Test Drive : รีวิว ทดลองขับ Toyota Hilux REVO Rocco Facelift ขับสั้นๆ…กระบะแต่งแกร่งเกินนิยาม
- โดย : Autodeft
- 16 มิ.ย. 63 00:00
- 16,986 อ่าน
นับตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา สิงห์รถกระบะชาวไทยทั้งประเทศได้รู้จัก Toyota Hilux REVO Facelift หรือรุ่นปรับโฉมอย่างเป็นทางการ ที่ดุขึ้น เข้มขึ้น แถมมีทางเลือกที่หลากหลายถึง 40 รุ่นย่อย 3 รูปแบบตัวถังหลัก งานนี้เลือกกันอย่างจุใจ ตรงความต้องการของผู้ใช้รถไม่ว่าจะงานส่วนรวมหรืองานส่วนบุคคลอย่างเต็มรูปแบบ
นอกจากรุ่นหลักที่กวาดยอดจองอย่างท่วมท้นไม่ว่าจะเป็นรุ่นตัวเตี้ยหน้าหล่อ Z-Edition กับรุ่นยกสูง Prerunner ที่นิยมกัน ยังมีอีกหนึ่งรุ่นเหมาะสำหรับกลุ่มคนแกร่ง รักการผจญภัยชอบความท้าทายเป็นชีวิตจิตใจ แสวงหาความตื่นเต้นความเร้าใจจึงเป็นที่มาของการแนะนำรุ่นพิเศษแต่งหล่อจากโรงงานภายใต้ชื่อ Toyota Hilux REVO Rocco ครั้งนี้ทาง โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จึงเชิญสื่อมวลชนรวมถึงผม ได้ร่วมกิจกรรมทดลองขับกระบะแต่งหล่อครั้งนี้กับรุ่นท็อปสุด Toyota Hilux REVO Rocco รุ่น Double Cab 2.8 4WD
เรือนร่างความแกร่ง ยังคงใช้ตัวถังเดิมแต่ครั้งนี้ปรับหน้าตาใหม่โดยใช้ทีมวิศวกรไทยภายใต้การบริหารของ โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง มีส่วนร่วมหลักในการออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจมากที่สุด โหดตั้งแต่ กระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ ขอบสีดำโดยส่วนบนตกแต่งด้วยขอบโครเมี่ยมแปะตราโลโก้สามห่วงขนาดใหญ่ส่วนล่างมีช่องระบายอากาศสีดำขนาดใหญ่ตกแต่งการ์ดสีเงิน เข้ากันกับกันชนหน้าดีไซน์เฉพาะรุ่น Rocco ประกบกับ ไฟหน้าโคมใหม่แบบ Bi-LED ในโคมติดตั้งไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED Daytime ในโคมดียวกัน ด้านข้างมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนคิ้วขอบล้อให้หนาขึ้นดีไซน์เหลี่ยมพร้อมช่องเล็กๆสีเทารับกับขอบไฟตัดหมอกหน้า LED และติดตั้งสัญญาณกะระยะการจอดให้ 2 จุด
ล้ออัลลอยดีไซน์เฉพาะรุ่นแบบ 5 ก้านคู่สีดำ พร้อมยางขนาด All Terrain (AT) ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/60R18 และสกรีนโลโก้สีขาวแบบ White Letters สร้างจุดเด่นขึ้นมาทันทีด้วยชุดแต่งสีเทาเข้ม ทั้งกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับ-พับ ด้วยระบบไฟฟ้า ที่เปิดประตู พร้อมสปอร์ตบาร์ดีไซน์ยาวถึงขอบกระบะท้าย และสติ๊กเกอร์ใหม่คำว่า Rocco ซ้าย-ขวา ด้านท้ายใหม่ตั้งแต่ไฟท้ายแบบ LED แบบเลข 3 Light Guiding และที่ครอบไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมชื่อ Hilux เป็นการบ่งบอกว่านี่คือรุ่นใหม่ ส่วนดีไซน์ทั้งฝากระบะท้ายและกันชนหลังยังคงเดิม และติดตั้งสัญญาณกะระยะการจอดให้ 4 จุดพร้อมกล้องมองหลัง
มิติตัวรถเมื่อเป็นรุ่นปรับโฉมมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรเริ่มที่ ความยาว 5,325 มม. ความกว้าง 1,900 มม. ความสูง 1,815 มม. ฐานล้อ 3,085 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ 217 มม. น้ำหนักรถ 2,095 กก. และความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร ส่วนมิติกระบะท้ายซึ่งในรุ่น 4 ประตู จะสั้นกว่ารุ่นแค็บ โดยมีความยาว 1,555 มม. ความกว้าง 1,540 มม. และความสูง 480 มม.
