Test Drive : รีวิว ทดลองขับ Volvo XC90 T8 AWD Inscription เอสยูวีเสียบปลั๊กแดนไวกิ้ง…หรูแอบแรง 407 แรงม้า
- โดย : Autodeft
- 16 เม.ย. 63 00:00
- 73,088 อ่าน
รถยนต์จากโซนยุโรป มีมากมายจากหลายประเทศที่เข้ามาทำตลาดไม่ว่าจะมาจากเยอรมนี อิตาลี อังกฤษ ล้วนได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากสาวกเงินหนา เหล่าดารานักร้อง รวมถึงเหล่าเซเลปชื่อดัง ต่างเลือกใช้รถยนต์จากโซนยุโรปกันเป็นจำนวนมากเพราะเชื่อมั่นในเรื่องสมรรถนะ ความหรูหรา ความปราดเปรียวในด้านดีไซน์ และความปลอดภัยที่สูงส่ง ซึ่งรวมถึงรถยนต์จากสวีเดนอย่าง วอลโว่ ด้วยเช่นกัน
ทุกวันนี้ Volvo ยังคงพัฒนารุ่นใหม่ๆเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงตามยุคตามสมัยผ่านยานยนต์ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเก๋งซีดานอย่าง Volvo S90 Volvo S60 เก๋งสเตชั่นวาก้อน 5 ประตูอย่าง Volvo V60 และ เอสยูวี ทั้ง Volvo XC60 และ Volvo XC40 ซึ่ง 2 รุ่นนี้ ได้สืบทอดมรดกความเป็นอเนกประสงค์จากรุ่นพี่ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้อย่าง Volvo XC90 เอสยูวีรุ่นแรกของค่ายที่เปิดตลาดมาตั้งแต่ปี 2002 จนถึงตอนนี้เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2
Premium SUV สัญชาติสวีเดนที่นำมารีวิวครั้งนี้ คือ Volvo XC90 T8 AWD Inscription (MY2019) มีความโดดเด่นเริ่มที่ภายนอกด้วยรูปทรงไฟหน้าที่จำลองแบบ “ค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์” (Thor Hammer) แบบ LED Daytime ยังซ่อนไฟหน้า LED ปรับระดับสูง-ต่ำด้วยระบบอัตโนมัติ และยังเพิ่มระบบปรับองศาโคมไฟหน้าตามการเลี้ยวของพวงมาลัย ผนวกกับกระจังหน้าสวยหรูพร้อมตราโลโก้ Iron Mark เอกลักษณ์เด่นของวอลโว่ พร้อมกล้องหน้ารถไว้ใช้ในยามจอดรถเข้าซองแบบเอาหน้าเข้าติดตั้งอย่างสง่างามรับกับกันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถติดตั้งสัญญาณกระยะจอดรถและตกแต่งด้วยคิ้วขอบโครเมี่ยมที่งานนี้ไร้ไฟตัดหมอกหน้า LED และชายล่างกันชนหน้าตกแต่งด้วยสีเงิน
ด้านข้างสง่าตามแบบรถยนต์สวีดิชด้วยเส้นสายโครเมี่ยมทั้งหมดตั้งแต่กรอบประตูที่ลากยาวเริ่มที่เสา A ไปจนถึงเสา D ที่เปิดประตูกับคิ้วชายล่างติดตราสัญลักษณ์ Inscription กระจกมองข้างทรงสปูนพร้อมไฟเลี้ยวเท่ทันสมัย มาพร้อมล้ออัลลอยลาย Diamond Cut สีเงิน Silver ขนาดใหญ่ 20 นิ้วพร้อมยาง 275/45 R20 จาก Michelin Latitude Sport 3 แต่ในรุ่น T8 AWD Inscription มีราวหลังคาดีไซน์ขนาดเล็กเรียวแตกต่างจากรุ่น D5 AWD Momentum เติมเต็มความหล่อด้วยเสาอากาศแบบครีบฉลาม ด้านท้ายมีเอกลักษณ์ด้วยไฟท้าย L-Shape LED ดีไซน์แนวยาว พร้อมสัญลักษณ์ Volvo ที่ประตูท้ายสามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า กันชนหลังดีไซน์เด่นพร้อมท่อไอเสียคู่ รับกันอย่างลงตัวกับ คิ้วชายล่างกันชนตกแต่งด้วยสีเงิน และสัญญาณกะระยะเตือนการจอดทำงานร่วมกับกล้องมองหลัง
