Hands On : Toyota Alphard Hybrid พรมวิเศษแห่งแดนอาทิตย์อุทัย
- โดย : Autodeft
- 30 มี.ค. 59 00:00
- 27,432 อ่าน
ห้ามทดสอบหนัก.... ห้ามนำไปทดสอบสมรรถนะโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะนานเท่าไร ผมก็ยังจดจำประโยคตอบกลับในอีเมล์ที่ส่งไปของยืมรถยนต์ Toyota Alphard Hybrid ได้ดี ....ถึงมันจะขึ้นชื่อว่าโตโยต้า หากนี่ไม่ใช่สำหรับบุคคทั่วไป ทว่ามันคือรถยนต์หรูชั้นนำ ที่หลายคนใฝ่ฝัน และบรรดาผู้บริหารต้องมีติดบ้านไว้สักคันอย่างแน่นอน
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปีกลายที่มีโอกาส สัมผัสเจ้ารถยนต์ Toyota Alphard ต้องยอมรับว่า มีผู้อ่านจำนวนไม่น้อยถามไถ่มาถึงการมาของรถยนต์รุ่นนี้ในเวอร์ชั่นไฮบริด ถึงแม้ว่าเจ้ารถยนต์รุ่นนี้อาจจะไม่ใช่รถยนต์ที่คนทั่วไปสนใจ แต่ผมก็กล้าพูดเลยว่าถ้าคุณมีเงินหลายล้าน อยากมองหาความสบายเจ้ารถยนต์ Toyota Alphard จะผุดขึ้นมาในหัวทันที
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเรื่องนี้ขอย้อนกลับไปในยุคก่อนที่ผมจะเข้ามาเป็นสื่อมวลชนสายยานยนต์ ช่วงปี พ.ศ.2549 ด้วยความที่งานหายากและไม่อยากว่างงาน ตอนนั้นผมเองเลยมีประสบการณ์ขายรถยนต์นำเข้าอยู่ห้วงเวลาหนึ่งของชีวิต
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียว แต่ต้องยอมรับว่า ผู้รากมากดี เศรษฐีใหม่ทั้งหลายต่างให้ความไว้วางใจรถยนต์ Toyota Alphard กันแทบทั้งสิ้น ด้วยราคาที่ไม่แพงจนเกินเอื้อมมากนัก ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ(ที่สามารถนำการซื้อรถในนามบริษัทหักลดหย่อนภาษีได้) และแม้จะสวมชื่อของแบรนด์รถยนต์ Toyota แต่เรื่องความหรูหราครบครันฟังชั่นรถรุ่นนี้ไม่ธรรมดาเลย
ตำนานเจ้าหรูรุ่นนี้ ย้อนกลับไปในปี 2002 Toyota ได้เริ่มมีแนวคิดทำรถยนต์นั่งสุดหรูในลักษณะของรถยนต์แบบ MPV (Multi-Purpose Vehicle) ด้วยจุดประสงค์สำคัญในการแข่งขันกับ Nissan Elegrand ตลอดจนคู่แข่งตลอดกาล Honda Elysion ทำให้โตโยต้ามุ่งเน้นอย่างหนักในเรื่องของความหรูหราในการโดยสารและความปลอดภัยในการขับขี่ตลอดจนยังต้องมีสมรถนะในการขับขี่ที่ดีเยี่ยมตามสไตล์ยานยนต์หรูสำหรับผู้บริหาร
จึงแนะนำเครื่องยนต์แบบ แบบ 4 สูบแถวเรียงขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลัง 158 แรงม้า ให้แรงบิด 195 นิวตันเมตรเข้ามาประจำการ และสำหรับลูกค้าที่ต้องการสมรรถนะในอเนกประสงค์คันนี้แบบจริงจัง ก็ยังมีเครื่องยนต์แบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลัง 217 แรงม้า และให้แรงบิดถึง 310 นิวตันเมตร ทั้งคู่มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติธรรมดา 4 สปีดในช่วงแรก ก่อนที่ทาง Toyota จะพัฒนารุ่น V6 ให้ทันสมัยและประหยัดน้ำมันมากขึ้น ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด
