ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2020 ตอนที่ 2
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 12 มี.ค. 63 00:00
- 12,907 อ่าน
หลังจากตอนที่ 1 ได้รู้จักกับ 5 ทีมแรกไปแล้ว วันนี้เรามาทำความรู้จักกับอีก 5 ทีม 10 นักแข่งที่เหลือกันดีกว่าครับ
Scuderia Toro Rosso
Scuderia Toro Rosso ทีมนี้คือทีมน้องร่วมสายเลือดกับ Red Bull Racing เลย เพราะนักแข่ง 4 คนจาก 2 ทีมนี้ สามารถสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันได้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งคำว่า Toro Rosso เป็นภาษาอิตาลี โดย Toro หมายถึงกระทิง ส่วน Rosso แปลว่าสีแดง ดังนั้นแน่นอนว่า สำนักงงานใหญ่ตั้งอยู่ที่อิตาลีอย่างแน่นอน เริ่มก่อตั้งทีมตั้งแต่ปี 2006 ด้วยการซื้อทีม Minardi ต่อมาจาก Paul Stoddart ทาง Dietrich Mateschitz ผู้เป็นเจ้าของ Red Bull เลยต้องการใช้ทีมนี้เป็นเหมือนทีมฝึกหัดเยาวชนเพื่อให้พร้อมกับการขึ้นไปสู่ทีมใหญ่ใน Red Bull Racing อีกทีหนึ่ง โดยปีแรกใช้งานนักขับอย่าง Vitantonio Liuzzi และ Scott Speed แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่ไม่เป็นใจ เลยไม่สามารถขับให้จบการแข่งขันไปหลายสนาม และทำอันดับได้ไม่ดี เลยจบฤดูกาลแรกด้วยการเก็บไปได้เพียง 1 คะแนนเท่านั้น ปี 2007 เลยตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์ไปใช้ของ Ferrari แต่ก็ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เก็บไปได้เพียง 8 คะแนน แต่ปีนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เพราะช่วง 7 สนามสุดท้าย ก็ได้มีการเอา Sebastian Vettel เข้ามาเป็นนักขับแทน Scott Speed และทำผลงานได้ดีที่สุดถึงอันดับที่ 4 ปี 2008 Vettel เลยได้ตำแหน่งนักขับในทีมไปครอง เป็นปีที่เริ่มลืมตาอ้าปากได้ เพราะสามารถเก็บแต้มได้ถึง 39 แต้ม แถมยังคว้าแชมป์ได้อีก 1 สนาม ผลงานของ Vettel ที่รายการ Italian Grand Prix อีกด้วย ก่อนที่ภายหลังจะได้ขึ้นไปขับในทีมใหญ่ จากนั้น Toro Rosso ก็กลายเป็นทีมแรกรับของนักแแข่งเยาวชน เพื่อป้อนนักแข่งส่งให้ทีมใหญ่อีกหลากหลายคน ทั้ง Daniel Ricciardo, Daniil Kvyat, Max Verstappen, Pierre Gasly, Alexander Albon หรือแม้กระทั่ง Carlos Sainz Jr. ที่ไม่เคยขึ้นไปขับทีมใหญ่ แต่ย้ายไปขับให้ Renualt และ Mclaren ก็เคยอยู่ในทีมนี้มาก่อนเช่นกัน ปีล่าสุด 2019 สามารถเก็บคะแนนรวมไปได้ 85 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 ปัจจุบันใช้เครื่องยนต์ของ Honda เป็นขุมกำลังเช่นเดียวกับทีมใหญ่
Scuderia Toro Rosso ปัจจุบันมี Franz Tost ชาวออสเตรียวัย 64 ปีช่วยดูแลเป็นผู้อำนวยการทีมอยู่ แต่ก็มี Dr. Helmut Marko มาช่วยดูแลอยู่เช่นกัน
นักแข่ง
Daniil Kvyat
