Test Drive: ทดลองขับ Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design ภูมิฐาน ขับมัน ครบครันความปลอดภัย
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 18 มี.ค. 62 00:00
- 29,970 อ่าน
ถอยหลังกลับไปสมัยผมยังเด็ก (ประมาณ 30 ปีที่แล้ว) คำจากโฆษณาที่ฝังสมองผมอยู่ทุกวี่วันที่เกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ คงไม่มีคำไหนชัดเจนไปกว่า “ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่” ทำให้ความคิดของผมในตอนนั้น มองรถจากค่ายสวีเดนเป็นรถที่ปลอดภัยมากที่สุด (ความคิดเด็ก)
แล้วทำไม ค่ายรถยนต์จากแดนไวกิ้งยี่ห้อนี้ ถึงได้มั่นใจนักหนาว่า รถของพวกเขานั้นแข็งแกร่ง ปลอดภัยมากกว่ารถคันอื่น อันนี้น่าจะมาจากความล้ำหน้าของการผลิตอุปกรณ์ โดยเฉพาะเรื่องของเข็มขัดนิรภัย ที่ Nils Bohlin วิศวกรของวอลโว่ได้คิดค้นเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ที่สามารถดึงมาได้ด้วยมือเดียว, ล็อกจุดเดียว แต่สามารถปกป้องได้ทั้งตัวเหมือนกับที่ใช้แพร่หลายในปัจจุบัน ติดตั้งครั้งแรกใน Volvo P544 ตั้งแต่ปี 1959 ถึงแม้ว่า ทางวอลโว่จะจดสิทธิบัตรเอาไว้ แต่ก็ได้อนุญาตให้ค่ายรถยนต์อื่นสามารถเอาไปใช้งานได้โดยไม่คิดราคาค่าสิทธิ์ เพราะมองว่า ความปลอดภัยในท้องถนนเป็นเรื่องสำคัญ จึงอยากให้อุปกรณ์ความปลอดภัยชิ้นนี้ ใช้อย่างแพร่หลายให้ได้มากที่สุด
แต่ด้วยความที่รถยนต์ของ Volvo ในแต่ละรุ่นช่วงนั้น รูปทรงมันดูแข็งแรง แต่มันก็เป็นทรงเหลี่ยม ๆ ดูเป็นกล่องใหญ่ ๆ บึกบึน แข็งแรง ด้วยความที่เราเองเป็นเด็กในสมัยนั้น ไม่ชอบทรงแบบนี้เลย แตกต่างจากพวกลุง ๆ ป้า ๆ รอบตัว ที่ชื่นชอบทรงแบบนี้นัก เราเลยคิดเอาว่า เขาคงออกแบบมาเพื่อเอาใจคนกลุ่มสูงวัย เราในฐานะวัยเด็กเลยไม่ค่อยชอบ มองว่าวอลโว่เป็นรถสำหรับคนแก่มาเสมอ
เมื่อเวลาผ่านไป วอลโว่ก็เริ่มปฏิวัติการออกแบบใหม่ให้เริ่มตรงใจกับวัยรุ่นมากขึ้น เริ่มลบเหลี่ยมต่าง ๆ ของรถตัวเองให้น้อยลง ปรับมุมโค้งมนให้มากขึ้น ทำให้ผมเองเริ่มเห็นว่ารถจากสวีเดน สวยมากขึ้นแล้วอย่างเห็นได้ชัด (หรือว่าเราแก่ขึ้นหว่า) ทำให้สมองผมเริ่มบอกว่า วอลโว่เริ่มจะกลายมาเป็นรถในดวงใจได้อีก 1 ยี่ห้อแล้ว
ปัจจุบัน รถวอลโว่ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ถูกแบ่งออกเป็นไม่กี่ไลน์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มซีดาน ก็จะเป็นตระกูล S ส่วนพวก Estate/Hatchback ก็จะเป็นตระกูล V และตระกูลที่ได้รับความนิยมสูงมากอย่าง XC รถอเนกประสงค์ SUV ระดับ Premium ที่ตอบสนองการใช้งานได้แบบหลากหลาย แต่สุดท้ายแล้ว ทุกรุ่นก็ยังชูเรื่องความปลอดภัยเช่นเดิมที่เคยเป็นเสมอมา
และรุ่นที่ผมจะเอามาทดลองขับในรอบนี้ ก็จะเป็น Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design รถอเนกประสงค์ SUV ขนาดกลาง ที่เราเห็นบนท้องถนนได้บ่อยครั้ง เพื่อที่จะเอามาไขข้อข้องใจหลายอย่าง ทั้งทำไมคนถึงได้เลือกใช้รถคันนี้กันเยอะมาก และระบบความปลอดภัยที่ทางค่ายอวดอย่างเต็มที่ว่า รถคันนี้มีระบบความปลอดภัยอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้ทุกการเดินทาง จะสามารถไปได้อย่างไร้กังวลอย่างแน่นอน