รถยนต์ Toyota Alphard รุ่นแรก
แม้ว่ายุคนั้นเทคโนโลยีไฮบริดจะไม่เฟื่องฟูเท่าปัจจุบัน แต่ด้วยแนวทางของโตโยต้าที่มีต่อเทคโนโลยีไฮบริด ด้วยราคาค่าเทคโนโลยีในยุคนั้นที่ยังแพงมากๆ ทำให้ พวกเขาจึงเริ่มแนะนำมันลงในรถยนต์ Toyota Alphard เป็นุร่นแรกๆ ในฐานะรถยนต์ที่ไม่ใช่รถที่เกิดมาประหยัดอย่าง Toyota Prius
ทางทีมวิศวกร Toyota ได้จับเอาเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร 2AZ-FE มาพัฒนาต่อยอดในการขับขี่ เครื่องยนต์มองภายนอกอาจจะหน้าตาเดียวกันราวกับแกะ หากภายในมีการวิศวกรรมใหม่ ทีมวิศวกรเปลี่ยนชุดแคมใหม่ ตลอดจนชุดลูกสูบใหม่ แล้วจูนเครื่องยนต์ให้ทำงานในแบบ Atkinson Cycle รวมถึงในการทำงานของเครื่องยนต์ยังมีช่วงเวลาที่วาล์วทำงานทับซ้อนกัน (Over lap) มากขึ้นกว่าเครื่องยนต์ปกติ มาพร้อมระบบส่งกำลังแบบ Electronic CVT
ในรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริดยังเหนือชั้นด้วยการแนะนำระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ E-Four เข้ามาเป็นครั้งแรก ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากรถยนต์อเนกประสงค์ MPV หรูของค่าย Toyota Estima Hybrid มาใช้ในการขับขี่ โดยการทำงานของระบบ E-Four นั้น ใช้การควบคุมการทำงานของระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ทั้งตัวที่อยู่กับเครื่องยนต์ทางด้านหน้า และตัวที่ติดตั้งอย่างอิสระทางด้านหลังเข้ามา ทำงานตอบสนองอัตโนมัติเมื่อรถอยู่ในสภาวะเสียการควบคุม หรือขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ช่วงเวลานั้น และด้วยความแตกต่างนี้เอง ประกอบกับราคา Toyota Alphard Hybrid ไม่แพงมากนัก จึงกลายเป็นรถไฮบริดรุ่นแรกๆ ที่ได้รับความนิยมจากลูกค้า
ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ของผมกับบริษัทรถยนต์นำเข้า แต่ด้วยกระแสความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้มีอันจะกินในประเทศ ทำให้เมื่อ Toyota เผยโฉม Toyota Alphard รุ่นที่ 2 บรรดาผู้นำเข้าอิสระไม่รอช้าที่จะนำรถยนต์รุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายทันที
Toyota Alphard รุ่นที่ 2
ในรุ่นใหม่ Toyota Alphard ได้รับการขัดเกลาให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น แนวทางของ Toyota เริ่มเห็นช่องทางการทำตลาด เบนเข็มมายังทางด้านความหรูหรามากที่สุด ทั้งการออกแบบภายนอกและการตบแต่งภายในห้องโดยสาร รวมถึงในรุ่นใหม่เจนเนอร์เรชั่นที่ 2 การเติบโตของกลุ่มผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงหรือ young Executive ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ Toyota แตกไลน์สินค้า Toyota Alphard จนก่อกำเนิดเป็นรถยนต์ Toyota Vellfire ที่มีราคาถูกกว่าและการออกแบบรถดูวัยรุ่นมากกว่า
