จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Ford ผู้เปลี่ยนโลกของยานยนต์จากชนชั้นสูงสู่รถของทุกคน

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 4 ก.ย. 67
  • 1,525 อ่าน

ถ้าให้เอ่ยถึงแบรนด์รถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุด ก็คงต้องบอกว่า Benz คือยี่ห้อแรกของโลก แต่ถ้าให้พูดถึงยี่ห้อรถยนต์ที่ทำให้คนทั่วไปซื้อได้อย่างแพร่หลาย คงต้องเป็นยี่ห้อสัญชาติอเมริกันอย่าง Ford แน่นอน เราจะมารับทราบเพิ่มเติมตั้งแต่ต้นกำเนิดว่า แบรนด์นี้กำเนิดมาอย่างไรบ้าง

Ford

ประวัติของ Henry Ford ผู้ให้กำเนิดยี่ห้อรถยนต์แห่งมหาชน

วัยเด็กและครอบครัว

Henry Ford เกิดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1863 ที่ฟาร์มใกล้เมือง Dearborn รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา เขาเป็นลูกคนแรกของ William Ford และ Mary Litogot Ford ซึ่งเป็นเกษตรกรชาวไอริช-อเมริกัน

ตั้งแต่เด็ก Henry แสดงให้เห็นถึงความสนใจในเครื่องจักรกล โดยเฉพาะนาฬิกา เขาชอบถอดและประกอบนาฬิกาเพื่อดูกลไกการทำงาน ความสนใจนี้ได้ปูทางสู่อาชีพวิศวกรของเขาในอนาคต

Ford

การศึกษาและงานแรก

Henry ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนประจำท้องถิ่น แต่เขาไม่ชอบการเรียนในระบบโรงเรียนมากนัก เขาสนใจการเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์และเครื่องจักรกล

ในปี 1879 เมื่ออายุ 16 ปี Henry ออกจากบ้านไปทำงานเป็นช่างกลที่ Detroit เขาได้ทำงานกับเครื่องจักรไอน้ำและเครื่องยนต์ต่างๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากสำหรับเขา

Ford

การทำงานกับ Edison และการทดลองสร้างรถยนต์

ในปี 1891 Henry ได้เข้าทำงานเป็นวิศวกรที่บริษัท Edison Illuminating Company ของ Thomas Edison ใช่แล้ว นี่คือคนเดียวกับที่ทำให้หลอดไฟฟ้าใช้งานได้อย่างแพร่หลาย และเป็นคนเดียวกับที่คิดค้นเครื่องบันทึกเสียงเป็นคนแรกนั่นเอง ที่นี่เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ไฟฟ้าและได้พบกับ Edison ซึ่งกลายเป็นเพื่อนและที่ปรึกษาของเขา

ในเวลาว่าง Henry ทดลองสร้างเครื่องยนต์สันดาปภายในและรถยนต์ของตัวเอง จนกระทั่งในปี 1896 เขาสร้าง "Quadricycle" ซึ่งเป็นรถยนต์คันแรกของเขาสำเร็จ

Ford

การก่อตั้ง Ford Motor Company

หลังจากประสบความสำเร็จกับ Quadricycle Henry ตัดสินใจลาออกจาก Edison เพื่อมุ่งเน้นการสร้างรถยนต์ เขาได้ร่วมก่อตั้งบริษัทผลิตรถยนต์สองแห่งที่ล้มเหลว เริ่มต้นจาก  Detroit Automobile Company ในปี 1899 แต่รถยนต์ที่ผลิตมา มีคุณภาพต่ำและราคาสูงกว่าที่ Henry Ford ต้องการ จึงได้ยุบบริษัทไปในปี 1901 หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เขากับ William H. Murphy และผู้ถือหุ้นจากบริษัทเดิม ก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า Henry Ford Company โดยที่ตัวเขาได้ดูแลตำแหน่งหัวหน้าวิศวกรใหญ่ แต่ในปี 1902 มีการเข้ามาของ Henry M. Leland ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษา และมีการลาออกจากบริษัทของ Henry ในเวลาต่อมา เมื่อเจ้าตัวออกไปแล้ว ตัวบริษัทเดิมจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Cadillac Automobile Company แทน ก่อนที่ Henry Ford จะก่อตั้ง Ford Motor Company ในปี 1903

