ทำความรู้จัก 10 ทีม 20 นักแข่งรถสูตร 1 Formula 1 ประจำฤดูกาล 2020 ตอนที่ 1
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 10 มี.ค. 63 00:00
- 21,524 อ่าน
ถึงแม้ว่าการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง รถสูตร 1 Formula 1 หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า F1 จะมีแฟนที่ติดตามชมอย่างเหนียวแน่นในประเทศไทยอยู่จำนวนไม่มาก แต่เนื่องจากปีที่ผ่านมา มีนักแข่งไทยเข้าไปร่วมแข่งขัน แถมครึ่งฤดูกาลหลังยังมีโอกาสขึ้นขับให้ทีมลุ้นแชมป์อีกด้วย ทำให้มีคนติดตามชมเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คงรู้จักอยู่คนเดียว ทีมเดียว วันนี้ AUTODEFT เลยเอาทั้ง 10 ทีม 2
Mercedes-AMG Petronas F1 Team
ทีมแรกที่อยากแนะนำคือทีมแชมป์โลกทีมล่าสุด นั่นคือทีม Mercedes-AMG Petronas F1 Team ซึ่งแน่นอนว่าเป็นทีมที่อยู่ภายใต้หลังคาเดียวกันกับค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ Mercedes-Benz ถึงแม้ว่าบริษัทแม่จะอยู่ที่เยอรมนี แต่ฐานของค่ายนี้อยู่ที่อังกฤษ เริ่มการแข่งขัน F1 ครั้งแรกจริง ๆ ตั้งแต่ปี 1954 โดยใช้ชื่อว่าทีม Daimler-Benz AG แต่ก็เลิกทีมไปในปี 1955 และเมื่อถึงปี 2010 ก็ได้กลับมาทำการแข่งขันอีกครั้งภายใต้ชื่อ Mercedes GP ด้วยการซื้อทีมต่อจาก Brawn GP (ก่อนหน้านี้คือทีม Honda) ใช้เครื่องยนต์ของ Mercedes เองเป็นขุมพลัง โดยนับเฉพาะยุคใหม่ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา ทีมนี้สามารถคว้าแชมป์โลกภายใต้ทีมผู้ผลิตไปรวม 6 สมัย (2014, 2015, 2016, 2017, 2018, 2019) และนักแข่งคว้าแชมป์ไปได้ 8 ครั้ง (2014, 2015, 2016, 2017, 2018, 2019) ภายใต้นักขับคนเดียวที่ชื่อว่า Lewis Hamilton
Mercedes-AMG Petronas F1 Team มีผู้อำนวยการทีมเป็น Torger Christian Wolff หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่า Toto Wolff ชายชาวออสเตรียอายุ 48 ปี อดีตนักแข่งที่เข้ามาดูแลทีมตั้งแต่ปี 2013 หลังจากก่อนหน้านี้เป็นผู้อำนวยการบอร์ดของทีม Williams Formula One Team ตอนปี 2009 และขึ้นเป็นผู้อำนวยการใหญ่ปี 2012
นักแข่ง
Lewis Hamilton
Lewis Hamilton เป็นนักแข่ง F1 ชาวอังกฤษ อายุ 35 ปี เริ่มต้นการขับรถสูตร 1 ตั้งแต่ปี 2007 กับทีม McLaren ด้วยการเปิดปีแรกอย่างสวยงาม เขาสามารถขึ้นโพเดียมได้ในการแข่งขันรายการแรก และคว้าแชมป์ได้ในสนามที่ 6 เท่านั้น ก่อนที่จะคว้าแชมป์ไปรวม 4 สนาม และจบปีแรกด้วยการคว้าอันดับ 2 ของนักขับไปได้ โดยแพ้แชมป์โลกอย่าง Kimi Räikkönen ไปเพียง 1 คะแนนเท่านั้น และยังทำได้ดีในปีต่อมาด้วยการชนะไป 5 สนาม ขึ้นโพเดียมไป 10 ครั้ง และคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จกลายเป็นแชมป์โลกที่มีอายุน้อยที่สุด และเป็นแชมป์โลกชาวอังกฤษต่อจาก Damon Hill ที่ได้แชมป์ไปตั้งแต่ปี 1996 แต่ต่อมาช่วงปี 2009-2012 เขากลับไม่สามารถทำความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องได้ เพราะช่วงนั้นเป็นเวลาของ Sebastian Vettel ที่ไล่คว้าแชมป์ไปได้อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด Hamilton ก็ตัดสินใจย้ายทีมไปร่วมกับ Mercedes ในปี 2013 โดยได้ร่วมทีมกับ Nico Rosberg ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก เพราะ Mercedes เป็นทีมที่เพิ่งเริ่มกลับมาใหม่ และยังไม่มีความสำเร็จอย่างใดทั้งสิ้น และเริ่มต้นปีแรกไม่ค่อยดีนัก กับการคว้าเพียงแค่อันดับที่ 4 ไป ก่อนที่ยุคของเขาจะมาถึง เมื่อมีการเปลี่ยนกฎใหม่ให้ใช้งานเครื่องยนต์ Hybrid Turbo ได้ในปี 2014 ทำให้ทีม Mercedes คว้าแชมป์ไปในปีนั้นได้ 16 สนามจาก 19 สนาม และ Hamilton เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกได้ 11 สนาม คว้าแชมป์ไปได้ทั้งนักขับและทีมผู้สร้าง ก่อนที่ปี 2015 ก็คว้าแชมป์โลกไปได้อีก ก่อนที่ปี 2016 จะกลายเป็นเพื่อร่วมทีมอย่าง Nico Rosberg เป็นคนที่คว้าแชมป์ไปแทน แต่กลับมาในปี 2017-2019 เขาก็กวาดแชมป์รวดได้ทุกปี รวมทั้งทีมก็ได้แชมป์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน สร้างสถิติไว้ให้วงการแข่งรถ F1 มากมาย