Toyota Alphard และ Toyota Vellfire รุ่นใหม่ ยังใช้เครื่องยนต์ลักษณะเดิม สริมด้วยเทคโนโลยีวาล์วแปรผัน VVTi เข้ามาช่วยตอบโจทย์ ในรุ่น 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบแถวเรียง กำลังเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 168 แรงม้า และทำแรงบิด 235 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบเกียร์ Super CVT-I 7 จังหวะใหม่ล่าสุด
ส่วนในรุ่นเครื่องยนต์ V6 ทาง Toyota จัดการปรับเครื่องยนต์ใหม่ ขยายความจุให้ทันใจมากยิ่งขึ้นในการขับขี่ แนะนำบล็อก V6 3.5 ลิตรเข้ามาวางจำหน่ายสำหรับผู้บริหารรีบร้อน จนมีกำลังสูงสุดในการขับขี่ถึง 276 แรงม้า และแรงบิด 330 นิวตันเมตร แนะนำพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะง
ตัวรุ่นไฮบริดในเวอร์ชั่นนี้ มาช้าเล็กน้อย เพราะมาเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของการวางจำหน่ายในปี 2011 ซึ่งโดยรวมก็ใช้ระบบขับเคลื่อนไม่ต่างจากรุ่นแรก แต่ก็น่าแปลกที่สาวกของรถรุ่นนี้ยังสนใจตัวไฮบริดเหมือนเคย
จวบจนการกลับมาในรุ่นที่ 3 ของตระกูลหรู ทางโตโยต้าได้เปิดตัวรถยนต์ Toyota Alphard และ Toyota VellFire ใหม่เฉพาะสำหรับประเทศไทย โดยโตโยต้าตัดสินใจ นำรถยนต์รุ่นดังกล่าวเข้ามาเอง แม้ว่างานนี้จะทำให้บรรดาผู้นำเข้าหวั่นใจกันบ้าง ด้วยการทำราคาที่ดุดัน และพร้อมสู้รบปรบมือด้วยสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้ามากกว่า ...แต่ว่าตอนลองขับเมื่อช่วงต้นปีกลาย ทาง Toyota ก็ยังไม่ได้ให้โอกาสเราสัมผัสในรุ่นไฮบริด ซึ่งทางโตโยต้ายืนยันว่าจะนำเข้ามาวางจำหน่ายอย่างแน่นอน ..
.. “อย่าลืมนำป้ายแดงมาเองด้วย” ...งานนี้ทำเอาผมคิดหนัก เพราะฝันหวานกับ Toyota Alphard Hybrid เริ่มต้นด้วยการวิ่งงานกับการขอยืมป้ายแดงจากพี่น้องเซลล์ขายรถยนต์ที่รู้จัก ..แม้ว่ามันยุ่งสักนิด แต่เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพ นี่น่าจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกที่ Toyota Alphard Hybrid แล่นออกสู่ถนน แม้ว่าทุกวันนี้เราจะเห็นกันจนชินตา
ถ้าถามว่าหน้าตาเจ้ารถยนต์ Toyota Alphard Hybrid เป็นอย่างไร ต้องยอมรับว่ารุ่นใหม่ของรถยนต์รุ่นนี้มีความหรูหรามากมาย จนรู้สึกได้ทันทีตั้งแต่ภายนอกด้วยการมุ่งเน้นในความหรูหรา กระจังหน้าโครเมี่ยมใหม่แบบเต็มพื้นที่ให้ความรู้สึกของรถที่ดูพรีเมี่ยมมากขึ้น
ผมจำได้ว่าเคยผ่านหูว่า มีคนเรียก Toyota Alphard รุ่นใหม่ล่าสุดว่า “อัลพาร์ดหน้าหมู” ผมไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะรู้สึกแบบนั้น ด้วยกระจังหน้าโครเมี่ยมอันใหญ่โต ทำให้รู้สึกว่ามันเหมือนจมูกของหมู ที่ยื่นมาก่อนใบหน้า ทว่า Toyota ก็ออกแบบรถให้มีเส้นสายการออกแบบเน้นเคลือบความสปอร์ตไปพร้อมกัน ผ่านเส้นสายคมสัน จากด้านหน้า ไฟหน้ายังคงเอกลักษณ์สมาคมตาชั้นเดียว ให้โคมไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟหน้าแบบ LED เสริมลุคความทันสมัยมากขึ้น
