การขับรถในญี่ปุ่น จากมุมมองชาวอเมริกัน
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 9 ธ.ค. 59 00:00
- 24,249 อ่าน
เราอาจจะเคยเห็นภาพรถซิ่งบนถนนในญี่ปุ่นหลายเรื่อง อย่างเช่น F&F 3 Tokyo Drift, Initial D แล้วก็คิดว่าที่นี่จะเป็นสวรรค์สำหรับนักซิ่ง แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ วันนี้เราเลยเอาบทความของ Flavien Vidal คอลัมนิสต์ด้านรถยนต์ของ Road And Track ที่ทำงานอยู่ในญี่ปุ่น มาบรรยายความรู้สึกของการขับรถในญี่ปุ่นมาฝากกันครับ
ถ้าคุณกำลังอยู่ในโลกแห่งความฝันว่าอยู่ในญี่ปุ่น แล้วได้เป็นเจ้าของ Nissan Skyline R33 GT-R ให้คนอื่นได้อิจฉาเล่น แล้วเพลิดเพลินกับการขับอยู่บนถนนญี่ปุ่น แต่ความจริงที่ต้องเจอคือการจราจรที่แสนจะแย่, ค่าทางด่วนแสนแพง, คนขับแย่ และการจำกัดความเร็วที่ดูไม่เข้าท่า วันนี้ผมจะมาอธิบายให้ว่า การขับรถในประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นอย่างไร
การเติมน้ำมัน
การเติมน้ำมันที่นี่ก็คล้ายกับที่อเมริกา คือเลือกเติมได้ 3 ชนิดคือแบบ ธรรมดา, พรีเมี่ยม และดีเซล จ่ายได้ทั้งแบบเงินสดและเครดิตการ์ด แต่อาจจะแตกต่างกันบ้างในเรื่องของการบริการ
เมื่อคุณขับรถเข้ามาที่ปั๊มน้ำมัน จะเจอได้กับพนักงานราว 5-6 คน ที่จะรุมกันเข้ามาเพื่อช่วยบริการ อาจจะมีบ้างบางปั๊มที่เป็นแบบบริการตัวเอง แต่ไม่มากเท่าที่นิวเจอร์ซี่
พนักงานจะคอยโบกบอกให้คุณรู้ว่าต้องจอดตรงไหน จากนั้นก็จะมาถามอีกทีว่าคุณจะเติมน้ำมันชนิดไหน เมื่อบอกเสร็จ ก็จะนำหัวจ่ายเข้าเติมที่ถังน้ำมัน จากนั้นพนักงานก็จะกุลีกุจอเข้ามาคอยทำความสะอาดรถของเรา ทั้งยื่นผ้าเหม็นๆมาให้เราเช็ดคอนโซลในรถ (ใครไม่อยากให้ในรถคุณเหม็นเหมือนผ้าก็ปฏิเสธไป) แล้วจะถามว่าคุณมีขยะในรถให้ทิ้งมั้ย รวมทั้งจะทำความสะอาดกระจกหน้าและหน้าต่างให้ บริการทั้งหมดนี้ไม่คิดตังเพิ่ม เมื่อเสร็จแล้วพนักงานที่รุมล้อมอยู่ก็จะกล่าวคำลาตามสไตล์ญี่ปุ่น แถมยังคอยโบกรถเพื่อให้ออกจากปั๊มได้สะดวกขึ้นอีกด้วย ขอบคุณมากสำหรับบริการดีๆ
ขับรถในเมือง
เมื่อคุณต้องการเดินทางไปอีกที่หนึ่งในญี่ปุ่นที่ห่างออกไป 25 กิโลเมตร แล้วเปิด Google Maps เพื่อนำทางโดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง 10 นาที บ้าไปแล้ว ใกล้แค่นี้เอง ทำไมมันถึงใช้เวลามากขนาดนี้ได้
ลองนึกถึงภาพการจราจรที่ติดขัด คุณก็ต้องใช้เวลาในการเดินทางมากอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เถอะสำหรับคนญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าการจราจรจะเบาบาง สุดท้ายพวกเขาก็ยังขับรถช้าถึงช้ามากอยู่ดี ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่ที่หลังพวงมาลัย
จริงอยู่ว่าการโทรศัพท์ขณะขับรถจะผิดกฎหมายในญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาช้าก็คือ TV ส่วนใหญ่รถยนต์ในญี่ปุ่นจะมีระบบหน้าจอนำทางที่สามารถใช้รับชม TV ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายคันที่จะทำงานบนรถทุกครั้งที่พวกเขาจอดติดไฟแดง พอรถไปได้ก็ขยับออกไปช้า รถก็เลยติดกันมากมาย