นักแข่งหนุ่มชาวรัสเซียวัย 25 ปี Daniil Kvyat หรือแฟนชาวไทยชอบเรียกว่า “พี่เขียด” เริ่มต้นเข้าสู่วงการ F1 ด้วยการเริ่มต้นกับทีม Scuderia Toro Rosso เมื่อปี 2014 ขับคู่กับ Jean-Éric Vergne โดยเข้ามาแทนที่ Daniel Ricciardo ที่ขยับขึ้นไปขับกับทีมใหญ่ Red Bull Racing เปิดตัวด้วยความสวยหรูในรายการ Australian Grand Prix ที่ทำเวลารอบคัดเลือกเป็นอันดับที่ 10 และจบการแข่งขันเป็นลำดับที่ 9 ทำลายสถิติของ Sebastian Vettel ที่เก็บคะแนนได้ตอนอายุน้อยที่สุดไปได้ และก็สามารถขับได้ดีตลอดทั้งฤดูกาล แม้ว่าจะเป็นเบอร์ 2 ในทีมเล็กก็ตาม ทำให้ปี 2015 เขาก็ได้รับการโปรโมทขึ้นไปขับทีมใหญ่ เคียงคู่กับ Ricciardo ทันที แทนที่ Vettel ที่ย้ายไปทีม Ferrari ซึ่งช่วงเริ่มต้น Kvyat ก็โชว์ฟอร์มได้ดี จากการขึ้นโพเดียมได้ในสนาม Hungarian Grand Prix ทำให้เขาเป็นนักขับอายุน้อยที่สุดอันดับ 2 ที่สามารถขึ้นโพเดียมได้ (21 ปี 91 วัน) รองจาก Vettel จบฤดูกาลแรกในทีมใหญ่ ด้วยการเก็บได้ 95 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 เอาชนะเบอร์ 1 ของทีมอย่าง Ricciardo ไปได้ 3 คะแนน แต่ต่อมาในฤดูกาล 2016 ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นได้สวย กับการคว้าอันดับ 3 ในรายการ Chinese Grand Prix แต่สนามต่อมาในบ้านเกิด Russian Grand Prix เขากลับขับรถไปชนกับ Sebastian Vettel จบอันดับที่ 15 หลังจากนั้นทีมได้ตัดสินใจดึงเขากลับลงไปขับให้กับทีม Toro Rosso ใหม่อีกครั้ง แล้วเอา Max Verstappen ขึ้นมาขับแทน หลังจากนั้นเป็นต้นมา พี่เขียดก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มที่ดีออกมาได้เลย โดยฤดูกาล 2016 ทำได้ดีที่สุดคืออันดับ 9 เก็ยรวมไปได้ 25 คะแนน เป็นอันดับที่ 14 ปี 2017 เก็บได้ 5 คะแนน ซึ่งเป็นปีที่นักแข่งในทีมถูกสลับกันเป็นว่าเล่น โดย Kvyat ได้ขับในสนาม 1-14 และ 17 เท่านั้น สุดท้าย Dr. Helmut Marko ก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Kvyat จะไม่ได้อยู่ในทีมอีกต่อไปในปี 2018 ซึ่งเขาก็ได้เข้าไปร่วมงานกับทีม Ferrari ในฐานะนักขับส่วนงานพัฒนา แต่สุดท้ายในปี 2019 ทาง Toro Rosso ก็ไปดึงตัวเขากลับมาอีกครั้ง โดยมาขับคู่กับ Alexander Albon แต่ก็ไม่สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นได้เช่นเคย จบฤดูกาลด้วย 37 คะแนน เป็นอันดับที่ 13 แต่ยังคงได้เป็นนักขับในทีมเดิมต่อไปในปี 2020 แต่เชื่อได้ว่า เก้าอี้ของเขาคงไม่มั่นคงอย่างแน่นอน ถ้ายังไม่สามารถระเบิดฟอร์มที่ดีกว่าเดิมได้
Pierre Gasly
นักขับวัยรุ่นดวงใหม่วัย 24 ปี Pierre Gasly เป็นชาวฝรั่งเศส ที่เติบโตมาจาก Red Bull Junior Team เช่นกัน เริ่มเข้ามาอยู่ในวงการรถสูตร 1 ได้ตั้งแต่ปี 2015 ด้วยการเป็นนักขับสำรองให้กับทีม Red Bull Racing ก่อนที่ในปี 2017 ช่วงปลายฤดูกาล เขาได้โปรโมทขึ้นเป็นนักขับหลักให้กับทีมเล็ก Toro Rosso แทนที่ Daniil Kvyat ลงแข่งรวม 5 สนาม แต่ไม่สามารถเก็บคะแนนได้เลย ปีต่อมา ฤดูกาล 2018 ได้การันตีอยู่ในทีมเดิมต่อไป โดยเปลี่ยนคู่หูใหม่เป็น Brendon Hartley โดยเปิดตัวได้อย่างดี สามารถคว้าอันดับ 4 ได้ใน Bahrain Grand Prix ก่อนที่จะจบฤดูกาลไปด้วย 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 15 ปีต่อมาจึงได้รับโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ด้วยการถูกดึงขึ้นไปขับให้กับทีมใหญ่ Red Bull Racing เคียงคู่กับ Max Verstappen แต่ด้วยฟอร์มที่ไม่ดี และรับแรงกดดันไม่ไหว ไม่สามารถขึ้นไปกดดันกลุ่มทีมนำได้เลย จนถึงช่วงเบรกพักครึ่งฤดูกาล Christian