รถยนต์ใหม่ 2019 มาพร้อมโครงสร้างตัวรถออกแบบภายใต้ Scalable Product Architecture (SPA) ผลงานชิ้นโบว์แดงในเรื่องงานวิศวกรรมที่ทันสมัยในการเพิ่มพื้นที่ภายในให้กว้างขวาง และยังให้พลังแรงกว่าเดิมจากการลดน้ำหนักโดยรวมของตัวรถเสริมคล่องตัวและขับขี่ง่ายกว่าเก่าเพราะ Volvo เลือกใช้วัสดุที่มีแข็งแกร่งสูง เช่น เหล็กกล้าโบรอน (Ultra-High Strength BORON Steel) ทนการบิดและยืดหยุ่นตัวได้สูงมาก โดยมีมิติตัวรถที่เทียบกับคู่แข่งตั้งแต่ ความยาว 4,953 มม. ความกว้าง 2,008 มม. ความสูง 1,776 มม. ฐานล้อ 2,984 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 223 มม. น้ำหนักรถ 2,228 กก.และความจุถังน้ำมัน 70 ลิตร
ความเป็นต้นแบบของดีไซน์ให้กับรุ่นอื่นๆของ Volvo กลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้างสำหรับ Volvo XC90 ทั้งในการใช้งานที่คล้ายๆกันถึงตัวตนจะมีความแตกต่างกัน ภายในห้องโดยสารเมื่อก้าวเข้ามาก็จะพบความเข้มผสมความลักชัวรี่ ด้วยเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง หุ้มด้วยวัสดุหนังแท้แบบ Nappa ซึ่งคันที่นำมาทดลองขับนี้จะใช้สีน้ำตาล Maroon Brown และสีภายอกรถเป็นสีดำ Onyx Black ซึ่งสีภายนอกรถบางสีจะได้โทนภายในแบบดำชาโคล Charcoal ให้เลือก ชุดเบาะนั่งคู่หน้า ทรงคุ้นเคยสบาย นุ่ม ไม่เมื่อยล้าตั้งแต่พนักพิงศรีษะ(เพรียวบางแต่ตายตัวปรับสูง-ต่ำไม่ได้) ตัวหนุนหลังเบาะหรือ lumbar support และปีกสองข้าง ปรับด้วยระบบไฟฟ้าทั้งสองฝั่งเพิ่มความสบายอีกระดับด้วยด้วยระบบตั้งความจำการปรับเบาะ ที่ใจดีให้ให้สองฝั่งเช่นกัน หมดปัญหาว่าตัวเองปรับเบาะในตำแหน่งไหน เก๋ไก่ สัญลักษณ์ธงชาติสวีเดนเล็กๆ สื่อความเป็นรถสแกนดิเนเวียนขนานแท้และมีระบบระบายอากาศและเป่าระบายความร้อนในตัว และยังมีหลังคาแบบ พาโนรามิกซันรูฟเปิด-ปิดระบบไฟฟ้าที่ทำได้แค่เปิดสไลด์เท่านั้น ไม่สามารถกระดกขึ้นได้
เบาะนั่งตอนที่ 2 ทรงกว้างใหญ่โล่งสบายทั้งช่องเฮดรูมและเลครูมมีพื้นที่เหลือเฟือเหยียดขาได้เต็มที่ ตัวเบาะโอบกระชับไม่แพ้เบาะคู่หน้าแต่เสียดายที่ว่าพนักพิงเบาะหลังไม่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ ตรงกลางมีพนักพิงแขนและที่วางแก้วมาให้ หลังกล่องคอนโซลมีช่องแอร์ปรับอุณหภูมิปรับระดับความเย็นได้ และปรับพับได้แบบ 3 ส่วน 40:20:40 ได้จากสวิตช์พับลงแบบกดปุ่มหลังตัวเบาะหลังและปรับเอนหลังได้ เพื่อความสบายในการเดินทาง และเบาะนั่งตรงกลางตอน 2 เลื่อนขึ้นซ้อนเป็นที่นั่งสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป น้ำหนักตั้งแต่ 15-36 กก. สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ลืมหยิบ Car Seat มาหรือไม่ต้องเสียงตังค์ซื้อเพิ่มอีกเพื่อประหยัดเงินและมีม่านบังแดดที่กระจก 2 บานเลื่อนขึ้นได้ด้วยการดึงด้วยมือ
