สัมผัส Ducati Desmo Ride 2019 พร้อมทดลองขี่บิ๊กไบค์ยอดนิยม 3 รุ่นรวด
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 21 ม.ค. 62 00:00
- 14,288 อ่าน
สำหรับชาว Ducatista หรือผู้ที่รักในการขับขี่รถจักรยานยนต์ Ducati ย่อมเคยได้ยินทริปใหญ่ประจำปีของค่ายนี้อย่าง Ducati Desmo Ride มาบ้างแล้ว และหลายคนก็อยากไปร่วมทริปนี้ เพราะต้องการนำรถที่ตัวเองรักไปสัมผัสการออกทริปแบบระยะทางยาว ๆ กับเพื่อน ๆ คอเดียวกัน และได้รับการดูแลพิเศษอย่างดีจาก ดูคาติ ไทยแลนด์
ปีนี้ก็เป็นอีกครั้งที่งาน Ducati Desmo Ride 2019 จัดขึ้นตั้งแต่ต้นปี เป็นการรวมกันออกทริปแบบกรุ๊ปใหญ่ของบรรดาลูกค้าของ Ducati โดยทาง AUTODEFT เอง ก็ได้รับเกียรติในการได้รับเชิญมาจากทาง ดูคาติ ไทยแลนด์ ให้เข้าร่วมทริปเพื่อสังเกตุการณ์การเดินทางในครั้งนี้ด้วย โดยครั้งนี้ จะเป็นการเดินทางที่มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ เขาค้อ จ. เพชรบูรณ์ ระยะเวลาในการร่วมกิจกรรมคือ 3 วัน 2 คืน โดยในวันที่ 2 จะมีการส่งความสุขให้กับน้อง ๆ ที่ขาดโอกาสในชุมชนที่ห่างไกลอีกด้วย
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ มีลูกค้าผู้ร่วมทริปอยู่ประมาณ 30 คัน มีจักรยานยนต์ Ducati อยู่หลากหลายรุ่น ทั้ง Monster, Multistrada, Diavel เป็นต้น ส่วนสื่อมวลชนทั้งหมด 4 ท่าน จะได้รถประจำกายรวม 4 คัน 3 รุ่น ทั้ง Monster 821 จำนวน 2 คัน, Scrambler 1100 Sport และ Multistrada 1260 S อีกอย่างละ 1 คัน เส้นทางในวันแรกของการเดินทาง ก็คือเริ่มจากที่โชว์รูมดูคาติ ตรงถนนวิภาวดี วิ่งไปในเส้นวิภาวดี-รังสิต ตรงไปทางสระบุรี ก่อนที่จะแยกเลี่ยงเมืองออกไปมุ่งหน้าทางจังหวัดเพชรบูรณ์ ก่อนที่จะเลี้ยวขึ้นเขาค้อ แล้วทะลุออกมาถึงถนนสาย พิษณุโลก-หล่มสัก แล้วเข้าที่พัก ระยะทางรวมโดยประมาณ 400 กิโลเมตร
การเดินทางในกิจกรรม Ducati Desmo Ride 2019 นั้น จะถูกแบ่งขบวนออกเป็น 2 กลุ่ม เพื่อไม่ให้ขบวนนั้นมีความยาวมากเกินไปจนไปรบกวนผู้ใช้ถนนคนอื่น มี Marshal ดูแลอยู่ทั้ง 2 กลุ่ม กลุ่มละ 3 คัน โดย Marshal ทั้ง 6 คนนั้น ได้รับการอบรมมาแล้วอย่างดี ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า ผู้ร่วมขบวนทุกคัน จะได้รับการนำทางที่ถูกต้อง และเดินทางได้ด้วยความปลอดภัยตลอดเส้นทาง และทางสื่อมวลชนก็ถูกแบ่งไปกรุ๊ปละ 2 คน โดยผมนั้นได้ร่วมไปในกรุ๊ปที่ 2 แต่ละกรุ๊ปจะถูกปล่อยออกตัวให้ระยะห่างอยู่ประมาณ 10 นาที