ใบขับขี่ของญี่ปุ่นสอบยากมากๆ แต่การสอบของเขาน่าจะเหมาะกับการสอบขับ Gymkhana มากกว่าจะสอบมาขับบนถนนปกติ โดยโปรแกรมการสอบไม่เคยสอนว่าควรจะใช้ถนนร่วมกับคนอื่นอย่างไร, เปลี่ยนเลนอย่างไร, ใช้ถนนอย่างไรให้ปลอดภัย ถึงแม้การจำกัดความเร็วจะช้ามากอยู่แล้ว แต่คนญี่ปุ่นก็ยังมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 8 คนต่อการเดินทางทุก 1 พันล้านกิโลเมตร มากกว่าสหรัฐฯ ที่ 7.1 คน, ฝรั่งเศสที่ 5.8 คน เยอรมนีที่ 4.9 คน ที่มีการจำกัดความเร็วที่สูงกว่านี้ด้วยซ้ำ
ถนนที่ยอดเยี่ยม
ถ้าคุณรอดชีวิตออกมาจากการจราจรในเมืองได้ ทีนี้ล่ะ ถนนก็จะกลายเป็นของคุณแล้ว โดยเฉพาะถนนที่อยู่แถบภูเขาซึ่งมันสวยมากๆ ถ้ามันไม่อยู่ใกล้เมืองที่มีคนอาศัยมากเกินไป แถวนั้นก็แทบจะไม่มีรถคันอื่นหรือตำรวจมากวนใจคุณแล้ว คุณสามารถเข้าโค้งดริฟท์ได้แบบสบายใจโดยไม่มีคนตามคุณมาแน่ๆ แต่อย่าลืมว่าถนนแบบนี้ ถ้าคุณเข้าโค้งพลาดปั๊บ คุณอาจตกเขาได้ทันที เพราะเครื่องป้องกันในถนนแบบนี้แทบจะไม่มีเลย
หลายโค้งที่เป็นมุมบอด จะมีกระจกโค้งเพื่อให้คุณมองเห็นรถที่มาจากอีกฝั่ง แต่ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก เพราะเอาจริงๆแล้วรถบนถนนแบบนี้ จะมีรถที่วิ่งผ่านมาเพียง 1-2 คันต่อชั่วโมงเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าคุณมากับเพื่อนแล้วต้องการขับแข่งกันเพื่อส่งเต้าหู้ การใช้วิทยุสื่อสารจะเป็นทางเลือกที่เจ๋งที่สุดในการซิ่งลงเขา
จริงอยู่ว่าถนนบนเขา ก็มีการจำกัดความเร็วที่ 40-60 กม./ชม. แต่ตราบใดที่คุณไม่ขับจนทำชาวบ้านเดือนร้อนแล้วร้องเรียน ตำรวจจะไม่มีวันมายุ่งกับคุณแน่นอน ถ้าแน่ใจว่าเมื่อคุณซิ่งแล้วไม่มีคนเดือดร้อน บอกได้เลยว่าถนนแห่งนี้เป็นสวรรค์ของคุณแน่นอน
แต่ถ้าอยากซิ่งแบบถูกกฎหมาย ที่นี่ก็มีสนามแข่งรถให้บริการอยู่เช่นกัน สนนราคาอยู่แค่เพียงประมาณ 20-30 เหรียญสหรัฐฯ (700-1,000 บาท) ต่อการซิ่ง 20 นาที มันก็ให้ประสบการณ์ที่ดีได้เช่นกัน
ทางด่วน
ถ้าคุณจะคำนวนว่า แต่ละวันจะต้องใช้เงินในการดำเนินชีวิตเท่าไหร่ในญี่ปุ่น ต้องถามก่อนว่า คุณต้องเดินทางในแต่ละวันไกลขนาดไหน เพราะยิ่งไกลเท่าไหร่ กระเป๋าตังของคุณก็ยิ่งเจ็บมากขึ้น เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะค่าทางด่วนที่แสนแพงยังไงล่ะ ขอบคุณมากจริงๆ
ทางหลวงแบบฟรีแทบจะไม่มีเลยในญี่ปุ่น แถมการเก็บเงินค่าใช้ทางก็แสนจะแพงมหาโหด ตอนเริ่มสร้างทางด่วน ทางการสัญญาว่าจะไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้, ตู้เก็บเงินจะหายไป แต่เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลย คนญี่ปุ่นเลยต้องเจอกับบิลค่าทางด่วนแบบมหาศาลอยู่เป็นประจำ