ส่วนเบาะนั่งตอนที่ 3 อาจมีพื้นที่พอเพียงในการนั่ง แต่ก็ไม่คับแคบจนเกินไป โดยการเข้าไปนั้นต้องปรับเบาะตอน 2 เลื่อนออกไปเพื่อเข้านั่งได้ นอกจากนี้ยังสามารถพับแบบ 50 : 50 ได้ และพับรวมกับเบาะนั่งตอนที่ 2 จะมีพื้นที่ขนของมากสุด 1,868 ลิตร ฝาท้ายรุ่นนี้ยังมีระบบเปิด/ปิดฝากระโปรงท้ายรถไฟฟ้าแบบไม่ต้องใช้มือเปิด (Hand-Free Opening and Closing of the Power- Operated Booth/Trunk-Lid) ฝาท้ายก็จะเปิดขึ้นและปิดเองด้วยระบบไฟฟ้า เพียงแค่เตะปลายเท้าไปที่ใต้กันชนหลังด้านซ้ายเซนเซอร์คอยจับสัญญาณการเตะปลายเท้าไว้ เพียงแต่ว่าขอให้ตัวกุญแจอัจฉริยะอยู่กับตัวรถไว้และอย่าไปแหย่ผิดฝั่งก็พอ และยังมีระบบปรับความสูงต่ำของด้านท้ายรถเพื่อสะดวกในการขนของ นับว่าใส่ใจรายละเอียดเอาใจคนบ้าหอบฟางขนานแท้
ภายในเรียบง่ายแต่หรูหรากลมกลืนกับแผงประตูทั้ง 4 บาน ขึ้นรูปอย่างประณีตและบรรจงด้วยวัสดุหนัง Nappa พร้อมสวิตช์กระจกไฟฟ้า เซ็นทรัลล็อก แผงลำโพงและที่เปิดประตูภายในใช้แบบสีเงินวาวผสมกับลายไม้ คอนโซลหน้าสีเข้มที่เรียบง่ายเลือกลายไม้คัดลายด้านๆและแผงสีเงินวาวตกแต่งรอบแผงคอนโซล บนแผงคอนโซลหน้าติดตั้งจอแสดงผล Head-Up Display บนกระจกหน้ารถ แสดงข้อมูลขับขี่ได้ชัดเจนสายตาผู้ขับขี่ทุกครั้งที่เหลือบมอง และลำโพงเล็กๆ มาตรวัดแสดงผลกราฟฟิกสีขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว พร้อมมาตรวัดความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ปริมาณน้ำมัน ที่ง่ายชดเจนสบายตา พวงมาลัยทรงสปอร์ต 3 ก้านมาพร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชั่นขนาดใหญ่ ทั้งปุ่ม Cruise Control ระบบตั้งค่าการทำงานระบบกึ่งขับขี่อัตโนมัติ Pilot Assist ปุ่มสั่งงานด้วยเสียง ล้วนอยู่ในพวงมาลัยวงนี้แถมจับกระชับมือ ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินตกแต่ง พร้อม ตราโลโก้ Iron Mark คอนโซลกลางมาพร้อมช่องแอร์แนวตั้งประกบซ้าย-ขวากับจอสัมผัสขนาดใหญ่ 9 นิ้ว ถัดลงมาเป็นปุ่ม ไฟฉุกเฉิน ปุ่มไล่ฝ้ากระจกหน้า-หลัง ปุ่มกลมๆตรงกลางควบคุมเสียง และมาถึงคอนโซลเกียร์ที่นำเสนอผลงานอันบรรจงด้วยหัวเกียร์คริสตัล สร้างสรรค์โดยบริษัทผลิตแก้วชื่อดัง Orrefors ด้วยด้ามเกียร์ที่เล็กและจับกระชับมือ รายล้อมด้วยปุ่มสตาร์ทรถเล็กๆสี่เหลี่ยมหลังคอนโซลเกียร์ ปุ่ม Drive Mode ที่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึง 6 โหมดและปรับระดับสูงต่ำของตัวรถตามโหมดการขับขี่ที่ลือก ระบบเบรกมือไฟฟ้าและปุ่ม Brake Hold
ว่าแต่ว่าสวิตช์ควบคุมแอร์กับปุ่มอื่นๆหายไปไหนเหลือแต่จอใหญ่แนวตั้ง 9 นิ้ว ที่เอียงไปยังผู้ขับ Portait-Oriented Touchscreen Display ภายใต้ระบบ Sensus Connect โดยนำทุกนำทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับฟังก์ชั่นการใช้งานมารวมไว้ในจอใหญ่นั่นเอง ขจัดปัญหาปุ่มสวิตช์หลายปุ่มที่เปลืองเนื้อที่ติดตั้ง แถมใช้งานง่ายเหมือนหน้าจอแท็บเล็ต สามารถตั้งค่าที่เกี่ยวเนื่องกับตัวรถ เช่น โหมดการขับขี่ได้ถึง 6 โหมด