หน้าตาอาจจะไม่โดนใจวัยรุ่นเท่า Toyota Vellfire ที่แลแล้วโฉบเฉี่ยวมากกว่า และถึงทุกอย่างจะดูธรรมดาภายนอก แต่ Toyota แฝงสุดยอดการวิศวกรรมไว้คู่การออกแบบ เริ่มจากกระจกบังลงหน้าตัดรังสิความร้อนอินฟาเรด หรือ IR Cut เช่นเดียวกับกระจกตอนหน้าทางด้านข้างให้กระจกลักษณะเดียว มั่นใจได้เลยว่าผิวเรือนร่างจะสวยใสไร้ริ้วรอยหรือโดนทำร้ายจากแสงอาทิตย์ แม้คุณจะไม่ติดฟิล์ม
ประตูหลังเข้าสู่ห้องโดยสาร ต้อนรับบุคคลสำคัญหรืออาจจะเป็นคุณ ด้วยระบบประตูไฟฟ้าบานสไลด์ เปิดได้ทั้ง 2 ด้าน ไม่ว่าคุณจะเปิดเอง หรือให้ผู้ขับขี่เปิดให้ ก็ทำงานนิ่งเงียบ สะดวกทันใจ มีเสียงเตือนบอก ส่วนประตูบานท้ายเป็นแบบเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า ใช้งานง่ายขึ้น แถมยังมีระบบป้องกันการหนีบ ...ด้วยในตัว
ก้าวเข้าสู่ห้องโดยสาร .. กุญแจแบบ Smart Entry ช่วยให้ง่ายดายในการใช้งานไม่ต้องมาหยิบจับกุญแจไขกันอีกต่อไป ภายในให้ความรู้สึกลงตัวด้วยการตบแต่งโทนสีเบจ เบาะนั่งหุ้มหนัง Preforated ให้ความรู้สึกอันนุ่มสบายในสัมผัสแรก ตัวเบาะฝั่งคนขับปรับฟ้า ได้มากถึง 8 ทิศทาง พร้อม 3 หน่วยความจำในการใช้งาน
เมื่อปรับท่านั่งสมบูรณ์แล้ว กลับรู้สึกว่านี่คือรถนั่ง MPV รถครอบครัวมากกว่ารถตู้ ถึงคุณจะต้องขับรถเอง ก็ไม่รู้สึกเหมือนเป็นขี้ค่ารับใช้คนนั่งหลัง ด้วยความสบายสำหรับผู้ขับขี่ มีดีไม่แพ้กัน ไม่ว่า จะฟังชั่นตัวเบาะปรับอัตโนมัติ ขณะเลื่อนเข้าออก เป็นอะไรที่สร้างความว้าว ...และบางครั้งสร้างความน่ารำคาญ ถ้าคุณรีบอยากจะขึ้นรถ แล้วสตาร์ทมันออกไปทันใด
ตรงหน้าคนขับพวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทางมีเรือนไมล์เรืองแสง พร้อมจอแสดงข้อมูลในการขับขี่ การตบแต่งลายไม้ดูลงตัว อาจจะแลสูงวัยไปบ้างตามสไตล์ของรถประเภทนี้ ตรงกลางคอนโซลหน้าเป็นระบบความบันเทิงของ Toyota เอง ทำงานผ่านหน้าจอสัมผัส ใช้งานง่ายและค่อนข้างสะดวกพอสมควร และความสบายในห้องโดยสารต้องพร้อมด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระ 3 โซน ได้แก่ ซ้าย-ขวา และ หลัง พร้อมระบบ Nanoe เพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวคุณในยามโดยสารให้รู้สึกสดชื่นตลอดการเดินทาง ส่วนเบาะฝั่งคนนั่งเป็นแบบปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางมาพร้อมที่รองขาสบายสุดๆ
จะเป็นท่านชายต้องผ่านการเป็นยาจกมาก่อน ผมกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์เริ่มต้นการเดินทาง Toyota Alphard Hybrid ออกสู่ถนนเมืองกรุง ...