สำหรับรุ่นแรกที่ผมได้ขี่นั้น จะเป็น Ducati Monster 821 รถจักรยานยนต์สไตล์ Naked ยอดนิยม เครื่องยนต์ 2 สูบขนาด 821 ซีซี 109 แรงม้า ถือเป็นทรงขายดีของดูคาติในประเทศไทยเลย โดยช่วงแรกของการเดินทาง เส้นทางส่วนใหญ่จะมีรถต่อนข้างเยอะครับ อย่างที่เรารู้กันอยู่ว่าถนนแถววิภาวดีในช่วง 8 โมงเช้า รถจะเยอะขนาดไหน (ต่อให้เป็นขาออกก็เหอะ) แต่ด้วยทรงของรถที่เป็นสไตล์ Naked ที่มีกำลังเครื่องยนต์แรงระดับ 109 แรงม้า (แรงกว่า Eco Car เสียอีก) เมื่อบวกันทั้ง 2 อย่าง ก็ทำให้การมุดเข้ารูซ้าย ซอกขวา สามารถทำได้คล่องแคล่ว และทันใจทุกครั้งเมื่อบิดคันเร่ง แต่ก็แอบนึกอยู่เหมือนกันว่า ถ้าเอาไปมุดตามช่วงที่รถติดมาก ๆ จะคล่องตัวหรือเปล่า เพราะสัดส่วนของรถก็ค่อนข้างใหญ่พอสมควร
เมื่อหลุดออกมาจากรังสิตได้ คราวนี้รถเริ่มคล่องตัวมากขึ้นอีกหน่อย คราวนี้ได้เริ่มประลองกำลังเครื่องยนต์กันดูบ้าง เมื่อ Marshal ทุกคันในกลุ่มก็ทำการซัดกันตามไปทันที ไม่เป็นปัญหาในการขี่ตามครับ เพราะแค่บิดคันเร่ง ความเร็วสามารถไต่จากระดับ 80 ไปจนถึงระดับ 140 ได้อย่างสบาย ตอนแรกก็แอบเป็นห่วงเหมือนกันว่าบรรดาลูกค้าของ Ducati จะขี่เร็วตามทันได้หรือเปล่า แต่ผิดคาดครับ เพราะแต่ละคนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์การออกทริปแบบนี้มากันแล้ว สามารถไล่ตามได้อย่างไม่เคอะเขิน Marshal นำไปเร็วแค่ไหน พาไปรูไหน ทุกคันก็สามารถวิ่งตามได้อย่างไม่มีปัญหา แถมบางคันมีพาคู่รักซ้อนท้ายมาด้วย คนนั่งซ้อนก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะกลัวแต่อย่างใด แต่ละคนเมื่อจอดพัก ทุกคนมีความสุขกันถ้วนทั่วทุกคนเลย
แต่ Ducati Monster 821 มันก็ไม่ได้มีข้อดีไปทั้งหมดครับ สิ่งที่ผมต้องเจอแล้วรู้สึกได้คือตอนจอดรถติดไฟแดง ที่ขาของเราบริเวณน่องจะร้อนมากครับ ขนาดใส่กางเกงยีนส์ที่หนาแล้ว ความร้อนยังทะลุเข้ามาได้เลย แต่เมื่อได้ออกตัวไปแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่เป็นปัญหาครับ อีกเรื่องคือเมื่อเราขี่ด้วยความเร็วมาก ๆ ตัวเราจะต้านลมมากครับ เนื่องจากท่านั่งของรถทรง Naked มันกางรับลมอยู่แล้ว ดังนั้นใครที่อยากได้รถสไตล์นี้ แล้วขี่รถเร็วแบบทางไกล คงต้องคิดให้ดีก่อนนะครับ
หลังจากผ่านไปครึ่งทาง ก็ต้องสลับรถเปลี่ยนเป็น Ducati Scrambler 1100 Sport รถสไตล์ สแคมเบอร์ที่มากับเครื่องยนต์ 2 สูบ 86 แรงม้า เส้นทางช่วงนี้มีทั้งแบบตรงยาว และขึ้นเขาแบบโค้งเยอะบนเขาค้อ สิ่งแรกที่สัมผัสได้กับความแตกต่างจาก Monster ก็คือ ท่านั่งนั่นเอง ที่ Scrambler 1100 Sport นั่งได้สบายกว่า ขี่ได้สบายกว่า แต่ตัวนี้เป็นรุ่น Sport ที่ตัวของแฮนด์นั้นอยู่ต่ำกว่าตัวปกติ ดังนั้นรุ่นปกติก็จะนั่งขี่ได้สบายกว่านี้อีก เวลาขี่ เราก็สามารถควบคุมตัวรถได้ดีกว่า แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ การที่ท่านั่งต้องรับลมอย่างมากเมื่อขี่ในย่านความเร็ว และไอความร้อนสไตล์ L-Twin ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ducati เขาจริง ๆ