เป็นธรรมเนียมทุกครั้งก่อนการทดลองขับ เราก็ต้องมาทำความรู้จักข้อมูลเบื้องต้นของ Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design กันเสียก่อน โดยรถอเนกประสงค์ คันนี้ ใช้เป็นเครื่องยนต์แบบ Plug-in Hybrid (PHEV) Drive-E เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเรียง มีระบบอัดอากาศทั้งแบบ Supercharged และ Turbocharged ให้ความแรงสูงสุด 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 640 นิวตันเมตร และเมื่อรวมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 87 แรงม้าเข้าไปด้วย จะทำให้รถคันนี้มีกำลังสูงสุดได้มากถึง 407 แรงม้าเลยทีเดียว ตามสเปกเคลมไว้ว่า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 5.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Paddle Shift ที่พวงมาลัย เพื่อให้การเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองสนุกและสะดวกมากขึ้น ส่วนระบบขับเคลื่อนนั้น เป็นแบบ AWD ที่แบ่งการทำงานเป็นเครื่องยนต์ที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อนล้อหน้า และมอเตอร์ไฟฟ้า รับหน้าที่ในล้อหลัง ช่วงล่างด้านหน้าใช้เป็นระบบปีกนกคู่ Double Wishbone ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Integral Link ล้อที่ให้มาเป็นขนาด 19 นิ้ว พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ ยางขนาด 235/55 R19
ทรวดทรงการออกแบบนั้น ถ้ามองภาพเมื่อสัก 30-40 ปีที่แล้ว กับการออกแบบปัจจุบันนั้น ห่างไกลกันหลายขุมมาก แทบจะไม่เห็นเส้นสายที่เป็นเหลี่ยมแล้ว ตัวรถแบบอเนกประสงค์ 5 ประตูนั้น ถูกออกแบบให้มีความโค้งมนเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งอยู่เช่นเคย จากการออกแบบให้ตัวฝากระโปรงด้านหน้ามีความยาว, ซุ้มล้อเป็นล่ำสัน และฐานล้อที่สั้นนั่นเอง ตัวรถมีขนาด 1,902x4,688x1,658 มม. (กว้างxยาวxสูง) ฐานล้อกว้าง 2,865 มม.
ด้านนอกนั้น ไฟหน้าเป็นแบบ LED ที่หันได้ตามพวงมาลัย พร้อมปรับระดับสูง-ต่ำได้อัตโนมัติ เส้นสายไฟ Daytime Running Light เป็นรูปตัว T นอน แบบทรงค้อน Thor สวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทางวอลโว่ กระจังหน้าขนาดใหญ่เดินเป็นลายเส้นแนวนอน แต่ก็มีปุ่มเพิ่มความหนาเพื่อให้ดูแข็งแรงขึ้น และมีเส้นคาดทแยงพร้อมโลโก้ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ในตัว R-Design นี้จะไม่มีการติดไฟตัดหมอกมาให้ (เอาจริงแค่ไฟหน้าก็ไม่รู้จะสว่างยังไงแล้ว) ล้อแม็กซ์เป็นลาย Diamond Cut แบบ 5 ก้าน สีรมดำสลับเงินตัว หลังคานั้นถูกปรับให้ท้ายลาดลงไปเล็กน้อย เพื่อให้ดูเป็นสปอร์ตและการออกแบบกระจกประตูด้านข้าง ถูกไล่เส้นให้ดูเรียวยาวมากกว่าจะเป็นกล่องในสไตล์เก่าก่อน มีการเดินเส้นรีดลมที่ตัวประตู เพิ่มความโดดเด่นยามเมื่อมองด้านข้าง ตัดอารมณ์ของสีตัวรถด้วยกระจกมองข้างสีครีม พร้อมไฟเลี้ยวติดอยู่ด้วย ด้านท้ายนั้น ไฟท้ายถูกออกแบบให้เป็น L-Shape ประตูด้านท้ายออกแบบให้เป็นทรงท้ายลาดเล็กน้อย เพื่อให้มีความเป็นวัยรุ่นมากขึ้น รวมทั้งท่อไอเสียแบบปลายท่อโครเมี่ยม ที่ให้มาแบบท่อคู่แยก 2 ข้างอีกด้วย