เมื่อเปิดประตูเข้าไปสัมผัสภายในก็จะพบว่าบรรยากาศยังเข้มๆเดิมๆด้วยโทนสีดำทั้งหมดแต่สำหรับเวอร์ชั่นปรับโฉมนั้น มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเริ่มที่ มาตรวัดเรืองแสงใหม่ในกรอบสีเทา พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบ TFT ใหม่ 4.2 นิ้ว รวมถึงเครื่องเสียงจอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้ว ดีไซน์เข้ารูปเป็นหนึ่งเดียวกับคอนโซลกลางที่งานนี้ตัดช่องใส่แผ่น DVD ออกไปและไม่มีระบบนำทางแบบ Built-In เอาใจสาวกไอที สมาร์ทโฟนด้วยการรองรับ Apple CarPlay และลำโพง 6 จุด การเชื่อมต่อสื่อสารระหว่างคนกับรถเป็นสิ่งสำคัญ โตโยต้า จึงมอบระบบ T-CONNECT เป็นออพชั่นมาตรฐานให้ทั้งความอุ่นใจและความปลอดภัยไร้กังวลในทุกสถานการณ์ สามารถเช็กตำแหน่งรถที่เราจอด ติดตามรถเมื่อสูญหาย แจ้งเตือนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากเขตพื้นที่คุณกำหนดไว้ บริการช่วยเหลือ 24 ชม. สรุปทริปการเดินทางรวมถึงเป็นเลขาส่วนตัวทั้งแจ้งเตือนต่อทะเบียนรถประจำปีล่วงหน้าอัตโนมัติ แจ้งเตือนเข้าศูนย์บริการพร้อมประสานงานนัดหมาย โดยทำงานผ่านทางสมาร์ทโฟน เชื่อมการขับเคลื่อนแห่งอนาคต ให้คุณอุ่นใจ ปลอดภัยไร้กังวลในทุกสถานการณ์
ครั้งแรกในรถรกบะกับไฟส่วนบุคคล Ambient Light บริเวณแผงข้างประตู ทั้ง 4 บาน พร้อมออพชั่นยกชุดจากรุ่นเดิมทั้ง ระบบ Push Start สะดวกสบายด้วยระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยปลายนิ้วและกุญแจรีโมทดีไซน์เอกลักษณ์ ช่องต่อไฟฟ้ากระแสสลับ AC 220V สามารถชาร์จมือถือและเสียบปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ปรับระดับ 4 ทิศทาง พร้อมปุ่มควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งาน ชับขี่สบาย ได้เพียงปลายนิ้ว เครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติเพิ่มความเย็นสบาย พร้อมระบบปรับทิศทางลม 5 รูปแบบและที่ขาดไม่ได้เลยคือ เบาะนั่งกึ่งหนังแท้สีดำเดินด้ายขาวปรับด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง สำหรับคนขับและปรับธรรมดาสำหรับคนนั่ง ถึงโครงสร้างเบาะจะเป็นแบบเดิมแต่เมื่อเข้าไปนั่งจะพบว่ามีการปรับในส่วนของแผ่นหลังและปีกซ้าย-ขวาให้หนาพอสมควร มีผลทำให้การขับขี่สบายกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเบาะหลังมาพร้อมที่ท้าวแนแบบฝั่งช่องใส่แก้วน้ำ 2 จุด และช่องแอร์ด้านหลัง
ไม่เพียงการปรับเปลี่ยนในส่วนหน้าตาความหล่อทั้งภายนอกและภายในแล้ว ขุมพลังก็มีการเปลี่ยนเช่นกันบนพื้นฐานเดิมคือเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน คอมมอนเรล 2.8 ลิตร รหัส 1GD-FTV High-Power พัฒนาแรงใหม่ขึ้นเป็น 204 แรงม้าที่ 3,400 รอบ / นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ / นาที ให้ค่า CO2 ต่ำเพียง 195 กรัม/กม.ขับเคลื่อน 4 ล้อ และยังมียังมีเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน คอมมอนเรล 2.4 ลิตร ภายใต้รหัส 2GD-FTV High-Power 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,000 รอบ/นาทีขับเคลื่อน 2 ล้อยกสูง ให้ค่า CO2 ต่ำเพียง 176 กรัม/กม. ทั้งสองขนาดจะมีเพียงเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเท่านั้น