Ford Motor Company ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังจากการเปิดตัว Model T ในปี 1908 ซึ่งเป็นรถยนต์ราคาประหยัดที่คนทั่วไปสามารถซื้อได้ โดยรถคันนี้ถูกผลิตขึ้นมาตั้งแต่ปี 1908 และเริ่มจำหน่ายในราคาเพียง 825 ดอลลาร์สหรัฐฯ (มูลค่าปัจจุบันประมาณ 27,980 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 977,000 บาท และราคาลดลงปี ไปจนถึงปี 1920 จนรถ Model T กลายเป็นรถยนต์รุ่นหลักที่คนอเมริกันใช้งนการหัดขับรถ Ford Model T ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Ford และอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม Model T ได้รับการออกแบบให้เป็นรถยนต์ที่ราคาไม่แพงและง่ายต่อการซ่อมบำรุง ทำให้เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวอเมริกัน

Ford

การปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิต

Henry Ford ได้นำเสนอระบบการผลิตแบบสายพานประกอบ (Assembly Line) มาใช้ในการผลิต Model T ซึ่งช่วยลดเวลาและต้นทุนในการผลิตลงอย่างมาก ทำให้สามารถผลิตรถยนต์ได้จำนวนมากและมีราคาถูกลง นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก

นอกจากนี้ Henry ยังได้ริเริ่มนโยบาย "$5 Day" ในปี 1914 โดยจ่ายค่าแรงขั้นต่ำ 5 ดอลลาร์ต่อวันให้กับคนงาน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากในเวลานั้น นโยบายนี้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับคนงานและสร้างตลาดสำหรับรถยนต์ของ Ford โดยการขึ้นค่าแรงครั้งนี้ ทำให้โรงงานอื่นจำเป็นต้องขึ้นค่าแรงตามโรงงานของ Ford เพราะไม่อย่างนั้น โรงงานจะไม่มีคนทำงานให้นั่นเอง

ในทศวรรษที่ 1910 และ 1920 Ford ได้ขยายธุรกิจไปทั่วโลก โดยเริ่มจากการเปิดโรงงานในแคนาดาในปี 1904 ตามด้วยสหราชอาณาจักรในปี 1911 และเยอรมนีในปี 1925 การขยายตัวนี้ทำให้ Ford กลายเป็นบริษัทรถยนต์ระดับโลกอย่างแท้จริง

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 Ford ได้มีส่วนร่วมในการผลิตยานพาหนะและอุปกรณ์ทางทหารให้กับกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงเครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 Liberator ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย

Ford

ยุคหลังสงครามและการพัฒนานวัตกรรมใหม่

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Ford ได้เริ่มพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ในปี 1948 Ford ได้เปิดตัว F-Series ซึ่งเป็นรถกระบะที่กลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในอเมริกาเหนือมาจนถึงปัจจุบัน
ในปี 1954 Ford ได้เปิดตัว Thunderbird ซึ่งเป็นรถสปอร์ตหรูที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และในปี 1964 บริษัทได้เปิดตัว Mustang ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Ford และเป็นต้นกำเนิดของรถยนต์ประเภท "Muscle Car" และกลายเป็นรถรุ่นที่ขายดีมากที่สุดของฟอร์ดไปเลย

Ford

การเผชิญกับความท้าทายและการปรับตัว

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 Ford ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ รวมถึงวิกฤตน้ำมันและการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น บริษัทได้ตอบสนองด้วยการพัฒนารถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เช่น Ford Escort และ Ford Taurus
ในปี 1979 Ford ได้ซื้อหุ้น 25% ใน Mazda ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก ความร่วมมือนี้นำไปสู่การพัฒนารถยนต์ร่วมกันหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Ford Ranger + Mazda BT-50 หรือ Ford Escape + Mazda Tribute เป็นต้น แต่เมื่อถึงปี 2008 ทาง Ford ก็เริ่มทยอยขายหุ้นของ Mazda ออก และขายออกจนหมดไปเมื่อปี 2012 สิ้นสุดความร่วมมือของทั้ง 2 ค่าย