ภายในของ Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design คงต้องร่ายกันยาว เพราะอุปกรณ์เยอะมากจริง ๆ ที่อยากพูดถึงก่อนคือเรื่อง Panoramic Sunroof ที่สามารถเปิดกว้างได้ยาวถึงด้านท้าย แต่ฝาที่เปิดรับลมนั้น ยังคงเปิดได้เฉพาะส่วนหน้าอยู่ดี แต่ก็ถือว่ายังใหญ่มากกว่าที่ติดอยู่บนรถเก๋งทั่วไป อันนี้ผมชอบมาก เอาไว้เปิดตอนกลางคืน มันช่วยให้ดูไม่อึดอัดดี (กลางวันเปิดไม่ไหว เจอแดดแรงประดุจพระอาทิตย์มาบินอยู่บนหลังคา ท้อกับความร้อน) ต่อมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือหน้าจอขนาด 9 นิ้ว แบบระบบสัมผัส ที่ควบคุมเกือบทุกอย่างเอาไว้ได้ในที่เดียว ที่สำคัญคือ มันใหญ่มาก ถึงมากที่สุด มองเห็นชัดเจน สัมผัสง่าย แต่ช่วงเริ่มต้นใหม่อาจจะต้องเปิดคู่มือศึกษากันสักหน่อย เพราะมันช่างมีเมนูให้เลือกใช้เยอะมาก ใช้กันแทบไม่หมด รองรับการเชื่อมต่อทุกรูปแบบที่รถทั่วไปทำได้ รวมทั้งยังมีระบบ Apple CarPlay และ Android Auto มาให้ใช้งานอีกด้วย
อีกอย่างที่เป็นเซอร์ไพรซ์มากก็คือตัวเครื่องเสียง ที่ปกติแล้ว ถ้าเราดูตามโบรชัวร์จากหน้าเว็ปไซต์ของวอลโว่เอง เครื่องเสียงใน Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design จะเป็นของ Harman Kardon แต่เมื่อมาดูคันจริงแล้ว กลับติดตั้งเครื่องเสียงของ Bowers & Wilkins มาให้แทน ซึ่งมันคือเครื่องเสียงในรถยนต์ระดับ Hi-End ที่น้อยรุ่นนักจะติดตั้งมาให้ขนาดนี้ ทั้ง Amplifier ระดับ 1,100 วัตต์ ลำโพงอีก 15 ตัวพร้อม Subwoofer ให้เสียงที่ไพเราะครบทุกย่านเลย อยากฟังเพลงแจ๊ส ก็จะมีเสียงแหลมแต่ไม่จี๊ดจนแสบหู ฟังเสียงแซกโซโฟนเสนาะหู แต่เมื่อยามเปิดเพลงร็อกมาเมื่อไหร่ เสียงกีตาร์แสนทรงพลังก็จะพร้อมคำราม กับเสียงกระเดื่องกลองที่ดังมาพร้อมการเดินเบส พุ่งออกมาจาก Subwoofer ได้ทันที แถมยังสามารถสร้างมิติเสียงแบบ Concert, Studio และ Stage ได้อีกด้วย สะใจวัยโจ๋อย่างผมมากเลย (สรุปแล้วตัวที่เทส จะเป็นรถล็อตแรกครับ ส่วนล็อตหลังที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน ก็เป็นตามโบร์ชัวร์เลย)
ส่วนอุปกรณ์ภายในเพื่อความสะดวกนั้น มีทั้งเครื่องปรับอากาศแบบแยกโซนซ้าย-ขวา, ระบบควบคุมคุณภาพอากาศภายในรถ, เบาะคู่หน้า ปรับได้แบบไฟฟ้า พร้อมบันทึกตำแหน่งได้ทั้งคนขับและคนนั่ง แถมยังปรับระดับที่รองหลังได้ทั้งคู่แบบไฟฟ้าอีกด้วย, ฝากระโปรงท้ายแบบไฟฟ้า สามารถเปิดได้ด้วยทั้งการกดปุ่มจากภายในตัวรถ เปิดด้วยปุ่มท้ายรถ รวมทั้งการเตะใต้ท้ายรถ เพื่อให้เปิดเองได้กรณีที่เราไม่สามรถใช้มือในการกดปุ่มได้, เบาะแถว 2 พับได้ด้วยมือ สไตล์ 60:40 เรียบสนิทรับกับส่วนเก็บสัมภาระด้านท้าย ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการขนของได้อีกเพียบเลย