นอกจากการเพิ่มกำลังเป็น 204 แรงม้าในรุ่น 2.8 และพัฒนาเครื่อง 2.4 150 แรงม้า ยังพัฒนาระบบคอมมอนเรลให้ฉีดจ่ายอย่างละเอียดขึ้นด้วยปั๊ม คอมมอนเรล แรงดันสูง 250 MPa นอกจากนี้ ระบบ i-ART หรือระบบควบคุมการฉีดน้ำมันสามารถควบคุมแต่ละหัวฉีดอย่างอิสระ แม่นยำด้วยเซ็นเซอร์คอมพิวเตอร์ผสานกับการทำงานของปั้มคอมมอนเรล ให้ละอองน้ำมันละเอียดขึ้นเทอร์โบแปรผันที่มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นเดิมสำหรับรุ่น 2.8 ลิตร สร้างความแรงอย่างต่อเนื่องและตอบสนองอย่างดี ด้านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-Time สงวนไว้ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.8 เท่านั้น ซึ่งจะมีทั้ง 2H, 4H, 4L เหมาะสำหรับการขับขี่ทุกรูปแบบสไตล์ Off-Road มีระบบ Shift-On-The-Flyเปลี่ยนจาก 2H เป็น 4H ในความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ A-TRC สามารถลุยเส้นทาง Off-Road ได้อย่างมั่นคง ราบรื่น ไม่สะดุดพร้อมกันนี้ยังติดตั้งเฟืองท้ายแบบ Diff-Lock หรือ ระบบล็อกเพลาหลังควบคุมด้วยไฟฟ้า และเครื่องยนต์มีการปรับลดความเร็วรอบเดินเบา (จาก 850 รอบต่อนาที เป็น 680 รอบต่อนาที) ช่วยให้สามารถผ่านเส้นทางสุดโหดของการขับขี่ Off-Road แบบสบายๆ
การทดลองขับครั้งนี้ ขับกันสั้นๆ ในสนาม Toyota Driving Experience ถ. บางนาตราด โดยจะมีการแบ่งเป็นสองส่วนหลักทั้งสนาม On-Road และ Off-Road รุ่นที่ได้ขับกันเป็นรุ่น 2.8 Rocco 4 ประตู ขับเคลื่อน 4 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 204 แรงม้าเริ่มกันที่ สถานีการควบคุมพวงมาลัย งานนี้ระบบพวงมาลัยยังเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนี่ยนพร้อมพาวเวอร์แบบน้ำมันที่พัฒนาใหม่ให้เหมาะกับสภาพถนนของเมืองไทยด้วยระบบควบุคมบังคับเลี้ยวพวงมาลัยแบบแปรผัน หรือ Variable Flow Control (VFC) โดยระบบนี้จะปรับน้ำหนักพวงมาลัยให้เหมาะสมทุกช่วงความเร็ว ไม่ความเร็วปกติหรือความเร็วสูงๆ พวงมาลัยมีน้ำหนักขึ้นกว่าแต่คุณผู้หญิงที่คิดจะมาขับกระบะรุ่นนี้ ไม่เป็นอุปสรรคอย่างแน่นอน แต่รับรองกล้ามขึ้นทันตาเห็นๆ การควบคุมพวงมาลัยกลับทำผลงานได้ดีกว่ารุ่นเดิม คมกริบตอนเข้าโค้งอย่างมั่นใจ ในพื้นที่ถนนวงเวียน และยังมีการทดสอบหนึ่งในสาม ระบบความปลอดภัยขั้นเทพ Toyota Safety Sense นั่นคือระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (Lane Departure Alert) โดยทดลองปล่อยพวงมาลัยให้รถออกนอกเลนเพื่อระบบทำงานปรากฏว่าระบบตอบสนองได้อย่างดีสามารถขืนพวงมาลัยให้ตัวรถกลับเข้าเลนถนนได้อย่างมั่นใจ และยังมีอีก 2 ระบบ ให้ใช้งานทั้ง ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) ระบบควบคุมและปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) เป็นออพชั่นเฉพาะรุ่น Rocco 4 ประตู ทุกขนาดเครื่องยนต์ ทุกระบบขับเคลื่อน
มากันที่สถานีทดสอบ ช่วงล่างพื้นฐานช่วงล่างหน้าแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงหน้า ส่วนด้านหลังแบบแหนบแผ่นซ้อน(แหนบเหนือเพลา) นั่นเอง แต่ โตโยต้า ต้องการตอบโจทย์คนไทยรักสบาย จึงพัฒนาช่วงล่างหน้าและหลังใหม่ในชื่อ Super Flex Suspension โดยปรับในส่วนด้านหลังจากแหนบ 5 แผ่น เหลือ 3 แผ่น โดยใช้แหนบจาดวัสดุ High-Tensile Steel รวมถึงปรับจูนในส่วนโช้คอัพใหม่ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ ทั้งในสนามจำลองสภาพพื้นผิวถนน บอกได้เลยว่าช่วงล่างใหม่นี้ให้ความนุ่มนวลมากขึ้นกว่าเดิมแต่ความหนึบอันเป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าสภาพถนนจะเป็น