ใต้เรือนร่างอันใหญ่โต Toyota Alphard Hybrid รุ่นใหม่ มีการปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สมรรถนะมากขึ้น นิดหน่อย การปรับเครื่องยนต์จากเดิม 2.4 ลิตร เพิ่มขึ้นมาเป็น 2.5 ลิตร อาจฟังดูไม่มากมาย แต่ก็มีอำนาจมากพอในเรื่องการขับขี่ให้สมขนาดรถยนต์มากขึ้น ด้วยพละกำลังของเครื่องยนต์สูงสุด 152 PS สูงสุดที่ 5,700 รอบต่อนาที และยังให้แรงบิดสูงสุด 206 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที
การทำงานของเครื่องยนต์ควบรวมเข้ากับระบบมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว โดยตัวหนึ่งติดตั้งทำงานร่วมกับเครื่องยนต์โดยตรง ให้กำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 143 PS และให้แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าอีกตัว ติดตั้งทางด้านหลังสำหรับการทำงานของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ E-Four มีขนาดเล็กกว่าเล็ก เทียบเท่ากำลังจากเครื่องยนต์เพียง 68 แรงม้า และให้แรงบิดสูงสุดเพียง 139 นิวตันเมตร
ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังจากแบตเตอร์รี่นิคเคิลเมเทิลไฮดราย (Ni-cd) ซึ่งมันเริ่มล้าสมัยไปแล้วบ้าง และน่าแปลกใจที่รถราคาระดับนี้ยังไม่แบตเตอร์รี่ลิเธียมไอออนมาตอบโจทย์ อาจจะด้วยตามปรัชญาการวิศวกรรมของโตโยต้าว่า QDR (Quality – Durability-Reliability ) แต่ถึงแบบนั้น ในภาพรวมเรื่องกำลังของระบบขับเคลื่อน Toyota Alphard Hybrid ก็ไม่ขี้เหร เมื่อควบรวมพลังทั้งระบบมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์สามารถให้กำลังสูงสุดถึง 197 PS แถมยังประหยัดสูงสุดถึง 19.4 กิโลเมตร/ลิตร ตามการทดสอบในโหมด JC08 ที่ญี่ปุ่น
การรับรถจากฝ่ายการตลาดต้องยอมรับว่าหนทางเข้าไปยังโกดังรับรถค่อนข้างยาก แต่ก็กลายเป็นเส้นทางทดสอบหนึ่งของ Toyota Alphard เช่นกัน ด้วยการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำให้เจ้าอเนกประสงค์ร่างใหญ่คันนี้ สามารถขับเคลื่อนด้วยโหมดไฟฟ้าล้วนได้ หรือ EV Mode เพียงกดปุ่มตรงคอนโซลกลาง ทางด้านซ้ายหน้าคนขับปุ่มที่ 3 จากด้านบน ถัดจากฟั่งชั่นการทำงานของเบรกมือไฟฟ้า และตำแหน่ง Brake Hold
หากแบตเตอร์รี่เหลือเฟือเพียงพอระบบจะล็อคเข้าสู่การทำงานของระบบไฟฟ้าล้วน เหมาะมากในการใช้ความเร็วต่ำๆ เช่นการขับออกจากซอยบ้าน หรือขับชิวๆ พาคุณนาย ไปจ่ายตลาด คุณประหยัดน้ำมันไปได้พอสมควร ไม่ต้องมาสิ้นเปลืองยามขับความเร็วต่ำเช่นนี้ และเมื่อไฟฟ้าเหลือกำลังน้อยตามเงื่อนไข ระบบจะทำการตัดเข้าสู่โหมดไฮบริดปกติเองโดยอัตโนมัติ
ช่วงแรกของการขับขี่ยอมรับว่า ไม่ค่อยคุ้นชินกับรถประเภท Toyota Alphard มากนัก แม้จะผ่านมือ Toyota Vellfire ตอน Toyota พาไปหัวหินมาแล้วก็ตามที การขับรถราคา 3.8 ล้านที่มีขนาดใหญ่ระดับพระราชวังเคลื่อนที่ได้ เมื่อดูจากภายนอกย่อมทำให้คุณกระอักระอ่วนบ้างในช่วงแรก ด้วยความยาวตลอดคัน 4,915 มม. กว้าง 1,850 มม. และสูง 1,895 มม. มีระยะฐานล้อยาวถึง 3,000 มม.