ส่วนระบบความปลอดภัยใน Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design นั้น บอกเลยว่าเพียบ เยอะมาก ทั้งระบบป้องกันการชนด้วยเซ็นเซอร์ตรวจจับรถยนต์ คนเดินถนน จักรยาน และสัตว์ใหญ่ พร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถและช่วยหักหลบ, ระบบป้องกันการชนและบรรเทาการบาดเจ็บพร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถอัตโนมัติ ด้านหน้า ด้านหลัง และทางแยก ซึ่งระบบนี้ ทางวอลโว่จะเรียกรวม ๆ ว่า City Safety system เป็นระบบที่ต่อยอดออกมาจาก Autonomous Emergency Braking หรือ AEB นั่นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีระบบเตือนมุมอับด้านข้าง Blind Spot Information System (BLIS), เตือนเมื่อมีรถมาจากด้านข้างขณะถอยหลัง Cross Traffic Alert (CTA), ระบบแจ้งเตือนให้เว้นระยะห่างด้านหน้า Distance Alert, ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน Lane Keeping Aid (LKA), ถุงลมนิรภัย 4 ลูก, ระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังจากการสะบัดของศีรษะและระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง, ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวรถอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control with Queue Assist, ระบบช่วยในการขึ้นที่ลาดชัน Hill Start Assist, ระบบช่วยในการลงที่ลาดชัน Hill Descent Control, กล้องมองหลังพร้อมแสดงผลแบบ 360 องศา, ระบบช่วยในการจอด ทั้งแบบเข้าซองและแบบขนานขอบทาง, เซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุรอบคัน
ข้อมูลมีเยอะพอแล้ว เรามาเริ่มการขับขี่กันเลยดีกว่า ตอนที่รับรถออกมาจากวอลโว่ คาร์ ประเทศไทย แถวถนนสุขุมวิทนั้น เป็นช่วงเวลาพีกอย่างมาก เพราะเป็นเวลาประมาณบ่าย 4 โมงเย็นวันศุกร์ รถกำลังเริ่มติดได้ที่เลย ผมเลยออกเดินทางช่วงนี้ด้วยโหมด Pure Eco Drive เลย เพราะแบตเตอรี่ก็เต็มอยู่แล้ว แถมช่วงรถติด คงยังไม่ต้องการทดสอบเรื่องความแรงอะไรได้มากมาย ตัวรถนั้นสามารถวิ่งได้อย่างนิ่มนวลมากครับ ไม่ได้กระชากอะไรมากมาย ค่อย ๆ ไหลไปได้ตามกำลังของตัวมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 87 แรงม้า แต่แบกน้ำหนักของตัวรถที่เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้วิ่งออกตัวจนเต่ากัดยาง เพราะมันก็สามารถพารถออกตัวไปได้อย่างน่าพอใจเลย สรุปคร่าว ๆ แล้ว วิ่งจนไฟฟ้าหมดจากแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 10.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ในการจราจรที่โคตรติดในช่วงวันศุกร์แห่งชาติ อยู่ที่ราว 40 กิโลเมตรได้ พอไฟหมด รถก็ปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ แล้วปรับโหมดตัวเองให้เป็นแบบ Hybrid ทันที