Valtteri Bottas
คู่หูของแชมป์โลกคนปัจจุบันในทีม Mercedes-AMG Petronas F1 Team เป็นนักแข่งชาวฟินแลนด์ชื่อว่า Valtteri Bottas อายุ 30 ปี เริ่มต้นอาชีพนักขับ F1 ในปี 2013 กับทีม Williams เปิดฤดูกาลแรกได้ดีที่สุดคือการทำเวลารอบคัดเลือกในสนาม Canadian Grand Prix เป็นอันดับที่ 3 คว้าคะแนนแรกในสนาม United States Grand Prix ด้วยการจบอันดับที่ 8 และจบปีแรกด้วยการเก็บได้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ก่อนที่ปีต่อมาจะเริ่มฉายแวว ด้วยการระเบิดฟอร์มจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 4 มากกว่าอดีตแชมป์โลกอย่าง Sebastian Vettel และ Fernando Alonso ด้วยซ้ำ ก่อนที่จะจบอันดับที่ 5 และ 8 ใน 2 ปีต่อมา และในที่สุดเขาก้ได้เข้าร่วมกับทีมแชมป์โลกอย่าง Mercedes-AMG Petronas F1 Team ในปี 2017 ขับร่วมกับแชมป์โลกอย่าง Lewis Hamilton แชมป์โลกคนปัจจุบัน เข้ามาแทนที่ Nico Rosberg ที่คว้าแชมป์และประกาศเลิกแข่งไปทันที แต่แน่นอนว่าการเข้ามาอยู่เป็นนักแข่งเบอร์ 2 ของทีม แถมเบอร์ 1 ยังเป็นแชมป์โลกอีกต่างหาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน แต่ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ไม่เลว เพราะสามารถคว้าอันดับที่ 3 ไปได้ เป็นรองเพียง Hamilton และ Vettel เท่านั้น โดยสามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 3 สนาม ก่อนที่ปี 2018 จะฟอร์มตก กลายเป็นนักแข่งคนแรกของ Mecedes ที่จบฤดูกาลแล้วไม่สามารถคว้าแชมป์สนามได้เลย ตั้งแต่ Michael Schumacher ในปี 2012 จบที่ 2 ไปถึง 7 สนาม ก่อนที่ปีล่าสุด 2019 ที่สามารถระเบิดฟอร์มกลับมาได้อีกครั้ง ด้วยการที่สามารถคว้าแชมป์ไปได้ถึง 4 สนาม ขึ้นโพเดียม 15 ครั้ง คว้า Pole Position ไป 5 สนาม และทำ Fastest Lap ไปอีก 3 ครั้ง จบฤดูกาลด้วยการคว้าอันดับที่ 2 ประเภทนักแข่งไป ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทีมคว้าแชมป์ประเภททีมผู้สร้างไปด้วย
Scuderia Ferrari
ทีมเก่าแก่ที่ลงสนามแข่งทางเรียบเกือบทุกรายการอย่าง Ferrari อยู่ในการแข่งขันรถสูตร 1 F1 มาเป็นระยะเวลานานแล้ว เริ่มร่วมทำการแข่งขันมาตั้งแต่ปี 1950 ถือเป็นฤดูกาลแรกที่ใช้ชื่อการแข่งขันรถยนต์ที่นั่งเดียวว่า Formula 1 เลย มีสำนักงานใหญ่อยู่ในอิตาลีเช่นเดียวกับรถของ Ferrari ถือเป็นทีมที่คว้าตำแหน่งแชมป์โลกมาได้มากที่สุด ทั้งในส่วนของทีมผู้สร้างและนักขับ โดยคว้าแชม์ทีมผู้สร้างไป 16 ครั้ง (1961, 1964, 1975, 1976, 1977, 1979, 1982, 1983, 1999, 2000, 2001, 2002, 2003, 2004, 2007, 2008) และนักขับไป 15 ครั้ง (1952, 1953, 1956, 1958, 1961, 1964, 1975, 1977, 1979, 2000, 2001, 2002, 2003, 2004, 2007) โดยใช้เครื่องยนต์เฟอร์รารี่ทำการแข่งขันมาโดยตลอด ส่วนฤดูกาลล่าสุดปี 2019 จบเป็นอันดับที่ 2
Scuderia Ferrari มีผู้อำนวยการทีมชื่อ Mattia Binotto อายุ 50 ปีเป็นชาวอิตาลี เข้าร่วมทีมตั้งแต่ปี 1995 ในฐานะทีมงานวิศวกรเครื่องยนต์ ก่อนที่จะได้รับการโปรโมทให้เป็นนายใหญ่ของทีมในปี 2019 แทนที่ Maurizio Arrivabene ที่ลาออกไป
นักแข่ง
Sebastian Vettel
อดีตแชมป์โลก 4 สมัยอย่าง Sebastian Vettel เป็นชาวเยอรมันอายุ 32 ปี เริ่มต้นการเข้าร่วม F1 เป็นนักแข่งสำรองของทีม BMW Sauber เมื่อปี 2006 แต่มีโอกาสได้เพียงเป็นนักแข่งทดสอบในรอบ Practice เท่านั้น จนมาถึงปี 2007 เมื่อนักแข่งหลักอย่าง Robert Kubica ได้รับอุบัติเหตุหนักจนไม่สามารถทำการแข่งขันต่อได้ในสนามที่ 6 Vettel เลยได้เลื่อนขึ้นมาเป็นนักแข่งหลักในทีมได้ที่สนาม 7 รายการ United States Grand Prix เขาเริ่มต้นการแข่งขันสนามแรกด้วยการจบที่ 8 กลายเป็นนักแข่งอายุน้อยที่สุดที่สามารถคว้าคะแนนในการแข่งรถสูตร 1 ไปได้ แต่ขับไปได้เพียงไม่กี่สนาม ทีมก็ได้ปล่อยตัวเขาให้ไปร่วมทีม