ตั้งระบบล็อกประตูอัตโนมัติในตอนรถวิ่ง ตั้งโทนไฟภายในห้องโดยสารที่สามารถเลือกสีได้หลายสี ระบบการทำงาน ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ Start/Stop ชั่วคราว ปรับเสียงวิทยุ รวมถึงปรับการทำงานแอร์ เป็นต้น นอกจากจะเป็นศูนย์รวมฟังก์ชั่นการใช้งานที่เกี่ยวเนื่องแล้วมาพร้อมระบบเชื่อมต่อไร้สายสุดไฮเทคควบคุมระบบเครื่องเสียงติดรถยนต์ โดยผ่านแอ๊พพลิเคชัน ทำงานกับ Apple CarPlay ที่ช่วยเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ระบบ iOS และ Android กับซอฟท์แวร์ที่มาพร้อมกับรถ และแสดงแผนที่ระบบนำทางผ่านดาวเทียมด้วย
ล้ำคุณค่าด้วยลำโพง Premium Sound มากถึง 19 ตัวและซัพวูฟเฟอร์ขับเสียงทุ้มนุ่มลึกจากค่าย Bowers & Wilkins ขับขานคุณภาพเสียงด้วยพลังขับเสียง 1,400 วัตต์ คลาส-ดี ขยายเสียง 12 แชนแนล และระบบเสียงสเตริโอรอบทิศทาง เสมือนตัวเองอยู่ใน Concert Hall ระดับโลกโดยปรับตั้งได้ 3 โหมด ดังนี้ Studio, Individual Stage, และ Gothenburg Concert Hall ยอมรับเลยว่า คุณภาพเสียงดีคมชัด ละเมียดละไม ไม่ผิดเพี้ยนในทุกรายละเอียด และยกให้เป็นที่สุดของลำโพงชั้นแนวหน้าพอๆกับ Volvo S90 D4 ที่เคยทดลองขับไปแล้ว
บรรยากาศภายในผ่อนคลายด้วยเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติปรับแยกอุณหภูมิ 4 โซน (ด้านคนขับคนนั่ง ด้านหลังขวาและซ้าย) ที่สร้างความเย็นรอบคันแล้วยังมีระบบ ระบบฟอกอากาศบริสุทธิ์ในห้องโดยสาร (Interior Air Quality Systemakes) ทำให้อากาศในรถ สะอาดกว่าอากาภายนอกหลายเท่าตัว และระบบกรองอากาศ CleanZone สูดสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่บริสุทธิ์สะอาดและสดชื่นโดยดักจับดักละอองฝุ่น เกสรดอกไม้ อันเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ กุญแจรีโมททันสมัยด้วยระบบอัจฉริยะ Personal Security ทรงสี่เหลี่ยมหนาๆหุ้มหนัง ทำหน้าที่ทั้งสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูรถที่ก้านเปิดประตูรถและฝากระโปรงท้ายรถได้ อุ่นใจด้วยระบบกันขโมยพร้อมตรวจจับความเคลื่อนไหว และสัญญาณเตือนไว้ ช่วยให้ห่างไกลจากเหล่ามิจฉาชีพที่จ้องจะโจรกรรมรถทุกรูปแบบ เรียกว่าถ้าไม่มีสิ่งนี้ก็คงไขประตูไปสู่ความอภิรมย์ ความสุนทรีย์ในการใช้งานภายในไม่ได้แน่นอน
Volvo XC90 ที่จำหน่ายในเมืองไทย มี 2 ขุมพลังให้เลือกนอกจากเครืองยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ D5 2.0 ลิตร 235 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร คันที่นำมารีวิวทดลองขับครั้งนี้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน Twin Engine AWD Plug-In Hybrid 2.0 ลิตร (รหัส B4204T35) ผสานการทำงานของเทอร์โบชาร์จ (Turbocharger) และซูเปอร์ชาร์จ (Supercharger) เข้าด้วยกันให้กำลังสูงสุด 320 แรงม้าที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิด 440 นิวตันเมตรที่ 2,220-5,400 รอบ/นาทีพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร เมื่อรวมกับกำลังเครื่องยนต์เบนซินกับมอเตอร์ไฟฟ้า จึงได้เครื่องยนต์ที่มีพละกำลังแรงถึง 407 แรงม้า เรียกพลังจากแรงบิดสูงถึง 640 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนที่มีความจุของแบตเตอรี่ 10.