ยกตัวอย่างเช่น ปกติผมจะพักอยู่ที่โอกาซากิ ใกล้กับเมืองนาโกย่า แล้วต้องขับรถเดินทางเข้าสู่โตเกียวที่อยู่ห่างไปประมาณ 300 กม. ถ้าใช้เส้นทางธรรมดา ผมต้องใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง ใช่แล้วคุณอ่านถูกแล้วว่า 7 ชั่วโมง แต่ถ้าผมใช้ทางด่วน ผมจะใช้เวลาในการเดินทางไม่เกิน 3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ปัญหาคือการเดินทางไปกลับร่วม 600 กม. นี้ ผมต้องจ่ายค่าทางด่วนราว 140 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 5,000 บาท) ถ้ารวมกับค่าน้ำมันประมาณ 70 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 2,500 บาท) ผมต้องจ่ายถึง 210 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 7,500 บาท) ในการเดินทางครั้งนี้เลยทีเดียว แต่ถึงค่าทางด่วนจะแพงมหาศาล แต่คุณภาพของถนนกลับแย่ เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่พบกับการสั่นไหวของแผ่นดินไหวอยู่บ่อยๆ ดังนั้นถ้าคุณขับรถสปอร์ต ก็อาจจะลำบากในการขับซักหน่อย
ตำรวจ
ถึงการจำกัดความเร็วจะกำหนดไว้ต่ำมาก ในเมือง 40 กม./ชม. นอกเมือง 50-60 กม./ชม. ทางด่วน 100 กม./ชม. แต่ไม่ต้องห่วงเลย ตำรวจดูจะไม่สนใจเรื่องจำกัดความเร็วซักเท่าไหร่
ถึงจะขับราว 120 - 130 กม./ชม. บนทางด่วน แต่ก็แทบไม่มีตำรวจมาคอยหยุดรถเพื่อทำการปรับเราเลย รวมทั้งถึงจะขับบนถนนปกติที่ 90 กม./ชม. ตำรวจก็ไม่สนใจเช่นกัน ถึงจะมีกล้องที่คอยจับความเร็วอยู่ แต่ตามกฎหมายแล้ว การจะออกใบสั่งได้ กล้องจะต้องทำการจับภาพของทะเบียนรถรวมทั้งหน้าคนขับได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเราจะเห็นรถยนต์หลายคันในญี่ปุ่น ติดทะเบียนในมุมแปลกๆ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการจับภาพได้ตอนขับเร็วเกินกำหนดนั่นเอง อย่างภาพของ Lotus Europa คันนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีทะเบียนรถนะ แต่มันถูกติดเพื่อหลบกล้อง แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกผิดแล้วนะที่แนะนำวิธีหลบความผิด ดังนั้นติดทะเบียนที่กันชนน่ะดีแล้ว
แต่เมื่อไหร่ที่คุณถูกตำรวจเรียก ไม่ต้องโต้เถียงเขาเลย เพราะตำรวจของญี่ปุ่นมีความเป็นมืออาชีพมาก ดังนั้นการเรียกแต่ละครั้งคือคุณขับรถผิดจริง
ถ้าคุณไม่ได้อาศัยอยู่ใจกลางโตเกียวหรือโอซาก้า การขับรถในญี่ปุ่นมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปซะทั้งหมดหรอก ขับในเมืองมันอาจจะช้าจากการจราจร, ค่าทางด่วนและค่าจอดรถในเมืองอาจจะแพง แต่มันก็เป็นส่วนน้อย 75% ของถนนในญี่ปุ่นอยู่แถบภูเขาที่สวยงามและน่าขับมาก และรถบนถนนส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถญี่ปุ่นผลิตเอง ดังนั้นถ้าหากคุณได้มีโอกาสมาอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น น่าจะหารถมาเป็นเจ้าของไว้ซักคัน เพราะจะเป็นวิธีเดียวที่จะพาคุณไปตามจุดท่องเที่ยวได้ทุกที่ ถึงจะเจอเพื่อนร่วมทางที่ดีบ้างแย่บ้าง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนเช่นกัน
*ต้นฉบับบทความจาก Road and Track
** มีการดัดแปลงการใช้คำจากต้นฉบับบ้างเล็กน้อย เพื่อความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com