Scuderia Toro Rosso เพื่อไปแทนที่ Scott Speed ในสนามที่ 11 รายการ Hungarian Grand Prix แต่เปิดตัวได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะคัดเลือกได้เป็นอันดับที่ 20 และจบการแข่งขันเป็นอันดับที่ 20 แล้วมาเจอฝันร้ายในสนามที่ 15 กับการแข่งขันรายการ Japanese Grand Prix เมื่อเขาทำอันดับได้ดี ขึ้นมาอยู่ที่ 3 ตามหลัง Lewis Hamilton และ Mark Webber อยู่ แต่ขณะที่กำลังอยู่ในช่วงรถ safety car วิ่งอยู่ Vettel ดันพลาดขับไปชน Webber (ทีม Redbull) จนต้องออกจากการแข่งขันไปทั้งคู่ กลายเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตการแข่งขันของเขาเลย ทำให้สนามต่อมาเขาถูกปรับกริดไป 10 อันดับ แต่ถูกเลื่อนขึ้นมาเนื่องจากทางคณะกรรมการมองว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากพฤติกรรมการขับของ Lewis Hamilton หลังรถ Safety Car แต่สามารถแก้ตัวได้ในสนาม Chinese Grand Prix ด้วยการขับจบเป็นอันดับ 4 เก็บไปได้ 5 คะแนน ดีที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งทีม Toro Rosso มา และปีต่อมาคือปีทองของเขากับทีมนี้ เพราะสามารถคว้าแชมป์ได้ 1 สนาม เก็บคะแนนได้รวม 35 คะแนน มากกว่า Mark Webber และ David Coulthard จาก Red bull ทีมใหญ่ด้วยซ้ำ จนในที่สุดปี 2009 Sebastian Vettel ก็ได้เลื่อนขึ้นมาขับให้กับทีมใหญ่อย่าง Red bull แทนที่ David Coulthard และเป็นปีที่เริ่มเฉิดฉายของเขาทันที ด้วยการคว้าแชมป์ไปได้ 4 สนาม ยืนบนโพเดียม 8 สนาม คว้าคะแนนเป็นอันดับที่ 2 ไปรวม 84 คะแนน ตามหลัง Jenson Button ที่คว้าแชมป์ไปได้เพียง 11 คะแนนเท่านั้น แถมพาทีมคว้าอันดับ 2 ของทีมผู้สร้างได้อีกด้วย ก่อนที่ 4 ปีถัดมา คือ 2010-2013 เขาคว้าแชมป์ไปได้ 4 ปีรวดกับทีม Red bull พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ทีมผู้สร้างได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย จนมาถึงปี 2015 Vettel ตัดสินใจทำสัญญา 3 ปีกับ Scuderia Ferrari เปิดฤดูกาลแรกด้วยการจบเป็นอันดับที่ 3 คว้าแชมป์ไปได้ 3 สนาม แต่ปีต่อมาผลงานก็ถอยหลังลงอีก เมื่อจบเป็นอันดับที่ 4 โดยไม่สามารถคว้าแชมป์สนามไหนได้เลย แต่ 2 ปีต่อมา Vettel ทำผลงานได้ดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถทำได้ดีกว่าแชมป์โลกอย่าง Lewis Hamilton ไปได้ จบเป็นอันดับที่ 2 ทั้ง 2 ปี จนฤดูกาลล่าสุดจบได้เพียงอันดับที่ 5 คว้าแชมป์ได้สนามเดียว ท่ามกลางการเฉิดฉายของเด็กรุ่นใหม่อย่าง Max Verstappen และ Charles Leclerc
Charles Leclerc
นักขับดาวรุ่งชาวโมนาโกอายุ 22 ปี Charles Leclerc เริ่มไต่เต้ามาตั้งแต่โกคาร์ท, F3 จนมาถึงปี 2016 ก็เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันรถสูตร 1 โดยเริ่มจากการได้เป็นนักขับใน Ferrari Driver Academy ที่เป็นสถาบันในการปั้นนักแข่งเยาวชนป้อนสู่ทีมใหญ่ทั้ง Haas F1 Team และ Scuderia Ferrari และเริ่มขับทดสอบให้กับ Haas ในรายการ 2016 British Grand Prix ซึ่งหลายคนก็คาดการณ์ว่า เขาคงได้เข้าสู่ทีมนี้แน่ แต่ในที่สุด Guenther Steiner ผู้อำนวยการทีมช่วงนั้นบอกว่า Charles Leclerc ควรกลับไปเริ่มใหม่กับการแข่งขัน F2 อีกครั้งก่อน เขาก็เลยเริ่มฤดูกาล 2017 ด้วยการไปแข่งใน F2 ก่อน และปีนั้นเขาก็คว้าแชมป์ไปได้จริง ๆ จนในที่สุดทีม Alfa Romeo Sauber ก็ตัดสินในประกาศดึงเขาเข้าร่วมทีมในฤดูกาล 2018 ถึงแม้ว่าปีนั้น เขาจะไม่ได้ขึ้นโพเดียมเลย และทำคะแนนได้เพียง 39 คะแนน ได้เพียงอันดับที่ 13 จาก 20 คน แต่ฟอร์มการขับขี่ดันไปถูกใจทางทีม Ferrari เข้า จึงได้ประกาศช่วงก่อนจบฤดูกาลว่า จะดึงทาง Leclerc มาร่วมทีมเพื่อลงแข่งในฤดูกาลปี 2019 เคียงคู่กับอดีตแชมป์โลกอย่าง Sebastian Vettel แทนที่อดีตแชมป์โลกอย่าง Kimi Räikkönen ที่ถูกสลับที่ไปอยู่ทีม Alfa Romeo แทน และก็เป็นปีที่เขาระเบิดฟอร์มแบบไม่เกรงใจเบอร์ 1 อย่าง Vettel เลย เพราะสามารถขึ้นโพเดียมได้ถึง 10 สนาม และคว้าแชมป์ไป 2 สนาม