การขับขี่นั้น ถือว่าสบายมากครับ ด้วยช่วงล่างที่ถูกเซ็ตมาอย่างดี ทำให้การเดินทางในฐานะผู้ขับขี่นั้น สบายเป็นอย่างมาก พวงมาลัยไฟฟ้าสามารถหันได้อย่างแม่นยำ ผ่อนแรงได้ดี ไม่ได้เบามากจนคุมยาก แต่ก็ไม่หนักตึงมือจนทำให้เมื่อยได้ถ้าต้องหมุนพวงมาลัยบ่อย ๆ ระหว่างรถติดอยู่ ก็ลองเล่นหน้าจอขนาดใหญ่ 9 นิ้วกันไปเรื่อย ๆ เอาจริง ๆ แล้ว มันก็คล้ายกับหน้าจอทั่วไปแหล่ะ แต่มันสามารถบอกได้ละเอียดมากกว่าหน่อย เพราะตัวระบบรองรับการติดตั้งแอพเพิ่มเติมได้มากกว่าหน้าจอทั่วไป แต่ที่ชอบใช้มากที่สุดคือการใช้เชื่อมต่อกับ iPhone แล้วสามารถส่งหน้าจอ Google Maps ไปที่หน้าจอได้เลย สะดวกมาก ยิ่งหน้าจอมีขนาดใหญ่ ทำให้เรายิ่งมองเส้นทางได้สะดวกมากกว่า ยิ่งสภาวะสายตาของผู้สูงวัยแล้ว น่าจะยิ่งดีนะ (อันนี้หมายถึงตัวเอง ฮ่าๆๆ)
สิ่งที่น่าชมเชยมากอีกอย่างคือ ระบบการทำงานของเกียร์ที่แสนจะนุ่มนวล ทำงานได้ฉลาดมาก รอยต่อระหว่างเกียร์ 1 ไปถึง 8 นี่แทบหารอบต่อไม่เจอ นวลนุ่มตั้งแต่เกียร์แรกยันเกียร์สุดท้าย แต่ที่แอบขัดใจก็คือ ถึงแม้ว่าเกียร์ของ Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design จะเป็นแบบไฟฟ้า แต่ว่าทำไมต้องเปลี่ยนเกียร์ทุกครั้งให้ผ่านเกียร์ D เสมอ หมายถึงว่า ถ้าคุณใส่เกียร์ P อยู่ แล้วจะเดินหน้า เราต้องดึงเกียร์ 1 ครั้งให้ลงมาเกียร์ N แล้วต้องดึงอีกครั้งเพื่อให้เป็นเกียร์ D จะได้เดินหน้าไปได้ ต่างกันกับในของยี่ห้ออื่นที่สามารถเปลี่ยนจาก P ไป D ได้เลยทีเดียว เป็นเรื่องที่ขัดใจหนุ่มวัยรุ่นใจร้อนอย่างผมมากเลย (โวะ)
อ่ะ หลังจากเดินเครื่องในเมืองมามากพอสมควรแล้ว ในฐานะที่เป็นรถสไตล์ครอบครัว ก็ต้องวิ่งออกต่างจังหวัดดูบ้าง แล้วดูกันว่ามันจะสามารถบริการคนในบ้านเราได้ดีขนาดไหน รอบนี้ปลายทางเราจะไปกันแถวจังหวัดจันทบุรีสักหน่อย ระยะทางไปกลับก็อยู่ที่ราว 500 กว่ากิโลเมตรได้ เส้นทางก็วิ่งยาว ๆ วันธรรมดาผ่าน Motorway ก่อนตัดผ่าน อ.บ้านบึง ทะลุ อ.แกลง ก่อนจะวิ่งทางเส้นถนนถนนเฉลิมบูรพาชลทิตไปจนถึงปลายทาง รอบนี้เดินทางกันไปรวม 5 คน (มีเด็กน้อย 1 คน) พร้อมสัมภาระอีกเล็กน้อย พื้นที่ด้านหลังนั้น เหลือเฟือที่จะวางของเอาไว้ได้ทั้งหมด แถมยังมีพื้นที่ให้ตัวเล็กเด็กน้อยเกือบ 6 ขวบได้ลงไปซนได้อีกนิดหน่อย เอาเป็นว่าเรื่องเนื้อที่เก็บของ หายห่วง
ต่อกันที่กำลังเครื่องยนต์ ต้องบอกว่ารอบนี้ตอนเดินทางไปนั้น ไม่ได้ชาร์จไฟเอาไว้เลย สรุปว่าการเดินทางรอบนี้จะเป็นการใช้งานแบบระบบ Hybrid ตลอดทาง อาศัยการวิ่งเป็นการชาร์จไฟแทน ช่วงที่มีผู้โดยสารในรถนั้น ผมจะพยายามขับให้เหมือนกับการใช้ชีวิตประจำวันมากที่สุด ทั้งการเร่ง การเบรก การควบคุมพวงมาลัย สิ่งที่ถูกใจมากก็คือ ถึงแม้ Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design จะเป็นรถอนกประสงค์ขนาดกลาง มีน้ำหนักของตัวรถก็หนักเอาการ แต่การออกตัวนั้น ไม่ได้มีปัญหาเลย แค่เราเริ่มแตะคันเร่งไปเบา ๆ รถก็ออกตัวไปได้แบบไม่ต้องฝืนกำลังเครื่อง นั่นเป็นเพราะการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่เข้ามาเริ่มหมุนล้อให้ออกตัวได้ก่อน แล้วเครื่องยนต์ก็ตามมาเพิ่มกำลังหมุนล้อให้มากขึ้นแบบไม่ได้สร้างความกระชากอะไรให้เห็น ความเร็วขึ้นได้อย่างต่อเนื่องแบบนุ่มนวล เผลอแค่แปปเดียว รถก็วิ่งไปประทับความเร็วที่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนคนขับเองไม่รู้ตัว
