็นนักขับให้กับทีม Haas F1 Team ในฤดูกาล 2021
Nikita Mazepin
นักขับชาวรัสเซียวัย 22 ปี Nikita Mazepin ที่ถูกครหามาตั้งแต่วันที่เข้าร่วมทีมเพราะเขาเป็นลูกชายของ Dmitry Mazepin ผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นประธานใหญ่ในบริษัท Uralchem Integrated Chemicals Company ที่มาเป็นผู้สนับสนุนของทีม Haas และทำให้ทีมต้องเอา Nikita Mazepin มาเป็นนักขับให้กับทีม เรียกได้ว่าสตอรี่เดียวกันกับ Lance Stroll เลย แต่ถ้ามองไปดูความสามารถในอดีต ก็ไม่ได้ถึงกับแย่ เพราะ Mazepin เข้าสู่การแข่งขัน Formula 3 European Championship เมื่อปี 2016 กับทีม Hitech Grand Prix ก่อนจบฤดูกาลแรกได้ด้วยอันดับที่ 20 ด้วย 10 คะแนน แต่ทำได้ดีมากขึ้นในฤดูกาลต่อมา กับการเก็บได้ 108 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 10 และปีต่อมาก็ขยับข้ามไปขับในรายการ GP3 Series ประจำฤดูกาล 2018 กับทีม ART Grand Prix เขาคว้าชัยไปได้ 4 สนาม จบเป็นอันดับที่ 2 ตามหลังแชมป์โลกและเพื่อนร่วมทีม Anthoine Hubert เพียง 16 คะแนนเท่านั้น จนในปี 2019 Mazepin ก็กับมาสู่การแข่งขัน FIA Formula 2 Championship ภายใต้ทีม ART Grand Prix แต่ก็ทำผลงานได้ไม่ค่อยดี กับการจบที่อันดับ 18 ด้วย 11 คะแนน แต่ปี 2020 คือคนละเรื่อง เพราะเขาได้ย้ายทีมไปอยู่กับ Hitech Grand Prix Team แล้วเก็บไปได้ 164 คะแนน จบในอันดับที่ 5 และในที่สุดก็ได้สัญญาการขับให้กับทีม Haas ในฤดูกาล 2021
Williams Racing
ถือเป็นอีกปีที่มีการเปลี่ยนแปลงในทีม Williams Racing อย่างมากมาย โดยทีมนี้เริ่มต้นก่อตั้งทีมแล้วเข้าร่วมแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 1977 โดย Sir Frank Williams เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford-Cosworth แต่ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลยในช่วงปีแรก แต่มาเริ่มสะสมความยิ่งใหญ่ในปี 1980 เมื่อได้นักขับอย่าง Alan Jones กับ Carlos Reutemann มาช่วยเก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ จนคว้าแชมป์ไปได้ทั้งฐานะทีมผู้สร้างและนักขับ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้แล้ว และมีการเก็บแชมป์โลกในรางวัลทีมผู้สร้างไปรวม 9 ครั้ง (1980, 1981, 1986, 1987, 1992, 1993, 1994, 1996, 1997) และในรางวัลนักขับอีก 7 ครั้ง (1980, 1982, 1987, 1992, 1993, 1996, 1997) ทั้ง Alan Jones, Keke Rosberg, Nelson Piquet, Nigel Mansell, Alain Prost, Damon Hill และคนสุดท้ายที่สร้างความสำเร็จได้คือ Jacques Villeneuve ซึ่งขับรถสูตร 1 เป็นปีที่ 2 เท่านั้นก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้เลย แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผลงานของทีม Williams ก็ไม่สามารถขยับขึ้นไปใกล้กับคำว่าแชมป์โลกได้อีกเลย โดยมีการเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์หลายหลายยี่ห้อ โดยปี 1998 ใช้ของ Mecachrome, ปี 1999 ใช้ของ Supertec, ปี 2000-2005 ใช้ของ BMW, ปี 2006 กลับมาใช้ของ Cosworth อีกครั้ง ปีต่อมาเปลี่ยนเป็นของ Toyota ใช้ต่อเนื่องจนถึงปี 2010-2011 กลับมาใช้ของ Cosworth อีก ปี 2012–2013 หันไปใช้ของ Renault ก่อนที่จะถึงปี 2014 จะหันมาใช้ของ Mercedes-Benz ซึ่งยังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ฤดูกาลล่าสุดคือความตกต่ำสุดขีดของทีม Williams Racing เพราะจากการแข่งขันไป 21 สนาม ทีมสามารถเก็บได้เพียงคะแนนเดียว จากการแข่งขันในเยอรมนี