เก็บแต้มได้เป็นอันดับที่ 4 ด้วยคะแนน 264 คะแนน มากกว่าเบอร์ 1 ของทีมที่เก็บไป 240 คะแนน จบที่ 5 ซึ่งจากการขับหลายสนาม เราจะเห็นได้เลยว่า Charles Leclerc ไม่ค่อยพอใจที่จะเป็นเบอร์ 2 รองจาก Vettel ทำให้มีบางครั้งได้แสดงออกมาในการขับว่าเขาไม่เห็นด้วยจากคำสั่งของทีม (Team Order) และ Vettel เองก็เช่นกัน ทำให้มีหลายสนามที่ทั้งคู่ต่างมาขับแบบเบียดกันประดุจเป็นคู่แข่งกัน ชัดเจนที่สุดคือสนามรองสุดท้ายในบราซิล ที่ทั้งคู่เกี่ยวกันเองจนยางระเบิด ต้องออกจากการแข่งขันไปพร้อมกัน สร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นในทีมอย่างเห็นได้ชัด
Aston Martin Red Bull Racing
ทีมที่เกิดจากยี่ห้อเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ไม่ได้เกิดจากค่ายรถยนต์อย่าง Aston Martin Red Bull Racing มีฐานสำนักงานใหญ่อยู่ที่อังกฤษ (แต่ Red Bull มีสำนักงานใหญ่อยู่ออสเตรีย และเรียกที่นั่นว่า Home Race) เริ่มเข้าทำการแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 2005 โดยการซื้อทีมต่อมาจาก Ford Motor Company ชื่อทีมว่า Jaguar Racing โดยปีแรกนั้น มีการใช้งานเครื่องยนต์ของ Cosworth ก่อนที่ปีต่อมาจะหันไปใช้บริการของ Ferrari แต่ก็ได้เพียงปีเดียว เพราะปี 2007 ทีมหันไปใช้เครื่องยนต์ของ Renault ยาวนานถึง 12 ปี แต่แล้วก็มาถึงจุดแตกหัก เมื่อทีมคิดว่า Renault มีเครื่องยนต์ที่ไม่ดีพอจะพาทีมไปคว้าแชมป์ได้ จึงได้ตัดสินใจเลือกใช้เครื่องยนต์ของทาง Honda แทนในฤดูกาล 2019 โดยทีม Red Bull Racing เริ่มต้นได้ไม่ดีนัก เมื่อ 4 ปีแรกที่เข้าร่วมการแข่งขัน จมอยู่เป็นทีมท้ายแถวเป็นส่วนใหญ่ แต่พอถึงปี 2009 เมื่อได้นักแข่งอย่าง Sebastian Vettel มาร่วมทีม จับคู่กับเบอร์ 1 อย่าง Mark Webber ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะทีมสามารถทำคะแนนทีมผู้สร้างไปได้เป็นอันดับที่ 2 ทันที ก่อนที่ 4 ปีต่อมา ทีมคว้าแชมป์ไปได้ เคียงข้างกับรางวัลแชมป์ประเภทนักขับอย่าง Vettel ก่อนที่จะเริ่มเสียรังวัดไปให้กับทีมมาแรงอย่าง Mercedes-AMG Petronas F1 Team ทำให้ Vettel ตัดสินใจย้ายทีมออกไปในที่สุดเมื่อปี 2015 แต่ก็ยังมีดาวเด่นอย่าง Daniel Ricciardo มาช่วยประคองทีมเอาไว้ได้ แต่ยังไม่ที่สุด แต่เมื่อปี 2016 ทีมได้ตัว "Mad Max" Max Verstappen มาร่วมทีม ทำให้การแข่งขันในทีมดุเดือดอีกครั้ง จนทำให้ Red Bull Racing เป็นที่น่าจับตามองอีกครั้ง ในการแย่งแชมป์ฤดูกาล 2020 หลังจากปีล่าสุดทำได้เพียงอันดับที่ 3
Aston Martin Red Bull Racing ดูแลทีมโดย Christian Horner ผู้อำนวยการทีม ชาวอังกฤษอายุ 46 ปี เข้ามาคุมทีมตั้งแต่เริ่มทำทีมเมื่อปี 2005 เลย ซึ่งตอนนั้นถือเป็นนายใหญ่ของทีม F1 ที่มีอายุน้อยที่สุด และเขาคือสามีของอดีตนักร้องอังกฤษชื่อดัง Geri Halliwell หรือ Ginger Spice จากวง Spice Girl วง Girl Group ชื่อดังจากอังกฤษนั่นเอง แต่ก็มีที่ปรึกษาอีกคนที่ชื่อว่า Dr. Helmut Marko ที่งานหลักคือการดูแลทีมเยาวชน Red Bull Junior Team และคนนี้แหล่ะที่มีส่วนสำคัญในการแนะนำให้ Horner ดึง Alexander Albon ให้เข้าไปร่วมทีมใหญ่
นักแข่ง
Max Verstappen
"Mad Max" Max Verstappen นักแข่งดาวรุ่งวัน 22 ปีชาวเนเธอร์แลนด์ เริ่มต้นกับทีม Red Bull ด้วยการเข้าร่วมทีมเยาวชน Red Bull Junior Team เมื่อปี 2014 แล้วสามารถขยับขึ้นไปขับระดับ F1 ได้ เมื่อทีม Scuderia Toro Rosso ทีมน้องของ Red Bull ทำการประกาศว่าเขาจะเป็นนักขับของทีมในฤดูกาล 2015 เคียงข้างกับ Carlos Sainz Jr. โดยไปขับแทนที่ Daniil Kvyat ที่ได้โปรโมทขึ้นไปขับทีมใหญ่อย่าง Red Bull Racing แทน ทำให้เขากลายเป็นนักแข่งระดับ F1 ที่มีอายุน้อยที่สุดไปในทันที ด้วยอายุ 17 ปี 166 วัน เปิดสนามแรกด้วยการวิ่งอยู่ในตำแหน่งที่ทำคะแนนได้ แต่เสียดายที่เครื่องยนต์พังเสียก่อน ไม่จบการแข่งขัน ก่อนที่จะเก็บคะแนนแรกของตัวเองได้ที่มาเลเซีย ด้วยการจบอันดับที่ 7 เป็นนักแข่งอายุน้อยที่ทุดที่ทำคะแนนได้ในการแข่งขัน