Ford

ความสำเร็จและอิทธิพลทางสังคม

ภายใต้การนำของ Henry Ford บริษัท Ford กลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก ความสำเร็จนี้ทำให้ Henry กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอเมริกา

Henry มีแนวคิดที่ก้าวหน้าในหลายด้าน เช่น การสนับสนุนสันติภาพโลกและการต่อต้านสงคราม อย่างไรก็ตาม เขาก็มีความคิดที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน โดยเฉพาะทัศนคติต่อต้านชาวยิวของเขา แต่ภายหลัง เขาก็ได้ออกประกาศขอโทษแก่ชาวยิวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

และบาดแผลที่คนงานของ Ford ในสมัยยุคแรกของการก่อตั้งโรงงาน ที่เป็นที่จดจำอันยาวนานก็คือ เหตุการณ์ Ford Hunger March ซึ่งเป็นเหตุการณ์การประท้วงของแรงงานที่เกิดขึ้นในปี 1913 ที่บริษัท Ford Motor Company ในเมือง Detroit รัฐมิชิแกน โดยรายละเอียดของเหตุการณ์ มีดังนี้

  • ภูมิหลัง ในช่วงปี 1913 มีแรงงานจำนวนมากที่ไม่พอใจต่อนโยบายและสภาพการทำงานในโรงงาน Ford ซึ่งรวมถึงค่าจ้างที่ต่ำ ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และสภาพแวดล้อมในโรงงานที่ไม่ปลอดภัย
  • การชุมนุมประท้วง ในวันที่ 7 มีนาคม 1913 มีแรงงานจำนวนมากกว่า 6,000 คน ได้ร่วมกันเดินขบวนเพื่อประท้วงหน้าโรงงานหลัก Ford ในเมือง Highland Park
  • การปะทะกันและความรุนแรง เหตุการณ์นี้นำไปสู่การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างแรงงานและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัท มีรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน
  • ผลกระทบและบทเรียน เหตุการณ์ Ford Hunger March ได้รับความสนใจอย่างมากจากสาธารณชน และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แรงงานและสหภาพแรงงานเริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้นเพื่อต่อสู้เรียกร้องสิทธิและสภาพการทำงานที่ดีขึ้น
  • แม้ว่าในระยะแรกฝ่ายบริหารของ Ford จะใช้มาตรการกดขี่และปราบปรามแรงงาน แต่เหตุการณ์นี้ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติต่อแรงงานของบริษัทในเวลาต่อมา

ดังนั้น Ford Hunger March จึงถือเป็นจุดสำคัญในการตื่นตัวและการเคลื่อนไหวของแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงเวลานั้น

Ford

ช่วงปลายชีวิตและมรดกที่ทิ้งไว้ของ Henry Ford

ในช่วงท้ายของชีวิต Henry ค่อยๆ ถอยห่างจากการบริหารบริษัท Ford โดยมอบหมายให้ลูกชายของเขา Edsel Ford เข้ามาดูแลแทน แต่หลังจาก Edsel เสียชีวิตในปี 1943 Henry ก็กลับมาบริหารบริษัทอีกครั้งเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะส่งมอบให้หลานชาย Henry Ford II ในปี 1945

Henry Ford เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 เมษายน 1947 ที่บ้านของเขาใน Dearborn รัฐมิชิแกน ด้วยวัย 83 ปี เขาทิ้งมรดกอันยิ่งใหญ่ไว้ในฐานะผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์และผู้ปฏิวัติระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรม

Ford

ผลงานและรางวัลของ Henry Ford

ตลอดชีวิตของเขา Henry Ford ได้รับการยกย่องและได้รับรางวัลมากมาย รวมถึง:
- ได้รับเหรียญ Elliott Cresson จาก Franklin Institute ในปี 1928
- ได้รับรางวัล Grand Cross of the German Eagle จากนาซีเยอรมนีในปี 1938 (ซึ่งเป็นที่ถกเถียงในภายหลัง)
- ได้รับการเลือกให้เป็นหนึ่งใน "บุคคลแห่งศตวรรษ" โดยนิตยสาร Time ในปี 1999