เมื่อปรับตัวคุ้นเคยกับขนาดรถ การเคลื่อนไหวของรถยนต์คันนี้ที่ทำได้ดีกว่ารถเก๋งหลายๆรุ่น ด้วยการติดตั้งชุดพวงมาลัยไฟฟ้า ESP บนชุดบังคับทิศทางแบบแร็คแอนด์พิเนียน ช่วยให้ขนาดที่ดูเทอะทะกลายเป็นเรื่อง่ายสำหรับคุณ ยิ่งการออกแบบระยะยื่น (Overhang) ทางด้านหน้าสั้น เพียง 880 มม. ทำให้รถค่อนข้างคล่องตัวยามขับขี่ในเมือง
มิหนำซ้ำที่น่าแปลกใจคือระยะรัศมีวงเลี้ยวของ Toyota Alphard Hybrid ได้รับการออกแบบมาตอบสนองคนเมืองอย่างแท้จริง ด้วยระยะรัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.6 เมตร ( Toyota Alphard -Toyota Vellfire มีระยะวงเลี้ยวแคบสุด 5.8 เมตร ) ช่วยให้ความคล่องตัวขึ้นอย่างชัดเจน แถมระบบเบรกมือไฟฟ้าและระบบ Brake Hold ช่วยให้ง่ายต่อการขับขี่ แต่อาจจะต้องบอกโชเฟอร์ของคุณว่าพวกมันใช้งานอย่างสักหน่อย กรณีถ้าไม่ได้ขับเอง เพราะฟังชั่นแบบนี้ช่วยให้ผู้ขับผ่อนคลายได้มากทีเดียว
ขึ้นสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม ทางขึ้นสุดชันเป็นบททดสอบที่ดีสำหรับอัตราเร่งของ Toyota Alphard Hybrid เมื่อเหยียบคันเร่งลงไป ขุมพลังของรถคันนี้จะตอบสนองช้าเล็กน้อย ตามสไตล์เครื่องยนต์ทำงานแบบ Atkinson cycle จากนั้นเมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาผสานกำลังกัน รถจะพุ่งอย่างรวดเร็วพอๆกับรถสปอร์ตของโตโยต้า มันมากพอที่ทำให้ รถเก๋งคันหน้ามองกระจกหลัง แล้วเห็นตัวหรูพุ่งอย่างรวดเร็วเข้ามาหาจะตกใจจนหักหลบหนี...เลยทีเดียว
ชีวิตชิวในเมือง กับตัวหรู Toyota Alphard Hybrid ผมขับเจ้าร่างใหญ่ไปๆ มาๆ เพียง 72 กิโลเมตรเท่านั้น และ จัดการซดน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 คืนถังไปได้ 5.682 ลิตร สรุปอัตราประหยัดในเมืองได้ 12.671 กิโลเมตร/ลิตร เลยทีเดียว
เฉกเช่นรถทุกรุ่นที่ผ่านมือผม และทีมงาน Autodeft เจ้า Toyota Alphard Hybrid ต้องผ่านการทดสอบ Bonn test Mode
รูปแบบการทดสอบอัตราประหยัดขับในเมืองและนอกเมืองตามสภาวะการขับขี่จริง ทั้งในเมืองและนอกเมือง Toyota Alphard Hybrid เริ่มต้นความสุนทรีย์การเดินทาง ด้วยการแนะนำรู้จักกับความรู้สึกของระบบช่วงลางสัมผัสนุ่มสบาย
การเซทระบบกันสะเทือนแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลงทางด้านหน้า และ ดับเบิ้ลวิชโบนทางด้านหลัง เป็นแนวทางการวิศวกรรมลักษณะเดียวกับรถสปอร์ตหลายๆรุ่น ซึ่งเน้นเสถียรภาพในการทรงตัวสูงสุดยามขับขี่
แม้ว่า Toyota Alphard Hybrid อาจจะไม่ใช่รถยนต์ที่ต้องการตอบสนองเรืองสมรรถนะการขับขี่มากเท่าความสบาย หาก ช่วงล่างที่มั่นใจก็ช่วยให้เสริมความรู้สึกด้านความปลอดภัย ทั้งกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารคนสำคัญด้วยฟีลลิงช่วงล่างแบบแน่นหนึบแต่ก็ยังรู้สึกสบายในการขับขี่และการโดยสาร ไม่หวั่นถึงรถสูงใหญ่ ก็สามารถเข้าโค้งช่วงสะพานพระราม 8 ที่ความเร็ว 120 ก.ม./ช.ม. ได้ อย่างสบายๆ