Formula 1 (17 ปี 180 วัน) จบปีแรกด้วยการทำไปได้ 49 คะแนน เป็นอันดับที่ 12 และปี 2016 ก็คือปีที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปทันที เมื่อผ่านไปเพียง 5 สนาม ทางทีม Red Bull Racing ได้ทำการสลับที่กันระหว่างเขากับ Daniil Kvyat ทำให้ Verstappen ได้ไปขับเคียงข้างกับเบอร์ 1 อย่าง Daniel Ricciardo ทันที และเขาก็ตอบแทนทีมทันที ด้วยการคว้าแชมป์ในสนาม Spanish Grand Prix ทันทีที่ลงแข่งครั้งแรก ทำให้เขากลายเป็นนักแข่ง F1 อายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์ไปได้ (18 ปี 228 วัน) ก่อนที่ปีนั้นเขาจะขึ้นไปโพเดียมอีก 6 ครั้ง เก็บคะแนนได้เป็นอันดับที่ 5 กลายเป็นดาวรุ่งดวงเด่นของวงการ F1 ไปในทันที แต่เมื่อถึงปี 2017 เขากลับประสบปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ ใน 14 สนามแรก เครื่องยนต์มีปัญหาจนขับไม่จบการแข่งขันถึง 4 สนาม และระห่ำจนชนในรอบแรกไปอีก 3 สนาม ออกจากการแข่งขันโดยไม่มีแต้ม แต่ก็ยังสามารถคว้าแชมป์ไปได้ 2 สนาม จบฤดูกาลด้วยการเก็บไป 168 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 ของประเภทนักแข่ง จนมาถึงปี 2018 ก็เป็นปีที่เขาเริ่มเจิดจรัสมากขึ้น และเป็นที่ชัดเจนว่าเขาไม่อยากเป็นมือ 2 รองจาก Daniel Ricciardo อีกต่อไป เห็นได้จากความเกรี้ยวกราดในยามที่ขับในสนาม ไม่ยอมทำตามแผนของทีมที่ให้ Ricciardo เป็นเบอร์ 1 ซึ่งทางทีมก็ออกจะเอียงไปเข้าข้าง Verstappen เสียด้วย เพราะมองว่าเขาเป็นอนาคตของทีมที่น่าจะพาทีมไปคว้าแชมป์ได้ จบฤดูกาล 2018 ไปด้วยการคว้าแชมป์ไป 2 สนาม ขึ้นโพเดียมไป 11 ครั้ง ทำคะแนนไป 249 แต้ม จบอันดับที่ 4 มากกว่าเบอร์ 1 ของทีมอย่าง Ricciardo ที่เก็บไป 170 คะแนน เป็นอันดับ 6 และนี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Ricciardo ต้องย้ายทีมไปซบอก Renault แทน และฤดูกาลล่าสุด ปี 2019 คือปีที่เขางัดฟอร์มเก่งขึ้นมาได้เต็มที่ ด้วยการเก็บแชมป์ไป 3 สนาม 9 โพเดียม จบเป็นอันดับที่ 3 รองจาก 2 นักแข่งจาก Mercedes เท่านั้น และปี 2020 ต้องเป็นอีกปีที่เขาจะไล่เบียดล่าแชมป์อย่างแน่นอน
Alexander Albon
นักแข่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ “น้องเล็ก” Alexander Albon นักแข่ง F1 ที่ลงทำการแข่งขันภายใต้ธงชาติไทย อายุ 23 ปี เริ่มต้นเหมือนกับนักแข่งทั่วไปด้วยการขับรถแข่งโกคาร์ทมาก่อนตั้งแต่เด็ก แล้วเริ่มเข้ามาสู่วงการ F2 ช่วงปี 2017 กับการขับให้ทีม ART Grand Prix ด้วยการจบเป็นอันดับที่ 10 ของคะแนนนักขับ ทำคะแนนไปได้ 86 คะแนน โดยสนามสุดท้ายเกือบที่จะคว้าแชมป์ไปได้ที่สนาม Abu Dhabi แต่กลับโดน Charles Leclerc เฉือนเข้าเส้นชัยไปได้อย่างหวุดหวิด ปีต่อมาก็ได้ย้ายไปขับให้ทีม DAMS แล้วจบฤดูกาลไปด้วยอันดับที่ 3 แต่ก็เหมือนเป็นทางตัน Albon ได้ตัดสินใจยอมเซ็นสัญญาย้ายไปแข่งขันรายการใหม่อย่าง Formula E ซึ่งเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าทางเรียบ โดยจะร่วมแข่งกับทีม Nissan e.dams ในฤดูกาล แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร เมื่ออยู่ดี ๆ ทีม Toro Rosso ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญา ดึงเอา Albon เข้าไปร่วมทีมในปีนั้นทันที โดยมาแทนที่ของ Pierre Gasly ที่ถูกขยับขึ้นไปขับให้ทีมใหญ่ Red Bull Racing แทน ถือเป็นคนไทยคนที่ 2 ต่อจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ที่ได้ร่วมลงทำการแข่งขัน F1 ตั้งแต่ปี 1954 และใช้เวลาเพียงสนามที่ 2 ในรายการ Bahrain Grand Prix น้องเล็กก็สามารถคว้าแต้มแรกมาให้กับตัวเองได้ด้วยการจบเป็นอันดับที่ 9 และเริ่มมาส่องประกายให้โลกเห็นในรายการที่ประเทศจีน เขาต้องเริ่มการแข่งจาก Pit Lane จากอุบัติเหตุหนักในการทดสอบรอบ 3 จนไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันรอบคัดเลือก แต่เขาก็สามารถพาตัวเองเข้าเส้นชัยจบเป็นอันดับที่ 10 ได้ จนได้รางวัล Driver Of The Day จากการโหวตของผู้ชมไปได้ และสามารถทำอันดับดีที่สุดให้ Toro Rosso ได้ด้วยตำแหน่งอันดับที่ ในการแข่งขัน German Grand Prix