Horner ผู้อำนวยการทีมจึงตัดสินในลดชั้น Pierre Gasly ลงไปอยู่ทีม Toro Rosso เช่นเดิม แล้วให้ Alex Albon ขึ้นมาขับทีมใหญ่แทน ซึ่งหลังจากนั้นก็ถือว่าเขาสามารถงัดฟอร์มที่ดีกลับมาได้อีกครั้ง โดยสามารถทำผลงานได้ดีที่สุดในบราซิล ด้วยการขึ้นโพเดียมด้วยการเป็นอันดับที่ 2 เป็นครั้งแรกในชีวิตในการแข่งขัน F1 เลย จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 95 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 และได้ที่นั่นงในทีมเดิมต่อไป
BWT Racing Point Formula One Team
ทีมนี้เรียกกันง่าย ๆ ว่า Racing Point เป็นทีมที่รับช่วงมาจาก Force India ที่เจ้าของทีมเดิมอย่าง Vijay Mallya เจอกับข้อหาก่ออาชญากรรมทางการเงินในอินเดีย โดยผู้รับช่วงต่อเป็นนักธุรกิจชาวแคนาดาที่ชื่อว่า Lawrence Stroll ที่ล่าสุดเขาได้เข้าไปซื้อหุ้น Aston Martin เป็นจำนวน 20% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมเปลี่ยนชื่อทีมเป็น Aston Martin ในฤดูกาล 2021 และจะไม่มีชื่อนี้ในฐานะผุ้สนับสนุนทีม Red Bull Racing อีกต่อไปเช่นกัน โดยปัจจุบัน Racing Point ใช้บริการเครื่องยนต์ของ BWT Mercedes อยู่ จบฤดูกาล 2019 ด้วยอันดับที่ 7 มี 73 คะแนน
BWT Racing Point Formula One Team มีฐานสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศอังกฤษ มี Otmar Szafnauer ชายชาวโรมาเนียอายุ 55 ปี เป็นผู้อำนวยการทีม
นักแข่ง
Lance Stroll
แน่นอนว่า ในเมื่อพ่อของเขาเป็นเจ้าของทีม ลูกชายอย่าง Lance Stroll ชายหนุ่มชาวแคนาดาวัย 21 ปี ก็ต้องมาขับให้กับทีมของพ่อตัวเองอย่างแน่นอน แต่จุดเริ่มต้นชีวิตในวงการ F1 ไม่ได้เริ่มต้นที่นี่ แต่ไปเริ่มกับทีม Williams ตั้งแต่ปี 2017 ถึงแม้ว่าจะโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีใน 3 สนามแรก เพราะไม่สามารถจบการแข่งขันได้เลย แต่ที่สนาม 4 ในรัสเซีย เขาก็สามารถขับจบการแข่งขันได้เป็นครั้งแรก โดยเข้าเป็นอันดับที่ 11 แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มขับได้ดีขึ้น โดยตำแหน่งดีที่สุดคือการที่สามารถขึ้นโพเดียมได้ใน Azerbaijan Grand Prix จบเป็นอันดับที่ 3 ที่ตอนนั้นมีอายุเพียง 18 ปี 239 วันเท่านั้น จบฤดูกาลแรกด้วยการเก็บได้ 40 คะแนน ได้อันดับที่ 12 ไป ต่อมาในฤดูกาล 2018 Stroll ยังคงขับให้ Williams ต่อไปเช่นเดิม ถึงแม้ว่าพ่อของเขาจะเข้ามาซื้อทีม Force India และเปลี่ยนเป็น Racing Point ในช่วงกลางฤดูกาล จบฤดูกาลด้วยการเก็บไปได้เพียง 6 คะแนน จบอันดับที่ 18 ถือเป็นผลงานที่แย่ลงทั้งตัวนักขับและในส่วนของทีม จนปีล่าสุด 2019 ที่เขาย้ายมาขับให้ทีม Racing Point อย่างเป็นทางการ จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 21 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 15 เคยทำตำแหน่งได้ดีที่สุดคืออันดับที่ 4 ในรายการ Germany Grand Prix
Sergio Pérez