Bonn Test Mode ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแวบเดียว เราก็จบการทดสอบเสียแล้ว และ น่าแปลกใจที่แม้จะเป็นรถยนต์ที่มีพิกัด 2,210 กิโลกรัม แต่กลับทำอัตราประหยัดเฉลี่ยได้ 12.11 กิโลเมตร/ลิตร
ปกติแล้ว..การทดสอบรถยนต์เรามักจะเน้นที่สมรรถนะในการขับขี่มุ่งการขับ แต่เอเถอะว่า เมื่อคุณมีโอกาสลอง Toyota Alphard แล้ว ไม่ว่าใครก็คงถวิลหาความสบายที่ในการโดยสารมากกว่า
หนึ่งวัน.กับการเป็นท่านชาย คงไม่บ่อยสำหรับชีวิตของคนฐานะปานกลางอย่างกระผม แต่วันต่อมาเมื่อนายเต้ยเปิดประตูรับผมขึ้นโดยสารทางตอนหลังในเจ้ารถยนต์ Toyota Alphard Hybrid ความอยากขับรถคันนี้ก็หายไปทันที
การออกแบบที่นั่งแบบ 2 ตอนทางด้านหลัง โดยเบาะนั่งแถวแรกตอนหลัง เป็นแบบ แยกนั่งอิสระตัวเดี่ยว 2 ที่นั่งปรับด้วยไฟฟ้า พร้อมที่รองขา และ โต๊ะพับกลาง รวมถึงยังมีระบบบริหารหลังไฟฟ้า Air Lumba Pro ช่วยเพิ่มความสบายในการโดยสาร ... ตัวเบาะออกแบบมาขนาดกำลังพอดี สัมผัสนั่งกำลังสบายพอดี ยิ่งเมื่อปรับท่านั่งเหมาะสม อย่าแปลกใจที่คุณจะเผลอหลับไปได้ง่ายๆ เหมะยิ่งสำหรับผู้บริหารทั้งหลาย แถมมีโต๊ะกลางใช้วางของได้ แต่ ช่องแก้วน้ำของโต๊ะกลางไม่ได้ใหญ่มากมาย พอวางแก้วน้ำขนาดใหญ่ระดับ บิ๊กกัลฟ์
เบาะนั่งแถว 3 เป็นเบาะนั่งแบบ 3 ที่นั่ง สัมผัสลองดูสั้นๆ มันนั่งสบายเช่นกัน ตัวเบาะเองสามารถพับเบาะขึ้นแขวนทางด้านข้างหากคุณต้องใช้รถเพื่อความอเนกประสงค์ในกิจกรรมอันหลากหลาย
กลับมานั่งสัมผัสตำแหน่ง VIP ต้องยอมรับว่า เจ้า Toyota Alphard Hybrid มีดีสมราคาคำล่ำลือนั่งที่สบาย เมื่อเอนหลังแหงนมองเพดาน คุณจะรู้สึกถึงความหรูหรา ยามกลางวันอาจจะมีลูกเล่นไม่มากมายนัก ทว่าเสียงเพลงจากเครื่องเสียงพร้อมลำโพง 8 จุดในห้องโดยสาร ดีพอจะขับกล่อมระหว่างการเดินทาง
น่าแปลกที่รถสำหรับผู้บริหารแบบนี้ กลับติดชุดไฟ LED สามารถเปลี่ยนสีได้หลากหลาย อารมณ์คล้ายไฟเลาจน์ ..ถึงมันอาจะดูดีในสายตา แต่บางครั้งบางอารมณ์สีไฟก็ดูสลิ่มเกินไปหน่อย .... ยังดีที่หลังคามูนรูฟแบบ 2 ตอน เพิ่มความรู้สึกดูดี คุณอยากออกไปรับลมเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ สัมผัสถึงความสบายในการทดสอบรถหรูเช่นนี้ มีได้ไม่บ่อยนัก และคุณกลับหามันได้จากแบรนด์รถยนต์ Toyota
สรุป .... Toyota Alphard Hybrid ประหยัด นั่งสบาย ...ขอเพิ่มเรื่องความปลอดภัย
ตลอดหลายวันที่ผมมาใช้ชีวิตกับรถยนต์ Toyota Alphard Hybrid เจ้าหมูไฟฟ้าคันนี้พิสูจน์ตัวเองเรื่องความสบายในการโยสาร และความง่ายดายในการขับขี่ โดยเฉพาะการใช้งานรถยนต์ในเมือง ซึ่งระบบเครื่องยนต์ไฮบริดออกแบบมาให้ตอบสนองได้ดีกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป