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ปล่อย CO2 ที่ 49 กรัมต่อกิโลเมตร แบบรถขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD (เครื่องยนต์/ล้อหน้า, มอเตอร์ไฟฟ้า/ล้อหลัง) ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Geartronic พร้อมโหมดการขับขี่เลือกได้ 6 โหมด ดังนี้
- Pure Electric ระบบนี้จะใช้ได้เมื่อรถถูกชาร์จเสียบปลั้กแบตเตอร์รี่จนเต็ม โดยระบบจะเลือกใช้การทำงานของชุดมอเตอร์ไฟฟ้าทางด้านเพลาหลังเท่านั้นในการขับเคลื่อนในโหมดฟ้าล้วน ซึ่งสามารถขับได้สูงสุดด้วยระยะทาง 40 กม. ...และความเร็วสูงสุดได้ 125 ก.ม/ช.ม.
- Hybrid Mode โหมดเลือกการขับขี่อัตโนมัติทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์กับระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อสร้างประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันดีที่สุด
- Individual mode โหมดพิเศษสามารถปรับตั้งโปรแกรมเครื่องยนต์ เกียร์ และอื่นๆตามผู้ขับ
- Power Mode ใช้ในการสร้างสมรรถนะในการขับขี่สูงสุดในระหว่างการขับขี่ โดยใช้กำลังจากเครื่องยนต์เป็นสำคัญและเพิ่มประสิทธิภาพด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังแรงที่สุดเท่าที่ระบบจะสามารถทำได้ หรือเท่ากับมันจะกล่ายร่างเป็นรถสปอร์ตน้อยๆ 407 แรงม้า
นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีอีก 2 โหมด สำหรับคนที่ชอบลุยแบบพอดีๆ นั่นคือ โหมด OFF Road และ Constant AWD ใช้ในการขับขี่เฉพาะตามความต้องการของผู้ขับขี่ในทางลุยๆ และ 6 โหมดการขับขี่ยังทำงานร่วมกับช่วงล่างถุงลมที่สามารถปรับสูงต่ำตัวรถตามโหมดการขับขี่ที่เลือกไว้ โดยช่วงล่างดังกล่าวให้ความหนึบไม่แข็งมากในการขับขี่ทุกสภาพถนน ซับแรงกระแทกที่เป็นหลุมเป็นบ่อรวมถึงช่วงจัมพ์คอสะพานได้ดี รวมถึงพวงมาลัยของรถยนต์เอสยูวีรุ่นนี้เป็นแบบไฟฟ้า สามารถปรับความหนืดตามระดับความเร็วงานนี้เซ็ตพวงมาลัยได้แม่นยำน้ำหนักกลางๆไม่เบาเกินไป ทำให้มั่นใจมากขึ้นในการควบคุมเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นช่วงเข้าโค้ง สำหรับการขับขี่เน้นใช้งานในเมืองกับชานเมืองเป็นหลัก
เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ทุกครั้ง โหมด Hybrid จะทำงานเป็นหลัก การทำงานก็จะเหมือนรถยนต์ Hybrid ปกติ คือ ออกตัวทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แล้วเครื่องยนต์จะตามมาช่วยทีหลังในโหมดความเร็วทั่วๆไปโดยระบบนี้สามารถวิ่งไกลสุดเพียง 35 กม.