และแล้วก็มาถึงจุดพลิกผันอีกครั้ง เมื่อผู้อำนวยการทีม Red Bull Racing อย่าง Christian Horner นั้นมองว่า Pierre Gasly ยังไม่ดีพอสำหรับทีมใหญ่ ทาง Dr. Helmut Marko เลยแนะนำให้ลองดึง Alex Albon มาขับให้แทน จนในที่สุดหลังจากพักครึ่งฤดูกาล ทีมเลยตัดสินใจประกาศการสลับที่กันของทั้ง 2 คนนี้ โดย Albon จะเริ่มเป็นนักขับของทีมใหญ่ Red Bull Racing ตั้งแต่สนาม Belgian Grand Prix เป็นต้นไปจนจบฤดูกาล แล้วมาประเมินกันอีกครั้งว่าปี 2020 ใครจะได้มาขับคู่กับ Max Verstappen ซึ่งโอกาสอันดีนี้ Albon ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ เพราะแค่สนามแรกที่เขาต้องเริ่มแข่งขันด้วยตำแหน่งที่ 17 จากการที่ถูกปรับเรื่องการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ แต่เขาก็สามารถขับไล่แซงไปจนจบในอันดับที่ 5 ได้ ภาพจำสนามนี้คือการวิ่งแซง Sergio Pérez ไปได้ในรอบสุดท้าย แบบเบียดลงข้างทางฝุ่นฟุ้งกระจาย และอีกครั้งที่สนามในรัสเซีย ที่ Albon เกิดอุบัติเหตุในรอบคัดเลือก จนต้องเริ่มต้นใน Pit Lane อีกครั้ง แต่ก็สามารถไต่อันดับแซงมาจนจบอันดับที่ 5 ได้ และสนามรองสุดท้ายที่บราซิล ในขณะที่เหลือไม่กี่รอบ Albon ครองอันดับที่ 2 อยู่ และน่าจะเป็นครั้งแรกที่น้องเล็กจะจบการแข่งขันด้วยตำแหน่งบนโพเดียม แต่แล้วแชมป์โลก Lewis Hamilton ก็มาชนจนหลุดออกนอกแทรค จนต้องมาจบอันดับที่ 14 ไปอย่างน่าเสียดาย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จบฤดูกาลไปได้ด้วยอันดับที่ 8 มี 92 คะแนน พร้อมตำแหน่งนักขับในที่เดิมต่อไปในปี 2020
McLaren F1 Team
แบรนด์รถยนต์จากแดนผู้ดีอังกฤษ McLaren เริ่มต้นเข้าสู่วงการแข่งขันรถยนต์ F1 ตั้งแต่ปี 1966 ก่อตั้งโดย Bruce McLaren ถือเป็นอีก 1 ทีมที่อยู่ต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน แต่ไม่เคยใช้เครื่องยนต์ของตัวเองเลย เริ่มต้นครั้งแรกในการลงแข่งขัน ใช้เครื่องยนต์ของฟอร์ด, Serenissima และ BRM ในช่วงปี 1966-1967 ช่วงปี 1968-1982 ใช้ของ Ford-Cosworth DFV ช่วงปี 1983-1992 ใช้เครื่องยนต์ของ TAG-Porsche และ Honda ช่วงปี 1993-1994 ใช้ของ Ford, Lamborghini และ Peugeot ปี 1995-2014 ใช้เครื่องยนต์ของ Mercedes ปี 2015-2017 กลับมาใช้ของ Honda และสุดท้ายตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปัจจุบัน ก็มาใช้ของ Renault ผลงานของทีม McLaren นั้น เคยได้แชมป์ในนามทีมผู้สร้างรวม 8 ครั้ง (1974, 1984, 1985, 1988, 1989, 1990, 1991, 1998) และในนามนักขับอีก 12 สมัย (1974, 1976, 1984, 1985, 1986, 1988, 1989, 1990, 1991, 1998, 1999, 2008) โดยคนที่เรารู้จักกันดีก็คือ Niki Lauda (1984) Ayrton Senna (1988, 1990, 1991) Mika Häkkinen (1998, 1999) และ Lewis Hamilton (2008) ส่วนผลงานปี 2019 สามารถทำได้ 145 คะแนน คว้าอันดับที่ 5 ไปครอง
McLaren F1 Team มีฐานหลักอยู่ในประเทศอังกฤษ ดูแลทีมโดย Zak Brown อดีตนักแข่งหลายรายการชาวอเมริกันวัย 48 ปี ที่เข้ามาดูแลเป็นนายใหญ่ของทีมตั้งแต่ปี 2018
นักแข่ง
Carlos Sainz
นักขับชาวสเปนวัย 25 ปี Carlos Sainz Jr. เริ่มต้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน Formula 1 ในนามนักแข่งทดสอบของทีม Red Bull และ Toro Rosso กอ่นที่จะถูกโปรโมทขึ้นเป็นนักขับหลักในทีม Scuderia Toro Rosso ประจำฤดูกาล 2015 เคียงข้างกับ Max Verstappen เริ่มสนามแรกด้วยการทำเวลาช่วงรอบคัดเลือกได้อันดับที่ 8 แต่จบการแข่งขันด้วยอันดับที่ 9 ก่อนจบฤดูกาลแรกของเขาด้วยอันดับที่ 15 ถัดมาในปี 2016 จบอันดับที่ 12 ตำแหน่งที่ดีที่สุดคืออันดับที่ 6 และปีสุดท้ายที่ Toro Rosso ปี 2017 เขาขับให้กับทีมเดิมได้จนถึงสนามที่ 16 ก่อนที่จะย้ายตัวเองมาอยู่กับทีม Renault ในสนามที่เหลือ จับคู่กับ Nico Hülkenberg เริ่มต้นสนามแรกด้วยการจบอันดับที่ 7 ถือเป็นการเปิดตัวที่ดีพอประมาณ ก่อนจบฤดูกาลนี้ด้วยการทำคะแนนรวม 2 ทีมได้อันดับที่ 9 ดีที่สุดตั้งแต่ขับมา ต่อมาในปี 2018 Sainz เริ่มต้นฤดูกาลได้ดี โดยเก็บคะแนนได้ 5 จาก 6 สนามแรก โดยดีที่สุดที่สนาม Azerbaijan จบอันดับที่ 5 สุดท้ายปิดฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 10 เก็บไปได้ 53 คะแนน เป็นรองเพื่อนร่วมทีมอย่าง Hülkenberg ที่จบอันดับที่ 7 ไป และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้เขาต้องออกไปหาทีมใหม่อย่างกะทันหัน เพราะการมาของนักแข่งอย่าง Daniel Ricciardo ที่ได้ตำแหน่งในทีมไปครองอย่างแน่นอน แต่ยังโชคดีที่มีที่ว่างในทีม McLaren เพราะ Fernando Alonso เจ้าของเก้าอี้เดิมเลิกแข่งไปนั่นเอง ทำให้เขาเริ่มฤดูกาล 2019 กับทีมจากแดนอังกฤษ สร้างผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง แถมยังสามารถขึ้นโพเดียมได้ในบราซิล หลังจากที่ Lewis Hamilton ผู้ที่เข้าอันดับ 3 ถูกลงโทษจากการขับรถชน Alex Albon ถือเป็นครั้งแรกของ Sainz ที่ได้ตำแหน่งนี้ด้วย จบฤดูกาลด้วย 96 คะแนน เป็นอันดับที่ 6 ดีที่สุดสำหรับตัวเขาเองในการขับ F1
Lando Norris
หนุ่มน้อยชาวอังกฤษวัย 20 ปี Lando Norris เริ่มต้นการขับรถแข่ง F1 ด้วยการเป็นนักขับเยาวชนของทีม McLaren ตอนปี 2017 ก่อนจะได้โอกาสขับทดสอบช่วงกลางฤดูกาล ก่อนที่จะขยับขึ้นเป็นนักขับทดสอบและตัวสำรองของทีมในปี 2018 และสุดท้าย เขาก็ได้โอกาสเข้าร่วมเป็นนักแข่งหลักให้กับทีมในฤดูกาล 2019 ร่วมกับ Carlos Sainz Jr. เริ่มคว้าคะแนนแรกให้กับตัวเองในฐานะนักขับ F1 ใน Bahrain ด้วยการจบอันดับที่ 6 ก่อนจบฤดูกาลแรกของเขาด้วยการเก็บ 49 คะแนน คว้าอันดับที่ 11 ไปครอง
Renault F1 Team
ค่ายรถยนต์จากแดนน้ำหอม Renault ได้ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ Formula 1 ตั้งแต่ปี 1977 โดยในปีแรกนั้น ได้ทำการส่งเครื่องยนต์ระบบ Turbo ลงสนามแข่งขันเป็นคันแรก แลพเมื่อถึงปี 1983 ก็เริ่มผลิตเครื่องยนต์รถแข่งส่งให้ทีมอื่นได้ใช้งานด้วย ก่อนที่จะเลิกทีมไปตอนปี 1986 ก่อนที่จะกลับมาลงทำการแข่งขันอีกครั้งในปี 2002 โดยซื้อทีมต่อมาจาก Benetton Formula Limited เริ่มต้นด้วยการใช้นักขับ Jarno Trulli และ Jenson Button ลงแข่งในฤดูกาลนั้น ทำคะแนนปีแรกไปได้ 23 คะแนนเท่านั้น จนถึงปี 2003 ทางทีมตัดสินใจปล่อยตัว Jenson Button แล้วนำนักแข่งสเปนอย่าง Fernando Alonso เข้ามาร่วมทีมแทน ซึ่งก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อ Alonso ได้คว้าแชมป์แรกในยุคใหม่ของ Renault ได้ในรายการ 2003 Hungarian Grand Prix และปิดฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 4 ก่อนที่จะเริ่มกวาดแชมป์ในนามทีมผู้สร้างไปได้อีก 2 ครั้ง (2005, 2006) และในนามนักแข่งอีก 6 ครั้งเช่นกัน (2005, 2006) แน่นอนว่าทั้ง 2 ปีคือฝีมือของ Fernando Alonso นั่นเอง ส่วนในปี 2010-2013 นั้น Renault ก็มีส่วนคว้าแชมป์ไปด้วยเช่นกัน เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่ทีม Red Bull Racing ใช้งานนั่นเอง ส่วนผลงานปี 2019 ทีม Renault ปิดฤดูกาลด้วยอันดับที่ 5 ด้วยคะแนนสะสม 91 คะแนน
Renault F1 Team มีฐานหลักอยู่ 2 แห่งคือ ส่วนที่ดูแลเรื่องโครงสร้างของตัวรถอยู่ในอังกฤษ ส่วนเครื่องยนต์นั้นอยู่ที่ฝรั่งเศส มี Cyril Abiteboul อายุ 42 ปี ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้อำนวยการทีมตั้งแต่ปี 2014
นักแข่ง
Daniel Ricciardo