หลุม บ่อ ท่อ ลูกคลื่น กลับให้ความมั่นใจมากกว่ารุ่นเดิม หรือแม้แต่สะพาน ช่วงจัมพ์คอสะพาน กลับให้ความยืนหยุ่นแบบครั้งเดียวไม่ซ้ำรอบสองรอบ เรียกว่าจุดนี้สร้างจุดแข็งขึ้นมาต่อกรกับคู่แข่งได้ ระยะทางเกือบ 900 เมตรกับเส้นทางตรงๆเพื่อลองสมรรถนะเครื่องใหม่ 2.8 ลิตร 204 แรงม้า ถึงอาจจะไม่ได้ลองแบบเต็มๆ หวังจะจับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. แต่เท่าที่สัมผัสความฉับไวการตอบสนองนั้นทันใจมากกว่ารุ่นเครื่องยนต์เดิม 177 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร และการเหยียบเบรกแป้นเบรกทำงานนุ่มนวลแต่หยุดรถฉับไวขึ้นเมื่อเหยียบแป้นเบรกราว 30 % ซึ่งมากกว่านี้ถ้ามีโอกาสจะจับมาทดลองขับเดี่ยวกันอีกครั้ง
ปิดท้ายกับสนามออฟโรดที่ให้ลองแค่ สองสนามย่อยเริ่มจากสนาม Slope Hill เนินลาดชัน กำลัง 204 แรงม้า ก่อนอื่นต้องปรับระบบมาที่ 4L ความเร็วต่ำ การเหยียบคันเร่งเบาๆเพื่อให้เดินหน้าขึ้นเนินให้ความนิ่งๆ เดินรอบอย่างเนียนๆ ก่อนถึงกลางเนิน ได้ลองระบบออกตัวบนทางลาดชันหรือ HAC คือตัวรถจะคาอยู่บนเนินประมาณ 3 วิ เพื่อให้กดคันเร่งเบาๆให้เคลื่อนที่ต่อไปได้แบบรถไม่ไหล แต่พอลงเนินได้ใช้ระบบควบคุมความเร็วลงทางลาดชันหรือ DAC จับอาการได้นุ่มนวลแอบมีหน่วงๆแต่ไม่กระตุก มาที่สนาม Twist Track จำลองสภาวะการขับขี่ที่ทำให้รถยนต์ไม่สามารถใช้กำลังจากล้อทั้ง 4 ได้อย่างเต็มที่ ต้องยกความดีความชอบของ Walking Speed ที่ให้เครื่องยนต์จัดการของมันเองไม่ต้องพึ่งคันเร่งปรากฎว่าทำได้ดีเยี่ยมให้ความต่อเนื่องของรอบเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ควบคุมพวงมาลัยเท่านั้นก็สามารถฝ่าอุปสรรคง่ายดาย
การปรับโฉมครั้งนี้ ถึงจะเน้นหนักไปทางหน้าตาคมเข้มดุดันกว่าด้วยชุดแต่งสไตล์ Rocco ภายในที่เข้มพร้อมออพชั่นครบครัน กำลังเครื่อง 2.8 ลิตร 204 แรงม้า ให้ความฉับไวทันใจถึงอาจจะไม่ว้าวมากเท่าไหร่ แต่ช่วงล่างที่ปรับปรุงใหม่ถูกจริตคนไทยมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณผู้หญิง หรือ ผู้สูงอายุที่ชอบรถนั่งสบายๆนั่งนิ่มๆ แต่ยังไม่ทิ้งความหนึบคมกริบในการเข้าโค้งอันเป็นจุดแข็งของกระบะรุ่นนี้ พวงมาลัยถึงจะหนักแต่เอใจได้ว่าเข้าโค้งคม สลาลอมเฉียบ
ในราคา 1,239,000 บาท กับข้าวของที่ให้มานั้นจัดว่า (เกือบ) ครบครันแต่อาจเป็นรองกระบะจากแดนมะกันที่ครบเครื่องกว่าแต่ด้วยชื่อ โตโยต้า ยังคงได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นแน่นอนสำหรับ กระบะแต่งหรู Toyota Hilux REVO Rocco Facelift
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถยนต์ Toyota Hilux REVO Rocco Facelift
สิ่งที่ชอบ >>>หน้าตาดุกว่ารุ่นเก่า การแต่งที่เด่นกว่าเก่าในสไตล์ Rocco ออพชั่นครบครัน ช่องต่อไฟฟ้ากระแสสลับ AC 220V สามารถชาร์จมือถือและเสียบปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าได้อย่างสะดวก เบาะนั่งโครงเดิมแต่ปรับใหม่เพิ่มความสบายทุกการเดินทางระบบเบรกทันใจขึ้น ช่วงล่างนุ่มนำหนึบตาม
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ในราคาล้านสองต้นๆควรให้ความปลอดภัยมากขึ้นทั้งระบบเตือนมุมอับสายตา กับ เตือนขณะถอยจอด และระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
ชม Gallery Test Drive Toyota Hilux REVO Rocco Faceliftได้ที่นี่ !!
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com