แล้วถ้าหมดหละสามารถชาร์จกลับได้ไหม บอกเลยว่าทำได้เพียงเข้าไปโหมด Car Functions แล้วกดไปที่ ปุ่ม Charge บนหน้าจอ 9 นิ้ว ระบบจะลดการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าลง แล้วใช้เครื่องยนต์ชาร์จไฟฟ้ากลับไปตัวแบตเตอร์รี่มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะชาร์จได้เร็วอะไรมากมายนักอย่างที่หลายคนเข้าใจอาจจะไม่เต็มร้อย ได้แค่ 2-3 กม. พอลองมาเล่นโหมด Pure ซึ่งโหมดนี้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 100 % ในการขับขี่แทนเครื่องยนต์ บอกได้เลยว่าถ้าเล่นโหมดนี้สามารถพาร่างใหญ่ 7 ที่นั่งพุ่งทะยานแบบสนุกสนาน มันส์แทบติดเบาะกันเลยทีเดียวถึงน้ำหนัก 2 ตันต้นๆ ตอบสนองดีเยี่ยม
ถ้ายังไม่หนำใจอยากสนอง Need เท้าขวาหนัก ยังมีโหมด Power งานนี้จะหนักไปทางเครื่องยนต์เป็นหลัก แล้วมาตรวัดที่เคยการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเปลี่ยนมาเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์แทนต้องชมเลยว่าการทำงานให้การตอบสนองพอกับๆตอนเข้าโหมด Hybrid หรือ Pure กดเป็นมาๆ พลัง 320 แรงม้า ในภาคเครื่องยนต์ทำงานได้ดีเช่นกัน ทำให้โหมด Performance Test จับอัตราเร่ง มีเรื่องต้องให้ว้าวตกตะลึงด้วยการทะยานจากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. ทำได้ 6.90 วินาที และ 80-120 กม./ชม. ทำได้ 4.47 วินาที (โหมด Hybrid)
การเก็บเสียงบอกได้เลยว่ามีผลงานที่ดีเยี่ยมถึงจะประกอบที่มาเลเซียแต่คุณภาพประกอบยอดเยี่ยมไม่แพ้รถนำเข้าจากสวีเดนส่งผลให้การเก็บเสียงไม่ว่าจะช่วงความเร็วต่ำ กลางและสูง สอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งคนขับ หรือผู้โดยสารด้านหลังก็ตาม ระบบส่งกำลังที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ทำงานได้อย่างสมดุลแม่นยำ ส่งกำลังฉับไวแบบไม่ขาดตอน ถึงแม้จะขาด Paddle Shift หลังพวงมาลัย ถ้ามีรับรองความสนุกเกิดขึ้นแน่นอน
สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ของรถคันนี้ตำแหน่งจะอยู่ทางด้านซ้านของบังโคลนรถ ปลั๊กที่เสียบชาร์จเป็นแบบ Type 2 สามารถชาร์จได้โดยมีชุดปลั๊กที่ติดมากับตัวรถเสียบชาร์จในบ้านโดยที่บ้านของคุณนั้นสามารถรองรับ Home Charger ได้หรือถ้ามีธุระ ก็สามารถชาร์จนอกสถานที่ตามปั้มน้ำมัน ศูนย์การค้า ฯลฯ ได้ที่ตั้งของสถานีสามารถดาวน์โหลดผ่านแอพพิลเคชั่นได้ไม่ว่าจะเป็น EA AnyWhere หรือ ของทางการไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น เข้าเรื่องกันดีกว่าสำหรับการชาร์จนั้นถ้าชาร์จเป็นแบบธรรมดาใช้เวลาชาร์จถึง 3 ชม. ส่วนการชาร์จแบบเร็วอาจได้เพียง 30 นาที ซึ่งระดับแบตเตอรี่ที่ได้กลับมานั้นอยู่ที่ราว 1 ใน 4 ของความจุทั้งหมด โดยจะมีข้อความบนมาตรวัดบอกเลยว่าจะชารจ์เสร็จถึงกี่โมงและจะแสดงตัวเลขระยะทางสำหรับการวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวว่าสามารถวิ่งได้ไกลกี่กิโลเมตร แยกกันกับส่วนของการใช้น้ำมันที่อยู่ถัดลงมา