และเมื่อมาถึงระดับความเร็วสูงแล้ว ก็เลยค่อย ๆ เหยียบเพิ่มความเร็วแบบไม่ให้คนในรถรู้ตัว จนมาถึงระดับ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถึงเริ่มมีคนทักว่าทำไมเร็วจัง สิ่งที่ต้องชมก็คือเรื่องของการเก็บเสียงของตัวรถ ที่สามารถทำได้ดีถึงดีมาก เสียงจากภายนอกเข้ามาได้น้อยมากแม้จะวิ่งด้วยความเร็วสูง ช่วงล่างนิ่งได้ใจ เข้าโค้งเร็วขนาดไหนก็สามารถจัดการแรงเหวี่ยงของตัวรถได้อย่างดี ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าใครได้ขับรถสไตล์ SUV จะรู้ดีว่า ช่วงเข้าโค้งนั้นจะมีอาการเหวี่ยงออกที่ด้านท้าย จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเร็ว, ตัวรถ และการหันพวงมาลัยของคนขับ เพราะตัวรถนั้นสูงกว่ารถเก๋ง Sedan จึงถือเป็นเรื่องปกติที่รถแบบนี้จะมีอาการแบบนี้ได้บ้าง ซึ่งถือว่าเป็นรถที่ดูแลเรื่องนี้ได้ดีมาก
และเมื่อเดินทางเข้าสู่ถนนมอเตอร์เวย์ ปริมาณรถในวันนี้ก็ถือว่ามีระดับปานกลาง ไม่น้อย ไม่มาก พอจะทำความเร็วได้บ้างบางช่วง ไหน ๆ แล้ว ก็มาลองระบบ Pilot Assist ที่เขาชมกันหนักหนาว่ามันดีงามพระราม 8 มาก ผมก็เลยตั้ง Adaptive Cruise Control เอาไว้ที่ความเร็ว 160 กม./ชม. (เอาจริงรถวิ่งไม่ถึงหรอก มีรถขวางตลอดทาง) และเปิดโหมด Pilot Assist ด้วย รถก็วิ่งไปตามคันหน้าได้อย่างเนียน รถคันหน้าเบรก ก็เบรกตาม มีรถแทรก รถเราก็เบรกแบบเบา ๆ เหมือนกับที่มนุษย์เหยียบ (เคยเทสบางรุ่น มีรถแทรกหน่อยพวกเบรกแทบหัวทิ่ม) ถึงทางโค้ง รถก็เลี้ยวไปตามทาง จนผมสามารถปล่อยมือออกจากพวงมาลัยได้ ให้รถวิ่งไปได้ด้วยตัวเอง มันก็พาวิ่งไปตามทางอย่างปกติ ความเร็วก็เกาะกับรถคันหน้าได้อย่างดี แต่เมื่อเราปล่อยพวงมาลัยไประยะหนึ่ง ระบบจะเตือนขึ้นมาว่าให้จับพวงมาลัย เราก็จับไปสักที แล้วสักแปปก็ปล่อยใหม่ แต่อย่าทำต่อเนื่องนานเกินไปนะครับ เพราะระบบจะตัดการทำงานเอา ผมว่ามันช่วยให้คนขับสามารถลดอาการเหนื่อยล้าในการขับรถไกล ๆ ได้อย่างมาก เพราะเราไม่ต้องคอยเหยียบเบรก เหยียบคันเร่ง ไม่ต้องออกแรงในการหมุนพวงมาลัย เพียงแค่แตะพวงมาลัยไว้เบา ๆ แล้วคอยหมุนมือไปตามที่พวงมาลัยหันไป แค่นี้ก็ทำให้เราลดความเหนื่อยจากการขับรถได้แล้วล่ะครับ แต่สุดท้ายแล้ว การตัดสินใจก็ต้องเป็นมนุษย์อยู่ดี เพราะรถจะเห็นเฉพาะวัตถุที่อยู่ด้านหน้ากับข้าง แต่มนุษย์อย่างเรา สามารถมองเห็นได้หลายมิติมากกว่านั้น และสามารถประเมินสิ่งรอบข้างได้ดีกว่าระบบจากตัวรถแน่นอนครับ