แต่ความสนุกของจริงในการขี่ Ducati Scrambler 1100 Sport นั้นอยู่ที่การขึ้นเขาค้อครับ ถ้าใครเคยมาจะรู้ว่า ที่นี่จะมีโค้งเล็กโค้งน้อย เรียงตัวกันเป็นเส้นทางยาวอยู่ ถ้าเผลอเดินคันเร่งแรงไป มีสิทธิ์ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างทางก็เป็นได้ แต่ในการเข้าโค้งของรถจักรยานยนต์คันนี้ ไม่มีปัญหาเลยครับ จะโค้งซ้าย, โค้งขวา, โค้งแคบ, โค้งกว้าง รถสามารถพาเลี้ยวไปได้อย่างใจ เดินคันเร่งได้มากกว่าที่เราคาดไว้ ดังนั้นใครที่มองหารถแบบวิ่งชิว ๆ แต่อย่างซิ่งบ้างในบางวาระ โดยที่ความเมื่อยมาเยือนช้า Ducati Scrambler 1100 Sport เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจอย่างมากครับ สรุปจบทริปวันแรกไปแบบสนุกสนาน Ducatista ทุกคน รับความสุขจากเส้นทางในวันแรกไปแบบเต็ม ๆ ครับ
ย่างก้าวเข้าสู่วันที่ 2 พวกเราชาวคณะต้องออกเดินททางกันตั้งแต่ช่วงประมาณ 9 โมงเช้า จุดหมายปลายทางของวันนี้ จะมีการไปมอบของให้กับเด็ก ๆ กันที่ อบต. เข็กน้อย อำเภอ เขาค้อ เพชรบูรณ์ เอากันจริง ๆ จุดหมายปลายทางนั้นอยู่ห่างจากที่พักเราแค่เพียงประมาณ 5 กิโลเมตร แต่มา Ducati Desmo Ride 2019 จะธรรมดาได้ที่ไหน ต้องไปสนุกกันก่อนสิ โดยเราจะเลี้ยวซ้ายออกจาหน้าโรงแรม แล้วมุ่งหน้าสู่ทางอำเภอหล่มสัก ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเพื่อมุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขาภูทับเบิก แล้ววนลงทางด้านถนนสายอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ข้ามไปลงที่แถว อ.นครไทย ก่อนมุ่งหน้าเข้าถนนสาย พิษณุโลก-หล่มสัก อีกครั้ง แล้ววิ่งมุ่งหน้ากลับมาทางเขาค้อ รวมระยะทางทั้งหมดประมาณ 170 กิโลเมตร
วันนี้ ผมจะได้กลับมาจับ Ducati Monster 821 อีกครั้ง แต่เส้นทางวันนี้ จะเป็นโค้งแบบทั้งบนเขาแคบ ๆ และทางโค้งบนถนนเส้นใหญ่ที่ทำความเร็วได้ ช่วงแรกที่ออกมาจากที่พัก จะเป็นเส้นทางบนถนนสายพิษณุโลก-หล่มสัก ช่วงนี้เป็นทางภูเขาสวย ถนนก็เรียบ มีขนาดกว้าง ดังนั้นช่วงนี้จึงทำความเร็วกันพอสมควรครับ โดยการวิ่งช่วงนี้ไม่มีปัญหา เอียงตัวเล็กน้อย ก็จะสามารถผ่านโค้งไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว แต่ก็ต้องคอยประคองความเร็วว่าไม่ให้มากเกินไป ไม่งั้นอาจจะมีบานออกไปหาเลนข้าง ๆ หรือขอบทางได้เลยครับ
วิ่งกันมาต่อจนถึงทางขึ้นภูทับเบิก เส้นนี้ล่ะครับที่พวกเราชาวคณะ Ducati Desmo Ride 2019 จะต้องระมัดระวังกันมากขึ้น เพราะทางค่อนข้างแคบ และมีทางโค้งแบบหักศอกอยู่หลายโค้ง เราก็ค่อย ๆ ไต่กันขึ้นไปเรื่อย ๆ ช่วงนี้ผมเลยต้องเปลี่ยนโหมดการขับขี่จากโหมด Sport ให้กลายเป็นโหมด Touring แล้วปรับระบบ DTC หรือ ระบบเพิ่มความเสถียรภาพขั้นสูง (Ducati Traction Control) ให้ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวดีมากกว่าเดิม คราวนี้ก็เริ่มไต่กันเลยครับ ต้องบอกว่า ถึงแม้การเข้าโค้งของ Ducati Monster 821 อาจจะดีไม่เท่า Scrambler 1100 Sport แต่ก็ถือว่าสามารถพาผมขึ้นไปถึงยอดเขาได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้ทางขึ้น ตัวถนนจะมีความลื่นในช่วงที่กำลังจะออกจากโค้ง แต่ระบบก็ช่วยจัดการให้ตัวรถอยู่ในการควบคุมได้อย่างปลอดภัย
หลังจากพักกันได้ระยะหนึ่งแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อ โดยคราวนี้ต้องวิ่งผ่านเส้นทางภายใน อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ซึ่งเส้นนี้ก็คล้ายกับถนนในอุทยานแห่งอื่นครับ คือแคบ และโค้งอย่างเยอะ มีทั้งขึ้นเขาและลงเขา ส่วนนี้ขี่ค่อนข้างยากครับ ถ้าหากพลาดเข้าโค้งด้วยความเร็วเกินกว่าที่ตัวเองไหว ไม่หน้าผาก็ข้างทางแหละครับที่จะเป็นจุดหมายต่อไป ดังนั้นทุกคนจึงได้รับการเตือนอีกครั้งจากทาง Marshal ว่า จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เอาปลอดภัย ไม่เอาไว ถ้าตามคันหน้าไม่ทัน ไม่เป็นไร เอาตัวเองรอดเอาไว้ก่อน แต่ก็ไม่มีปัญหาครับ ทุกคันในทริป สามารถเดินทางผ่านเส้นนี้ได้อย่างปลอดภัย ถึงแม้อาจจะมีบ้างที่ใจร้อนเข้าโค้ง แต่เข้าแรงไปหน่อย จนรถบานออกไปข้างทางอยู่บ้าง แต่ก็สามารถเบรกให้รถสามารถอยู่ในเส้นทางได้อย่างปลอดภัย
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงที่ อบต. เข็กน้อยกันจนได้ ได้พบกับเด็กน้อยชาวไทยภูเขาที่รอต้อนรับพวกเรากันอย่างมีความสุข ทาง ดูคาติ ไทยแลนด์ จึงได้ชวนชาวคณะช่วยกันมอบสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการศึกษาของเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า, สี, ดินสอ หรืออื่น ๆ รวมทั้งขนมนมเลยแบบจัดเต็ม ทำเอาน้อง ๆ ยิ้มหน้าบานกันเป็นทิวแถว นอกจากนี้ทาง ดูคาติ ไทยแลนด์ ยังได้มีการมอบเงินไว้เป็นทุนในการส่งเสริมการศึกษาอีกด้วย เป็นเงิน 106,000 บาทอีกด้วย สรุปแล้ววันนี้ ก็จบภารกิจ และทุกคนก็สนุกสนานกับเส้นทางที่ผ่านมากันอย่างเต็มที่
มาถึงวันที่ 3 เป็นวันที่เหล่า Ducatista ต้องเดินทางกลับกันแล้ว เส้นทางวันนี้จะแตกต่างจากขามาเล็กน้อย โดยจะวิ่งเส้นพิษณุโลก-หล่มสัก จนถึงแยกหล่มสัก ก่อนจะเลี้ยวขวาไปทางตัวเมือง แล้วตรงเข้าทางจังหวัดลพบุรี, สระบุรี ก่อนแยกเข้าทางเลี่ยงเมืองไปบรรจบกับเส้นพหลโยธิน วิ่งตรงยาวจนถึงโชว์รูม Ducati บนถนนวิภาวดี ระยะทางวันนี้ก็อยู่ที่ราว 400 กิโลเมตรนิด ๆ วันนี้ผมจะได้อยู่กับ Ducati Multistrada 1260 S รถสไตล์ Touring ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 1,260 ซีซี 158 แรงม้า พร้อมระบบความปลอดภัยอีกเพียบ (Cornering ABS, DTC, DWC) ที่เพื่อสื่อทุกคนบอกว่า อิจฉาจังที่ได้ขี่ขากลับแบบยาว ๆ เดี๋ยวมาดูกันว่าทำไมทุกคนถึงอิจฉา