นักแข่งหนุ่มอารมณ์ดี Daniel Ricciardo ชาวออสเตรเลีย อายุ 30 ปี เริ่มงานในการแข่งขัน F1 เมื่อปี 2009 ในฐานะนักขับรถทดสอบให้กับทีม Red Bull Racing จนถึงปี 2012 Ricciardo ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักขับให้กับทีม Scuderia Toro Rosso เสียที โดยโชว์ฟอร์มได้ดีในบ้านเกิดของเขารายการ Australian Grand Prix จนทำให้จบอันดับที่ 9 คว้าแต้มแรกให้กับตัวเองได้ในการแข่งขัน F1 แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร จบฤดูกาลแรกของเขาไปด้วยอันดับที่ 18 จาก 25 นักแข่ง เก็บได้ 10 คะแนน ปีต่อมาก็จบที่ 12 เก็บได้ 20 คะแนน ก่อนที่ปี 2014 จะถูกขยับขึ้นไปขับให้ทีมใหม่อย่าง Red Bull Racing แทน Mark Webber ซึ่งสนามแรกในการแข่งขันรายการ Australian Grand Prix ก็โชว์ฟอร์มสด ด้วยการทำอันดับรอบคัดเลือกได้อันดับที่ 2 และจบการแข่งขันไปได้ในตำแหน่งนี้เช่นกัน แต่สุดท้ายเขาถูกปรับแพ้ไปเพราะทำผิดกฎในส่วนการจ่ายน้ำมันเกินกำหนด แต่หลังจากนั้น ก็โชว์ฟอร์มได้ดี ด้วยการคว้าแชมป์ไป 3 สนาม 78 โพเดียม จบฤดูกาลด้วย 238 แต้ม เป็นอันดับที่ 3, ปี 2015 ทำได้ 92 คะแนน จบอันดับที่ 8 ไม่ได้แชมป์เลย ก่อนที่ปี 2016 จะคืนฟอร์มได้เล็กน้อยกับการคว้าไป 1 แชมป์ 8 โพเดียม แต่เป็นปีที่ก้าวขึ้นมาของ คว้าอันดับที่ 3 ไป แต่เป็นปีที่ก้าวขึ้นมาของ Max Verstappen ที่กำลังมากลายเป็นขวากหนามสำคัญของเขาในอนาคต แต่ปีต่อมา Ricciardo ก็ยังคงฟอร์มเดิมเอาไว้ได้ กับการคว้า 1 แชมป์ 9 โพเดียม เป็นอันดับที่ 5 แต่ไม่สามารถขยับขึ้นไปใกล้กับคำว่าแชมป์โลกได้เสียที และปี 2018 คือปีสุดท้ายของเขากับทีม Red Bull Racing ความขัดแย้งกับเบอร์ 2 ไฟแรงอย่าง Verstappen เริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ได้ประกาศย้ายทีมไปอยู่กับ Renault ในฤดูกาลถัดไปก่อนจบฤดูกาล ที่สื่อมวลชนมองว่า Ricciardo ไม่อยากเป็นมือ 2 รองใคร และต้องการหนีความกดดันที่เกิดขึ้นภายในทีมนั่นเอง ก่อนที่ปีนั้นจะทำไปได้ 170 แต้มพร้อมแชมป์ 2 สนาม และกับปีแรกภายใต้สีเสื้อของ Renault เขาไม่สามารถขึ้นตำแหน่งโพเดียมได้เลย ดีที่สุดคืออันดับที่ 4 เท่านั้น จบฤดูกาลด้วย 54 คะแนน เป็นอันดับที่ 9 เท่านั้น
Esteban Ocon
นักแข่งหนุ่มอนาคตไกล แต่ไร้ซึ่งเส้นทางที่สวยงามอย่าง Esteban Ocon หนุ่มอายุ 23 ปีชาวฝรั่งเศส ผลงานการสร้างโดยทีมเยาวชนของ Mercedes F1 team เริ่มต้นอยู่ในแวดวงรถแข่ง F1 เมื่อปี 2014 ในนามนักแข่งทดสอบของ Lotus F1 ก่อนที่ปี 2015 จะถูกทีม Force India เรียกตัวไปช่วยขับทดสอบแทน Pascal Wehrlein ที่เกิดอาการป่วย และในปีถัดมา ทีม Renault Sport F1 ได้ประกาศให้ Ocon ได้เป็นนักแข่งสำรองให้กับทีมในฤดูกาล 2016 จนถึงเดือนพฤษภาคม เขาได้ถูกทีม Manor Racing ไปขับแทน Rio Haryanto เนื่องจากการตกลงข้อตกลงกับผู้สนับสนุนไม่ได้ เริ่มสนามแรกในการแข่งขันรายการ Belgian Grand Prix จบอันดับที่ 16 ในปีนั้นทำได้ดีที่สุดเพียงอันดับที่ 12 เท่านั้น ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย แต่ในปี 2017 Ocon ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแข่งหลักในทีม Force India คู่กับ Sergio Pérez สร้างผลงานได้ดีขึ้น เก็บคะแนนได้อย่างต่อเนื่อง ดีที่สุดคืออันดับที่ 5 เก็บไปได้ 87 คะแนน ถือว่าดีมากสำหรับการขับให้ทีมกลางตาราง แต่ปีต่อมาผลงานตกลงไป ด้วยการจบอันดับที่ 12 ด้วย 49 คะแนน ผลงานดีที่สุดคือการจบที่ 6 ในสนาม และมันคือปีล่มสลายของทีม เพราะทีมถูกสั่งให้ขายจากปัญหาเรื่องการเงินของเจ้าของทีม Vijay Mallya เพราะเจอกับข้อหาก่ออาชญากรรมทางการเงินในอินเดีย สุดท้ายก็เป็น Lawrence Stroll นักธุรกิจชาวแคนาดา พ่อของ Lance Stroll นักแข่งของทีม Williams เข้ามาซื้อทีมๆไปแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Racing Point แน่นอนว่าเมื่อพ่อเป็นเจ้าของทีม ก็ต้องดึงตัวลูกชายมาช่วยขับให้ทีมของตัวเองอย่างแน่นอน ดังนั้น 1 ใน 2 คนที่ขับอยู่ก็ต้องหลุดออกจากทีมไป สุดท้าย Ocon คือชื่อนั้น ท่ามกลางเสียงนินทาว่าที่ Pérez ยังได้อยู่ต่อ เพราะมีสปอนเซอร์ทุนหนาหนุนหลังอยู่นั่นเอง ดังนั้นในปี 2019 เขาจึงไม่ได้ทำการลงแข่งขันรถสูตร 1 แต่ทำหน้าที่เป็นนักขับสำรองให้กับทีม Mercedes ไปก่อนชั่วคราว (Ocon มี Toto Wolff เป็นผู้จัดการส่วนตัว) ก่อนที่สุดท้าย Renault Sport F1 จะเซ็นสัญญามาร่วมทีมเพื่อลงแข่งในปี 2020 เป็นต้นไป
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com