คราวนี้มาถามคนนั่งข้างหลังบ้าง ว่ารู้สึกอย่างไรบ้างกับการได้นั่งใน Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design แถว 2 สรุปคร่าว ๆ คือ นั่งได้สบายดี มีความดีงามตรงที่แอร์หลังมันขึ้นไปอยู่ตรงเสา B ที่ทำให้เป่าลงตรงหน้าได้ดีกว่าแบบที่ติดอยู่ตรงกล่องกลางรถ บางทีก็ติดขา, เป่าเท้าคนนั่งกลางอะไรบ้าง แต่แอบบ่นนิดหน่อยเรื่องความแข็งของช่วงล่าง ที่อาจจะดีไม่เท่านั่งรถเก๋ง แต่เราก็อธิบายไปว่า เพราะรถคันนี้มันเป็นรถอเนกประสงค์ ที่ต้องใช้งานได้ดีทั้งบนถนน On-Road และใช้งานได้ในถนน Off-Road เช่นกัน ดังนั้นช่วงล่างมันต้องมีความกระด้างกว่ารถเก๋งอยู่แล้ว ต่อให้รถที่เป็นระดับพรีเมี่ยมก็ตาม ยังไงมันก็ต้องเจออยู่แล้ว จะมากจะน้อยก็เท่านั้นเอง
หลังจากขับผ่านระยะทาง 200 กว่ากิโลเมตรแล้ว ก็ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็จัดแจงให้สมาชิกผู้ร่วมเดินทางเพื่อเข้าที่พักให้หมด แล้วผมก็จัดการออกเดินทางเพื่อไปทดสอบความแรงของ Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design กันต่อ คราวนี้จะจัดกันในโหมด Sport กันบ้าง โดยระหว่างทางก่อนเข้าที่พักมานี้ ผมได้ทำการอัดไฟด้วยการใช้เครื่องยนต์ช่วยปั่นไฟฟ้าให้เก็บเพียงอย่างเดียว จนได้ไฟมาอยู่ประมาณ 1 ขีด เมื่ออยู่ในเส้นทางที่โล่งและปลอดภัย ก็เปลี่ยนโหมดเป็นแบบ Sport ทันที แล้วกดออกตัวด้วยคันเร่งที่มิดเท้า เฮ้ย รถอเนกประสงค์อะไรวะ ออกตัวโคตรแรงเลย ต้องยอมรับว่าการได้กำลังเครื่องยนต์ที่ใส่เทอร์โบคู่มาทั้ง 2 ชนิด ทั้ง Supercharged ที่เริ่มอัดอากาศเข้าห้องจุดระเบิดตั้งแต่การหมุนเครื่องรอบแรก รวมทั้ง Turbocharged ที่เริ่มทำงานตามแรงลมไอเสียที่ถูกปล่อยออกมา แล้วอัดอากาศกลับเข้าไปเพิ่มในช่วงรอบสูง และมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้สามารถรีดกำลังได้สูงถึง 407 แรงม้า ทำให้รถสามารถปลิวไปตามแรงเท้าของเราได้อย่างไม่ยากเย็น พุ่งไต่ความเร็วไปถึง 100 - 120 - 160 - 180 กม./ชม. ได้อย่างสบาย เอาจริงคือไม่ได้จับเวลานะครับ แต่เชื่อว่า 0-100 ไม่น่าถึง 7 วินาทีจริง ๆ มันพุ่งไปเร็วมาก แต่รถยังทรงตัวได้ดี ไม่มีอาการหลุดหรือสะบัดในช่วงไต่ความเร็วตั้งแต่ช่วงออกตัวเลย อ่ะ ลองใหม่ คราวนี้ไฟหมดแล้ว (จอดแบบใช้ไฟฟ้าจนเครื่องติด) ผมก็กดออกตัวใหม่อีกครั้ง มันก็พุ่งดีแหล่ะ แต่มันดูเหมือนไม่แรงเท่ากับตอนที่มีไฟอยู่ในแบตเตอรี่ ถึงแรงม้าจะหายไป 87 ตัว แต่มันก็พอจะจับความแตกต่างได้อยู่นะครับ ดังนั้นใครว่าไฟฟ้า เป็นเรื่องที่ช่วยเรื่องความประหยัดอย่างเดียว อันนี้ขอเถียงเลย เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเราได้ทั้งตอนออกตัว, ช่วงเปลี่ยนความเร็ว และช่วงความเร็วสูง ลองคิดดูสิครับ ว่ากำลังระดับ 87 แรงม้าเนี่ย มันคือระดับเดียวกับ ECO Car คันหนึ่งเลยนะ