ท่านั่งขี่ของ Multistrada 1260 S นั้น ถือว่าเหมาะกับการขี่ระยะทางไกลจริง ๆ ครับ ระยะแขนพอดี เบาะนั่งสบาย แถมมี Shield ป้องลมทั้งด้านหน้าและมือจับ ดังนั้นไม่ว่าจะขี่ในความเร็วมากขนาดไหน ลมแทบจะไม่ปะทะตัวเราได้มากเท่าไหร่เลย เราเลยไม่ต้องฝืนตัวเพื่อต้านลม หรือโน้มตัวลงเพื่อหลบลม ทำให้การขี่ระยะทางไกล จะมีความเมื่อยมาเยือนได้ช้ากว่า ส่วนกำลังของเครื่องนั้นหายห่วงครับ บิดเมื่อไหร่ก็มาเมื่อนั้น อัตราเร่งจาก 100 พุ่งไปที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงทำได้เพียงแค่อึดใจเดียว การเข้าโค้งนั้นยิ่งทำได้ดี นอกจากตัวรถจะออกแบบให้ทรงตัวได้ดีแล้ว ระบบตัวช่วยต่าง ๆ ก็เยอะ ทำให้การเดินทางผ่านโค้งบนทางหลวงหมายเลข 12 ทำได้ง่ายและมั่นใจอย่างเต็มที่
อากาศในวันที่ 3 นั้น แตกต่างจาก 2 วันแรกอย่างมากครับ วันนี้อุณหภูมิถูกหวดขึ้นไปสูงถึง 38 องศาเซลเซียส (วัดจากหน้าปัดรถ) ทำให้ผู้ร่วมทริปในวันนี้ ออกอากาศเหนื่อยล้ากว่า 2 วันแรกอย่างวเห็นได้ชัด แต่ทุกคนก็ช่วยกันดึงช่วยกันดันกันมาจนได้ตลอดการเดินทาง สรุปแล้วทุกคนก็สามารถเดินทางกลับมาถึงโชว์รูม Ducati บนถนนวิภาวดีกันได้อย่างปลอดภัย (อาจจะมีบางคนที่แยกกลับบ้านไปแล้วระหว่างทาง)
กิจกรรม Ducati Desmo Ride จะจัดขึ้นเป็นประจำทุก 2 ปี แต่ทางดูคาติ ไทยแลนด์ ก็ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ระหว่างปีสำหรับลูกค้าทุกท่านอยู่ตลอด ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และแอบได้ยินมาแล้วว่า ปีนี้น่าจะได้เห็นกิจกรรม Track Day ที่จะพาทุกคนที่ได้ปทดสอบการขับขี่ในสนามการแข่งขันจริง พร้อมการดูแลระดับ First Class ของ Staff จากดูคาติอย่างเต็มที่ ใครอยากไปสนุกแบบนี้ คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดที่ Facebook Ducati Thailand ได้เลยครับ
Ducati Desmo Ride 2019 อาจจะไม่ใช่ทริปที่เอามารีดสมรรถนะของตัวรถให้ถึงขีดสุด แต่ก็สามารถวัดความแรงและการทรงตัวของรถในทริปได้อย่างดี แต่สิ่งที่มีมากกว่าการเดินทาง ก็คือมิตรภาพระหว่างผู้ที่ร่วมทริป ถึงแม้ว่าจะมีความแตกต่างของประเภทรถ เพราะเป็นทริปที่รวมรถเกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นทรง Sport อย่าง Ducati Panigale V4, Ducati 1299 Superleggera หรือจะ Naked อย่าง Monster 821, Sport Cruiser อย่าง Diavel รวมทั้ง Touring อย่าง Multistrada แต่ทุกคนมาด้วยใจที่รักต่อแบรนด์อย่าง Ducati เหมือนกัน ดังนั้นทุกคนจะถ้อยทีถ้อยอาศัย พูดคุยแบ่งปันประสบการ์การขับขี่ซึ่งกันและกัน และผมเห็นบางคนนัดกันไปขี่ถึงประเทศมาเลเซียกันแล้ว ดังนั้นถ้าใครที่เป็นสาวกดูคาติ แต่ยังเคยแต่ขี่ลุยคนเดียวอยู่ อยากให้ลองเดินทางแบบกลุ่ม ออกทริปไปท่องเที่ยวกันตามที่ต่าง ๆ กันดูบ้างครับ แล้วจะมีความรู้สึกว่า การขี่คนเดียวมันสนุกสู้การเดินทางไปกับคนที่มีใจเดียวกันไม่ได้เลย
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com