นักแข่งชาวเม็กซิโกอายุ 30 ปี Sergio Pérez ผลผลิตจาก Ferrari Driver Academy เริ่มต้นเข้าสู่วงการ Formula 1 เมื่อปี 2011 กับทีม Sauber แทนที่ของ Nick Heidfeld ท่ามกลางเสียงนินทาว่า เข้ามาอยู่ในทีมได้เพราะสปอนเซอร์ส่วนตัวของเขา Telita ค่ายโทรคมนาคมใหญ่ของเม็กซิโก เพราะหลังการประกาศไม่นาน ก็ได้มีการประกาศเพิ่มเติมเรื่องการสนับสนุนทีมของ Telita ตามมา แต่ฝีมือเขาก็มีเยอะจริง เพราะแค่สนามแรกที่ลงแข่ง เขาสามารถคว้าอันดับที่ 7 ไปได้ โดยใช้การเปลี่ยนยางแค่ครั้งเดียว แต่สุดท้ายก็ถูกจับ Disqualified จากการทำผิดกฎเรื่องทางเทคนิค สุดท้ายปีแรกจบด้วยอันดับ 16 ด้วยการเก็บไป 14 คะแนน ปีต่อมา Sergio Pérez ก็ยังขับให้กับทีมเดิมอยู่ แต่ปี 2013 เขาได้เซ็นสัญญาเพื่อไปขับให้กับ Mclaren แทนที่ของ Lewis Hamilton ที่ย้ายไปขับให้กับ Mercedes ซึ่งผลงานของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย กับการเก็บได้ 49 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 11 แต่ก็อยู่ได้เพียงปีเดียว ก็ตัดสินใจย้ายไปขับให้กับ Force India ในปี 2014 ซึ่งเริ่มเปิดตัวได้ดี เมื่อสามารถขึ้นโพเดียมในตำแหน่งที่ 3 ในสนาม Bahrain Grand Prix แล้วก็ประคองฟอร์มอยู่กลางตารางได้ จนจบที่ 10 ด้วย 59 คะแนน และยังขับในทีมเดิมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผลงานล่าสุดฤดูกาล 2019 Sergio Pérez จบด้วยอันดับที่ 10 มี 52 คะแนน
Alfa Romeo Racing
ถึงแม้ว่าแบรนด์รถยนต์ Alfa Romeo จะมีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส ก่อนที่ภายหลังจะถูกค่ายจากอิตาลีซื้อไป แต่กับทีม Alfa Romeo Racing นั้นต่างออกไป เพราะถูกดูแลโดยทีมงานของ Sauber Motorsport AG จากสวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้นฐานสำนักงานใหญ่จึงอยู่ที่เมืองซูริค เริ่มต้นการเข้าร่วมการแข่งขัน Formula 1 ตั้งแต่ปี 1950 - 1951 นักแข่งสามารถคว้าแชมป์ไปได้ทั้ง 2 ปี (Giuseppe Farina ปี 1950, Juan Manuel Fangio ปี 1951) ก่อนที่จะหยุดไปเพราะประสบปัญหาเรื่องการเงิน หลังจากนั้นหลายปี ก็เริ่มกลับมาแข่งขันใหม่อีกครั้งในปี 1979 ใช้ชื่อทีมว่า Alfa Romeo 177 เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford/Cosworth เป็นขุมกำลัง ซึ่งทีมก็ลงทำการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ก่อนที่จะจบฤดูกาลสุดท้ายเมื่อปี 1985 จนถึงฤดูกาล 2018 ทาง Alfa Romeo ก็ได้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์กับทีม Sauber เป็นการกลับมาในวงการ F1 ใหม่อีกครั้ง แล้วใช้ชื่อทีมเป็น Alfa Romeo Sauber F1 Team และเปลี่ยนเครื่องยนต์จาก Honda ให้มาเป็น Ferrari ใช้นักขับเป็น Charles Leclerc กับ Marcus Ericsson จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 8 มี 48 คะแนน และเมื่อปี 2019 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Alfa Romeo Racing อย่างเป็นทางการ มีนักขับอย่าง Kimi Räikkönen และ Antonio Giovinazzi เป็นกำลังหลัก และยังคงใช้เครื่องยนต์ของ Ferrari ต่อไป ปิดฤดูกาลล่าสุดด้วยการมี 57 คะแนน เป็นอันดับที่ 8
Alfa Romeo Racing มี Frédéric Vasseur ชายวัย 51 ปีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้อำนวยการทีม รับหน้าที่มาตั้งแต่ปี 2017
นักแข่ง
Kimi Räikkönen