ด้านระบบความปลอดภัย Volvo เองก็ไม่เป็นสองรองใครเพราะมีสารพัดระบบไฮเทคเพื่อความปลอดภัยหลายๆอย่างติดตั้งแบบจัดเต็มครบครัน ทั้งนี้ ทาง Volvo คาดหวังจะต้องไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตในรุ่นต่างๆของ Volvo ตั้งแต่ปี 2020 ในชื่อ IntelliSafe ไม่ว่าจะเป็น
- Pilot Assist ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ที่ไม่ต้องจับพวงมาลัยขณะขับรถทางไกลยาวๆ และการจราจรโล่งโดยช่วยบังคับควบคุมพวงมาลัยเพื่อให้รถวิ่งอยู่ในเส้นจราจร โดยจะทำงานที่ความเร็วสูงสุดถึง 130 กม./ชม.
- City Safety เป็นระบบที่ป้องกันก่อนการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งรวมความปลอดภัยย่อยไวทั้งหมด เช่น ระบบตรวจจับสัตว์ใหญ่กับระบบจับทำงานในตอนกลางคืน ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติหลีกเลี่ยงการชนบริเวณทางแยก และระบบรัดตรึงเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ
- Run-Off Road Mitigation ระบบบังคับทิศทางให้รถวิ่งอยู่ในช่องแบ่งจราจรโดยอัตโนมัติ
- Run-Off Road Protection ระบบป้องกันอันตรายจากกรณีรถตกถนน
- Park Assist Pilot ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ทั้งแบบถอยเข้าซอง และถอยจอดขนานฟุตบาท
- 360-degree Parking Camera กล้องช่วยจอดให้มุม 360 องศา
เทคโนโลยีที่บรรจุในคันนี้ ยอมรับว่าการทำงานของระบบ Pilot Assist ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ถ้าขับเส้นทางตรงๆ ไม่ต้องจับพวงมาลัยกันเลยที่เดียวและการเดินทางต้องเส้นทางโล่งๆเท่านั้น แต่ถ้าหากเข้าโค้งนิดหน่อยระบบจะส่งเตือนให้ผู้ขับขี่บังคับพวงมาลัยตามโค้งเพื่อความปลอดภัยแต่ระบบนี้ต้องทำงานร่วมกับล็อคความเร็วแปรผันอัตโนมัติหรือ Adaptive Cruise Control ส่วนระบบ City Safety ทำงานได้แม่นยำฉับไว ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติ ในความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ป้องกันไม่ให้รถของคุณชนท้ายรถคันข้างหน้าด้วยเซนเซอร์ ซึ่งจะเจอระบบนี้แค่ครั้งสองครั้ง แต่งานนี้ตัดระบบระบบเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าที่รัดตรึงให้กระชับช่วยลดอาการสะบัดรุนแรงของร่างกาย ซึ่งบอกเลยว่าเสียดายมากที่ไม่มีระบบนี้ ตอนสมัยขับ Volvo S90 D4 Inscription ชื่นชมว่าทำงานได้แม่นยำเช่นกันขนาดกรณีลงจัมพ์คอสะพานช่วงถนนบางนา-ตราดยังจับสัญญาณที่ทำให้เข็มขัดนิรภัยรัดตรึงได้และคลายได้โดยอัตโนมัติ
ระบบ Pilot Assist ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ ถ้าขับเส้นทางตรงๆ ไม่ต้องจับพวงมาลัยกันเลยที่เดียวและการเดินทางต้องเส้นทางโล่งๆเท่านั้น แต่ถ้าหากเข้าโค้งนิดหน่อยระบบจะส่งเตือนให้ผู้ขับขี่บังคับพวงมาลัยตามโค้งเพื่อความปลอดภัยแต่ระบบนี้ต้องทำงานร่วมกับล็อคความเร็วแปรผันอัตโนมัติหรือ Adaptive Cruise Control