ที่ Robert Kubica สามารถเข้าเส้นชัยได้เป็นอันดับที่ 10 ท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก วิ่งเข้าเส้นชัยได้เพียงแค่ 13 คันจาก 20 คันเท่านั้นเอง แถมนักแข่งจากทีม Alfa Romeo ยังถูกปรับเพิ่มอีก 30 วินาที จากการทำผิดกฎเรื่องระบบช่วยเหลือตอนออกสตาร์ทอีกด้วย และผลงานของฤดูกาล 2020 ยิ่งย่ำแย่ไปใหญ่ ไม่สามารถเก็บได้แม้แต่คะแนนเดียว สุดท้ายเมื่อช่วงกลางฤดูกาล จึงได้มีการเปลี่ยนมือจากกลุ่มตระกูล Williams ไปสู่มือของกลุ่มทุนในสหรัฐฯ Dorilton Capital ที่เข้ามาดูแลทีมต่อไปด้วยจำนวนเงิน 152 ล้านยูโร หรือประมาณ 5,500 ล้านบาท
แน่นอนว่า ทีม Williams Racing ถูกดูแลโดยคนในตระกูล Williams มายาวนาน 43 ปี ทั้ง Sir Frank Williams ผู้ก่อตั้งทีมและ Claire Williams ที่มาดูแลในภายหลัง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าของแล้ว ทีมจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลทีมใหม่ โดยมีการมอบหมายให้ Simon Roberts ชาวอังกฤษวัย 59 ปี มาเป็นผู้อำนวยการทีม โดยเขาอยู่ในวงการ F1 มาตั้งแต่ปี 2009 กับทีม Force India ในฐานะประธานฝ่ายปฏิบัติการ และมาอยู่กับ Mclaren ในปี 2010 กับหน้าที่เดิม ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับ Williams ในปี 2020
นักแข่ง
George Russell
นักแข่งดาวรุ่งวัย 23 ปีชาวอังกฤษ George Russell ผลผลิตจากทีมเยาวชนของ Mercedes-AMG Petronas Motorsport อดีตแชมป์โลก Formula 2 เมื่อปี 2018 หลายคนมองว่า หลังจากคว้าแชมป์ไปได้แล้ว เขาน่าจะมีโอกาสได้ก้าวเข้าไปสู่ทีมใหญ่ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะเซ็นสัญญากับทีมระดับล่างอย่าง Williams Racing จับคู่กับ Robert Kubica นักขับวัยเก๋าในฤดูกาล 2019 แต่ก็เป็นปีที่เริ่มต้นได้อย่างแย่สุด เมื่อเขาต้องจบที่อันดับ 20 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย ทำได้ดีที่สุดคือที่สนาม German Grand Prix ในอันดับที่ 11 เท่านั้น แต่ก็ยังคงขับต่อใปในฤดูกาล 2020 กับทีมเดิม แต่โชว์ฟอร์มได้ดีมากขึ้น ทั้งการทำอันดับได้ดีมากขึ้นจากฤดูกาลแรก ไม่จบแค่อันดับบ๊วยกับรองบ๊วยต่อไป ดีที่สุดคือการเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 11 และในสนามรองสุดท้าย George Russell ก็ได้โอกาสแสดงฝีมือ กับการได้ไปขับแทน Lewis Hamilton ของ Mercedes ที่ติด Covid-19 และเป็นสนามที่เขาสามารถเก็บได้มา 3 แต้มจากการจบอันดับที่ 9 และคะแนนพิเศษ Fastest Lap ที่ในความเป็นจริงแล้ว เขาควรได้อันดับที่ดีกว่านี้มาก เพราะเกือบตลอดการแข่งขัน Russell วิ่งนำได้ดีมาตลอด จนประมาณรอบที่ 63 ที่มีการเข้ามาเปลี่ยนยาง ทีมงานใน Pit กลับพลาดยางสลับกับ Bottas จึงต้องกลับเข้ามาเปลี่ยนยางใหม่ ต้องกลับมาไล่อันดับใหม่อีกครั้ง ถ้าไม่พลาดก็เป็นได้ว่า Russell จะคว้าแชมป์แรกการแข่งขัน F1 ในชีวิตไปแล้ว
Nicholas Latifi
นักแข่งชาวแคนาดาวัย 25 ปี Nicholas Latifi นักแข่งมือใหม่ในวงการ F1 เริ่มเข้าสู่วงการนี้ตั้งแต่ปี 2016 ในฐานะนักแข่งทดสอบให้กับทีม Renault ก่อนที่ปี 2018 จะย้ายไปขับทดสอบและเป็นนักขับสำรองให้กับ Force India และในที่สุดโอกาสของเขาก็มาถึง เมื่อทีม Williams Racing ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Nicholas Latifi จะเป็นนักแข่งให้กับทีมในฤดูกาล 2020 แต่ก็ทำผลงานได้สุดย่ำแย่ จบเป็นอันดับที่ 20 ไม่สามารถเก็บคะแนนได้เลย แต่ก็ยังได้ขับต่อในปี 2021
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com