นักแข่งรุ่นเก๋าวัย 40 ปีอย่าง Kimi Räikkönen ชาวฟินแลนด์ อดีตแชมป์โลกตั้งแต่ปี 2007 สมัยยังขับให้กับทีม Scuderia Ferrari เริ่มต้นเข้าสู่วงการ F1 ตั้งแต่ปี 2001 กับการอยู่ในทีม Sauber เปิดปีแรกด้วยการเก็บได้ 9 คะแนน เป็นอันดับที่ 10 ก่อนที่ปีต่อมาจะย้ายไปอยู่กับ McLaren เปิดสนามแรกก็สร้างความฮือฮาด้วยการจบอันดับ 3 ในการแข่งขันที่ออสเตรเลีย แต่ด้วยที่ส่วนใหญ่จะแข่งไม่จบ ทำให้ฤดูกาล 2002 ทำได้ 24 คะแนนเท่านั้น เป็นอันดับที่ 6 เพราะขับจบเพียงแค่ 6 สนาม เขายังขับให้กับทีมนี้จนถึงปี 2006 ดีที่สุดคือการเกือบคว้าแชมป์โลกไปได้ในปี 2003 ด้วยการแพ้ Michael Schumacher ไปเพียง 2 คะแนน และปี 2005 ที่แพ้ Fernando Alonso ไป 21 คะแนน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจย้ายทีมไปร่วมกับ Ferrari ในปี 2007 และเพียงปีแรก เขาก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ทันที ด้วยการเอาชนะ Lewis Hamilton ไปเพียงแต้มเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะเริ่มฟอร์มตกลงเรื่อย ๆ จนต้องหยุดการแข่งขันไป 2 ปี ช่วง 2010 - 2011 แต่พอถึงปี 2012 Lotus ก็ไปดึงเขากลับมาแข่งใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็สามารถสร้างฟอร์มเก่งได้ ด้วยการจบเป็นที่ 3 ด้วย 207 คะแนน และอันดับที่ 5 กับ 183 คะแนนในปี 2013 กับการแข่งไปได้เพียง 17 จาก 19 สนาม เพราะมีปัญหากับทีมงาน เขาได้ประกาศยุติการขับให้กับทีมนี้เป็นต้นไป ดังนั้นในปี 2014 เขาได้ย้ายกลับไปสู่ที่ Ferrari อีกครั้ง ด้วยการขับคู่กับ Fernando Alonso แต่ก็สร้างผลงานได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะทำได้เพียง 55 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 12 เท่านั้น เขายังคงขับให้ Ferrari อย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2018 ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม Alfa Romeo Racing ในฤดูกาล 2019 จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งอันดับที่ 12 เก็บได้ 43 คะแนน และยังคงเป็นนักขับหลักให้ทีมต่อไป
Antonio Giovinazzi
นักขับชาวอิตาลีวัย 26 ปี Antonio Giovinazzi เริ่มต้นการขับรถสูตร 1 ในปี 2017 กับทีม Sauber โดยทำการลงแข่งแทน Pascal Wehrlein ที่บาดเจ็บในสนามแรก ในปีนั้น Giovinazzi มีโอกาสได้โชว์ฝีมือเพียง 2 สนาม คือ Australian Grand Prix จบในอันดับ 12 และที่ Chinese Grand Prix ที่เกิดอุบัติเหตุจนไม่จบการแข่งขัน และไม่ได้โอกาสอีกเลยในปีนั้น และปี 2018 ก็เป็นนักแข่งสำรองทั้งปี จนในที่สุดฤดูกาล 2019 ทาง Alfa Romeo Racing (Sauber เปลี่ยนชื่อ) ก็ได้ประกาศให้เขามาเป็นนักขับหลักให้กับทีม แต่ก็ยังไม่ได้มีฟอร์มที่ดีสักเท่าไหร่ ผลงานดีที่สุดคือที่บราซิล จบอันดับที่ 5 ปิดฤดูกาลด้วยอันดับที่ 17 ด้วยการเก็บได้เพียง 14 คะแนน
Haas
ทีมสายเลือดอเมริกัน Haas เริ่มต้นทีมด้วยการเป็นทีมแข่ง Nascar ในสหรัฐฯ ก่อนที่จะเริ่มเข้ามาร่วมลงแข่งรถสูตร 1 ในปี 2016 มีฐานใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ ก่อตั้งทีมโดย Gene Haas เจ้าของ Haas Automation ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องจักรกลโรงงาน เริ่มต้นฤดูกาลแรกด้วยการใช้นักแข่งอย่าง Romain Grosjean และ Esteban Gutiérrez แค่สนามแรกในรายการ Australian Grand Prix นักขับอย่าง Grosjean สามารถเข้าเส้นชัยได้ในอันดับที่ 6 เก็บไป 8 แต้มให้กับทีม ถือเป็นทีมผู้สร้างจากอเมริกาทีมแรกที่สามารถคว้าแต้มใน F1 ได้ และเป็นทีมที่ 2 ต่อจาก Toyota Racing ที่สามารถเก็บคะแนนได้ตั้งแต่ลงสนามครั้งแรกเมื่อปี 2002 และยังจบอันดับที่ 5 ในสนามต่อมาอีกด้วย เปิดปีแรกไปอย่างสวยงาม กับ 29 คะแนน เป็นอันดับที่ 8 จาก 11 ทีม และปี 2017 ได้สลับตำแหน่งนักขับด้วยการเอา Kevin Magnussen มาแทนที่ Gutiérrez แล้วก็เปิดหัวได้อย่างดี โดยเฉพาะที่โมนาโก เมื่อนักขับทั้ง 2 คนสามารถเก็บแต้มให้ทีมได้ทั้งคู่ (อันดับ 8 และ 10) จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งเดิม เพิ่มเติมด้วยแต้มที่มากขึ้นเป็น 47 คะแนน แต่พอเข้ามาปี 2018 กลับเปิดหัวด้วยฝันร้ายในรายการที่ออสเตรเลีย โดยขณะที่แข่งอยู่นั้น Magnussen และ Grosjean กำลังอยู่ในอันดับที่ดี คือที่ 4 และที่ 5 แต่ความผิดพลาดใน Pit Stop ที่ทำการล๊อกยางไม่ดี ทำให้ทั้งคู่ต้องออกจากการแข่งขันไปอย่างไม่น่าเชื่อว่าความผิดพลาดจะเกิดขึ้นซ้ำ 2 ครั้งในรอบเดียวได้ แต่สุดท้ายแล้วทั้ง 2 คนก็ค่อย ๆ ไล่เก็บคะแนนได้เรื่อย ๆ จนสุดท้ายปิดฤดูกาลไปด้วย 93 คะแนน จบเป็นอันดับที่ 5 เป็นผลงานที่ดีที่สุดอย่างน่าประหลาดใจสำหรับทีมน้องใหม่ที่ลงแข่งเพียงไม่กี่ปี แต่ปีล่าสุด ฤดูกาล 2019 มันคือฝันร้ายของ Haas ถึงแม้จะใช้นักแข่งคู่เดิม แต่ผลงานกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด จบฤดูกาลไปด้วยเพียงอันดับที่ 9 มี 28 คะแนนเท่านั้น อันดับที่ดีที่สุดคืออันดับ 7 ในสนามที่สเปนกับฮังการี ทำเอาเจ้าของทีมอย่าง Gene Haas หัวเสียไปเลย
ปัจจุบันทีม Haas ใช้บริการเครื่องยนต์ของ Ferrari อยู่ โดยมี Günther Steiner ชาวอิตาลีวัย 54 ปีเป็นผู้อำนวยการทีมตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นทีมงานให้กับ Red Bull Racing มาก่อน
นักแข่ง
Kevin Magnussen
นักขับชาวเดนมาร์กวัย 27 ปี Kevin Magnussen เริ่มต้นในวงการ F1 ด้วยการเป็นนักขับทอสอบให้กับทีม McLaren เมื่อปี 2012 ก่อนที่จะได้ขยับมาเป็นนักแข่งหลักเคียงข้างกับ Jenson Button แทนที่ของ Sergio Pérez ที่ย้ายไป Force India ในปี 2014 เปิดหัวฤดูกาลด้วยความน่าตื่นเต้น เพราะสามารถจบเป็นอันดับที่ 2 ได้ แล้วค่อย ๆ ทยอยเก็บแต้มให้กับตัวเองและทีมได้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 11 มี 55 คะแนน และปีถัดมาในฤดูกาล 2015 เขาก็ต้องหลีกทางให้กับอดีตแชมป์โลก Fernando Alonso ที่ย้อนกลับมาร่วมทีม McLaren ใหม่อีกครั้ง ทำให้ Magnussen ต้องกลายเป็นนักขับสำรองไป แต่แล้วในที่สุด เขาก็ได้กลับมาขับแทน Alonso จนได้ เพราะอดีตแชมป์โลกได้เกิดอุบัติเหตุในช่วงฝึกซ้อม ก่อนที่ฤดูกาลจะเริ่มต้นขึ้น ทำให้หมอสั่งห้ามลงทำการแข่งขันเด็ดขาด แต่ได้แสดงฝีมือเพียงแค่สนามเดียวคือที่ออสเตรเลีย แถมยังแข่งไม่จบอีกด้วยเพราะเครื่องยนต์มีปัญหา และ Alonso ก็กลับมาแข่งได้ในสนามต่อมา และสุดท้าย ผู้ช่วยส่วนตัวประธานของทีมอย่าง Ron Dennis ได้ส่งจดหมายถึงเขาเพื่อแจ้งว่า จะปล่อยตัวเขาออกจากทีมตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ทำให้ Magnussen ต้องรีบหาทีมใหม่ทันที โดยเริ่มแรกเขาได้คุยกับ Haas ก่อนที่จะมีการประกาศชื่อ Romain Grosjean กับ Esteban Gutiérrez มาเป็นนักแข่งประจำฤดูกาล รวมทั้งยังติดต่อพูดคุยกับทีม Manor Racing รวมทั้งยังมีการพูดคุยถึงการออกไปแข่งขัน Indy Car ด้วย แต่สุดท้ายแล้ว ก็ได้ลงเอยเซ็นสัญญากับทีม Renault และเป็นนักขับในปี 2016 ซึ่งเป็นปีที่ไม่ดีเลย Magnussen เก็บได้เพียง 7 คะแนนเท่านั้น จบที่อันดับ 16 แต่สุดท้ายในปี 2017 ก็ได้ย้ายมาอยู่กับ Haas จนได้ โดยมาแทนที่ Esteban Gutiérrez และจบด้วยอันดับที่ 14 เก็บได้ 19 แต้ม แล้วมาระเบิดฟอร์มเอาตอนปี 2018 เมื่อเก็บได้มากถึง 56 คะแนน จบอันดับที่ 9 แต่กับฤดูกาลล่าสุด 2019 กลับทำได้เพียง 20 คะแนนเท่านั้น อยู่ในอันดับที่ 16
Romain Grosjean
Romain Grosjean วัย 33 ปี เป็นนักขับชาวฝรั่งเศสที่เริ่มเข้าวงการ Formula 1 ในฐานะนักขับทดสอบเมื่อปี 2008 ให้กับ Renault ก่อนที่จะขยับมาเป็นนักขับหลักให้กับทีมตอนปี 2009 เพื่อมาขับแทน Nelson Piquet Jr. ที่เกิดอุบัติเหตุหนักจนไม่สามรถกลับมาลงแข่งได้ (ซึ่งกลายเป็นประเด็นภายหลังว่าเป็นการตั้งใจเกิดอุบัติเหตุจากคำสั่งของทีม) Grosjean มีโอกาสอีก 7 สนาม แต่ไม่สามารถเก็บคะแนนได้เลย สุดท้ายถูกทีมลดชั้นไปขับ GP2 แทนในปีต่อมา แต่ในที่สุดเมื่อถึงปี 2012 Grosjean ได้โอกาสกับมาสู่วงการ F1 อีกครั้ง ด้วยการเซ็นสัญญาเป็นนักขับให้กับทีม Lotus โดยปีแรกก็ทำผลงานได้ดี เก็บไปได้ถึง 96 คะแนน ทั้งที่แข่งขันไม่จบถึง 7 สนาม ยังครองอันดับที่ 8 ไว้ได้ ปี 2013 เก็บได้ 132 คะแนน เป็นอันดับที่ 7 เขาขับให้กับ Lotus จนถึงปี 2015 ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับ Haas ในปี 2016 ซึ่งก็สามารถเปิดสนามแรกด้วยการเก็บแต้มได้เลย ส่วนผลงานล่าสุดปี 2019 กลับทำผลงานได้ย่ำแย่ เพราะเก็บไปได้เพียงแค่ 8 คะแนนเท่านั้น เป็นอันดับที่ 18 แต่ยังดีพอที่จะมีที่นั่งอยู่ในการแข่งขัน F1 ต่อไปในฤดูกาล 2020
ROKiT Williams Racing
อดีตทีมยิ่งใหญ่ ที่กวาดแชมป์อยู่เป็นประจำ กลับกลายเป็นทีมอมบ๊วยอยู่ในปัจจุบัน ROKiT Williams Racing เริ่มต้นก่อตั้งทีมแล้วเข้าร่วมแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 1977 โดย Sir Frank Williams เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ของ Ford-Cosworth แต่ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลยในช่วงปีแรก แต่มาเริ่มสะสมความยิ่งใหญ่ในปี 1980 เมื่อได้นักขับอย่าง Alan Jones กับ Carlos Reutemann มาช่วยเก็บแต้มได้เป็นกอบเป็นกำ จนคว้าแชมป์ไปได้ทั้งฐานะทีมผู้สร้างและนักขับ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้แล้ว และมีการเก็บแชมป์โลกในรางวัลทีมผู้สร้างไปรวม 9 ครั้ง (1980, 1981, 1986, 1987, 1992, 1993, 1994, 1996, 1997) และในรางวัลนักขับอีก 7 ครั้ง (1980, 1982, 1987, 1992, 1993, 1996, 1997) ทั้ง Alan Jones, Keke Rosberg, Nelson Piquet, Nigel Mansell, Alain Prost, Damon Hill และคนสุดท้ายที่สร้างความสำเร็จได้คือ Jacques Villeneuve ซึ่งขับรถสูตร 1 เป็นปีที่ 2 เท่านั้นก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้เลย แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผลงานของทีม Williams ก็ไม่สามารถขยับขึ้นไปใกล้กับคำว่าแชมป์โลกได้อีกเลย โดยมีการเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์หลายหลายยี่ห้อ โดยปี 1998 ใช้ของ Mecachrome, ปี 1999 ใช้ของ Supertec, ปี 2000-2005 ใช้ของ BMW, ปี 2006 กลับมาใช้ของ Cosworth อีกครั้ง ปีต่อมาเปลี่ยนเป็นของ Toyota ใช้ต่อเนื่องจนถึงปี 2010-2011 กลับมาใช้ของ Cosworth อีก ปี 2012–2013 หันไปใช้ของ Renault ก่อนที่จะถึงปี 2014 จะหันมาใช้ของ Mercedes-Benz ซึ่งยังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ฤดูกาลล่าสุดคือความตกต่ำสุดขีดของทีม ROKiT Williams Racing เพราะจากการแข่งขันไป 21 สนาม ทีมสามารถเก็บได้เพียงคะแนนเดียว จากการแข่งขันในเยอรมนี ที่ Robert Kubica สามารถเข้าเส้นชัยได้เป็นอันดับที่ 10 ท่ามกลางฝนที่ตกอย่างหนัก วิ่งเข้าเส้นชัยได้เพียงแค่ 13 คันจาก 20 คันเท่านั้นเอง แถมนักแข่งจากทีม Alfa Romeo ยังถูกปรับเพิ่มอีก 30 วินาที จากการทำผิดกฎเรื่องระบบช่วยเหลือตอนออกสตาร์ทอีกด้วย
ROKiT Williams Racing มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และถ้าดูตามชื่อจริง ๆ Sir Frank Williams ผู้ก่อตั้งทีมยังคงเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของทีมอยู่ แต่ด้วยปัญหาสุขภาพ จึงได้ปล่อยให้ Claire Williams ลูกสาววัย 43 ปี เป็นผู้ดูแลทีมแทนตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งหลายคนมองว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของความตกต่ำในทีม Williams เพราะมองว่าเธอฝีมือยังไม่ถึงขั้นมากพอที่จะดูแลทีมที่มีการแข่งขันสูงมากอย่าง F1
นักแข่ง
George Russell
นักแข่งดาวรุ่งวัย 22 ปีชาวอังกฤษ George Russell ผลผลิตจากทีมเยาวชนของ Mercedes-AMG Petronas Motorsport อดีตแชมป์โลก Formula 2 เมื่อปี 2018 หลายคนมองว่า หลังจากคว้าแชมป์ไปได้แล้ว เขาน่าจะมีโอกาสได้ก้าวเข้าไปสู่ทีมใหญ่ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะเซ็นสัญญากับทีมระดับล่างอย่าง ROKiT Williams Racing จับคู่กับ Robert Kubica นักขับวัยเก๋าในฤดูกาล 2019 แต่ก็เป็นปีที่เริ่มต้นได้อย่างแย่สุด เมื่อเขาต้องจบที่อันดับ 20 ซึ่งเป็นอันดับสุดท้าย ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย ทำได้ดีที่สุดคือที่สนาม German Grand Prix ในอันดับที่ 11 เท่านั้น แต่ก็ยังคงขับต่อใปในฤดูกาล 2020 กับทีมเดิม
Nicholas Latifi
นักแข่งชาวแคนาดาวัย 24 ปี Nicholas Latifi นักแข่งมือใหม่ในวงการ F1 เริ่มเข้าสู่วงการนี้ตั้งแต่ปี 2016 ในฐานะนักแข่งทดสอบให้กับทีม Renault ก่อนที่ปี 2018 จะย้ายไปขับทดสอบและเป็นนักขับสำรองให้กับ Force India และในที่สุดโอกาสของเขาก็มาถึง เมื่อทีม ROKiT Williams Racing ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า Nicholas Latifi จะเป็นนักแข่งให้กับทีมในฤดูกาล 2020
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com