สำหรับเรื่องความปลอดภัยนั้น ระหว่างที่ผมได้ขับเจ้า Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design นั้น จะได้เห็นการทำงานของการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุหลายอย่าง ทั้งแบบมาตรฐานทั่วไปพวก ควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทาง, เตือนวัตถุด้านหน้า, เบรกอัตโนมัติ (เบรกแบบจริงจังมากถึงมากที่สุด), เตือนจุดบอดด้านข้าง เป็นต้น แต่สิ่งที่ผมได้เห็นถึงความเหนือกว่าทั่วไป ก็คือระบบที่คอยปกป้องผู้ขับขี่อย่างมาก อย่างบางจังหวะที่มีการขับด้วยความเร็วเพื่อขึ้นสะพาน แต่เจอคอสะพานกระโดด สิ่งที่รถทำกับเราก็คือ ทำการดึงเข็มขัดนิรภัยให้แน่นมากขึ้น พร้อมกับตัดกำลังเครื่องยนต์ในทันที ถึงแม้เราอาจจะมองว่า แค่กระโดดสะพาน ทำไมต้องทำขนาดนี้ แต่เชื่อไหมครับว่ามันเคยมีเหตุการณ์กระโดดสะพานแบบนี้ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุมานักต่อนักแล้ว ดังนั้นการใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยขนาดนี้ ทำให้วอลโว่จึงเป็นผู้นำของรถยนต์ที่ปลอดภัยมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ เลย
ถึงแม้นว่า Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design จะเป็นรถอเนกประสงค์ที่เหมาะกับพ่อบ้านที่มีครอบครัวแล้ว พร้อมจะพาครอบครัวเดินทางไปไหนต่อไหนได้ด้วยความสะดวกสบายและปลอดภัย แต่ผมมองว่า เจ้ารถคันนี้ มันเปรียบเสมือนเสือซ่อนเล็บ ที่อาจจะดูน่ารักในยามเยื้องย่าง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอเหยื่อ ก็พร้อมจะพุ่งไปตะปบแบบที่เหยื่อไม่รู้ตัวได้เลย หรือถ้าเป็นผู้ชาย ก็น่าจะเป็นผู้ชายเจ้าชู้ ที่ยามอยู่กับศรีภรรยา ก็ทำหงอ เดินคู่กับหวานใจไปไหนต่อไหนก็ได้ (เปิดโหมด Pure) แต่เมื่อยามที่เมียไปทำงานต่างประเทศสัก 2-3 วัน ก็พร้อมจะออกตะลุยยามราตรี ออกล่าเหยื่อได้ทันที (เปิดโหมด Sport)
สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมันนั้น รอบนี้ใช้งานเป็น Gasohol 95 ตลอดทั้งการทดสอบ ระยะทางรวมประมาณ 550 กิโลเมตร ใช้งานตามที่ระบุเอาไว้ทั้งหมดในรีวิวเลย หน้าจอแจ้งขึ้นมาว่า 9.1L/100 KM. เมื่อเอาไปแปลงเป็นค่าที่เราคุ้นเคย จะได้ที่ 10.9 กิโลเมตร/ลิตร ถ้าถามว่ามากไหม ผมว่ามันก็ค่อนไปทางมากเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่า ถ้าเรามีวินัยในการชาร์จไฟฟ้าให้เต็มทุกครั้งก่อนการเดินทาง ผมว่า ตัวเลขนี้จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน นั่นคือข้อได้เปรียบของการใช้รถยนต์สไตล์ Plug-in Hybrid ครับ
สำหรับค่าตัวของ Volvo XC60 T8 Twin Engine AWD R-Design นั้น อยู่ที่ 3,590,000 บาท ผมว่าใครที่มีกำลังซื้อ และกำลังมองหารถสำหรับพาครอบครัวออกไปท่องเที่ยวได้ทุกรูปแบบ ทั้งแบบทั่วไปตามที่ท่องเที่ยวตามเมือง, ไปตามชายหาดทะเลแสนสวย หรือบุกเขา เข้าป่าเพื่อพาตัวน้อยไปผจญภัย ผมว่ารถอเนกประสงค์คันนี้ จะพาคุณไปได้ทุกที่ แถมยังช่วยปกป้องคุณจากอันตรายบนท้องถนนได้อีกด้วย แต่ก็ต้องขอเตือนว่า ระบบความปลอดภัยต่าง ๆ จะไม่มีความหมาย ถ้าคนขับเองไม่รู้จักที่จะขับขี่ด้วยความระมัดระวังนะครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com