ปิดท้ายด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจากโปรแกรม Save Mode ทำได้ 19.06 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 60.8 กม.จัดน้ำมันแก็สโซฮออล์ 95 เต็มถังจากปั๊มแถวเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 5.51 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง โดยโหมดการขับขี่ใช้แบบ Hybrid ส่วนการใช้งานในเมืองได้ตัวเลข 17.58 กม./ลิตร นับว่าเป็นตัวเลขสิ้นเปลือเทียบเท่ารถ Eco Car เครื่องยนต์เบนซิน 1.0 ถึง 1.3 ลิตร ประหยัดจนต้องมองค้อนกันเลยทีเดียว
เอสยูวีสวีเดนที่เพียบพร้อมด้วยความหรูหรา ความอลังการของงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์สามารถมัดใจสาวกรถยุโรปได้อยู่หมัดบวกกับความอรรถประโยชน์ใช้สอยแบบ 7 ที่นั่งไว้สำหรับกิจกรรมวันหยุด ช้าวของที่ติดมาจากโรงงานครบครันเปรียบเสมือนเคหะสถานระดับหรู ไม่ว่าจะเป็นหัวเกียร์คริสตัล ระบบลำโพงไฮเอนด์จาก Bowers & Wilkins 19 จุด ฯลฯ ขุมพลัง 407 แรงม้า แรงเร้าใจเทียบเท่า Supercar รวดเร็วฉับไวตามใจสั่ง แต่การกินน้ำมันเทียบเท่า Eco Car
ช่วงล่างที่ออกนุ่มหนึบด้วยถุงลมเด่นเรื่องเฟิร์มยามขับทางไกล พร้อมระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มเทียบชั้นเจ้าใหญ่ๆ และค่าตัว 4,790,000 บาท นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับ Volvo XC90 T8 AWD Inscription
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ Volvo XC90 T8 AWD Inscription มารีวิวทดลองขับครั้งนี้
สิ่งที่ชอบ >>> รูปลักษณ์เด่นตามสไตล์สวีดิชหรูหราเทียบชั้นเจ้าอื่นๆ ระบบเครื่องเสียงขั้นเทพมอบเสียงเพลงไพเราะเสนาะหู น่าฟัง ความประหยัดเทียบเท่า Eco Car พลัง 407 แรงม้า ให้การตอบสนองที่คล่องแคล่วกว่า
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> น่าจะมีไฟตัดหมอกหน้า และตัดระบบระบบเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าที่รัดตรึงให้กระชับช่วยลดอาการสะบัดรุนแรงของร่างกายในส่วนของระบบ City Safety มาให้
หมายเหตุ Volvo XC90 T8 AWD Inscription รุ่นที่ขายในปัจจุบันเป็นรุ่นปรับปรุงใหม่ หรือ MY2020 มีการปรับในส่วนของกระจังหน้าโครเมี่ยมใหม่พร้อมตราโลโก้ Iron Mark รูปลักษณ์ใหม่ ติดตั้งตะแกรงและกันชนชุบโครเมียม เด่นด้วยการตัดขอบสีโครเมียมทั้งด้านหน้าและหลัง พร้อมล้อดีไซน์ใหม่ลายทูโทน 10 ก้านคู่ แบบ 10-Spoke Black Diamond Cut ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 275/45R20 ห้องโดยสารภายในมอบความหรูหราที่แสดงถึงสุนทรีภาพในงานออกแบบสไตล์สแกนดิเนเวียนอันโด่งดัง ทั้งหัวเกียร์คริสตัลเจียระไนและการตกแต่งด้วยไม้แอชรมดำ นอกจากนี้ แบตเตอรี่ Li-ion ขยายความจุ 11.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยโหมด Pure พัฒนาใหม่วิ่งไฟฟ้าล้วนไกลสุด 44 กิโลเมตร ในราคาเดิม 4,790,000 บาท
ชม Gallery Test Drive Volvo XC90 T8 AWD Inscription ได้ที่นี่ !!
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com