Henry Ford ได้ทิ้งมรดกทางความคิดและนวัตกรรมไว้มากมาย ซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมการผลิตและการบริหารธุรกิจจนถึงปัจจุบัน เขาไม่เพียงแต่ปฏิวัติวิธีการผลิตรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกด้วยการทำให้รถยนต์กลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถเป็นเจ้าของได้

Ford

ยุคแห่งนวัตกรรมและความยั่งยืน

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 และต้นศตวรรษที่ 21 Ford ได้มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในปี 2004 บริษัทได้เปิดตัว Ford Escape Hybrid ซึ่งเป็นรถ SUV ไฮบริดรุ่นแรกของโลก Ford ยังได้ลงทุนอย่างมากในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า โดยในปี 2021 ได้เปิดตัว Ford Mustang Mach-E ซึ่งเป็นรถ SUV ไฟฟ้าที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้า F-150 Lightning ในอนาคตอันใกล้

Ford

Ford ในปัจจุบันและอนาคต

ปัจจุบัน Ford ยังคงเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีการดำเนินงานในหลายประเทศทั่วโลก บริษัทกำลังมุ่งเน้นการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ โดยมีแผนที่จะลงทุนกว่า 22 พันล้านดอลลาร์ในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2025

Ford ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดรถกระบะด้วย F-Series ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในอเมริกาเหนือมาเป็นเวลากว่า 40 ปี นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการพัฒนา SUV และ Crossover เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

Ford

บทสรุป

ตลอดระยะเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมา Ford ได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์โลก จากการปฏิวัติระบบการผลิตด้วยสายพานประกอบ ไปจนถึงการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติในปัจจุบัน Ford ยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์

แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่ Ford ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและการอยู่รอดในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ด้วยการมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป Ford ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก และดูเหมือนว่าจะยังคงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ต่อไปในอนาคต

รายชื่อรุ่นรถยนต์ที่สำคัญ ที่ Ford เคยผลิตมา

1. Model A (1903-1904)
2. Model T (1908-1927)
3. Model A (รุ่นที่สอง) (1927-1931)
4. Ford V8 (1932-1954)
5. Ford Thunderbird (1955-1997, 2002-2005)
6. Ford Falcon (1960-1970 ในสหรัฐอเมริกา, 1960-2016 ในออสเตรเลีย)
7. Ford Mustang (1964-ปัจจุบัน)
8. Ford GT40 (1964-1969)
9. Ford Escort (1968-2000 ในยุโรป, 1981-2003 ในอเมริกาเหนือ)
10. Ford Pinto (1971-1980)
11. Ford Fiesta (1976-ปัจจุบัน)
12. Ford Taurus (1986-2019, 2023-ปัจจุบัน)
13. Ford Explorer (1990-ปัจจุบัน)
14. Ford Mondeo (1993-2022)
15. Ford Focus (1998-ปัจจุบัน)
16. Ford Ka (1996-2021)
17. Ford Fusion (2006-2020)
18. Ford Edge (2007-ปัจจุบัน)
19. Ford EcoSport (2003-ปัจจุบัน)
20. Ford Ranger (1983-2011, 2019-ปัจจุบัน ในอเมริกาเหนือ, 1998-ปัจจุบัน ในตลาดอื่นๆ)
21. Ford GT (2005-2006, 2017-2022)
22. Ford C-Max (2003-2019)
23. Ford Flex (2009-2019)
24. Ford Maverick (2022-ปัจจุบัน)
25. Ford Mustang Mach-E (2020-ปัจจุบัน)
26. Ford F-Series (1948-ปัจจุบัน)
27. Ford Bronco (1965-1996, 2021-ปัจจุบัน)
28. Ford Everest (2003-ปัจจุบัน)

29. Ford Escape (2000-ปัจจุบัน)

นี่เป็นเพียงรายชื่อรุ่นรถยนต์สำคัญบางส่วนเท่านั้น Ford มีรุ่นรถยนต์อื่นๆ อีกมากมายที่ผลิตและจำหน่ายในตลาดต่างๆ ทั่วโลก และช่วงเวลาการผลิตอาจแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค นอกจากนี้ Ford ยังมีรถเชิงพาณิชย์และรถบรรทุกอีกหลายรุ่นที่ไม่ได้รวมอยู่ในรายการนี้

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com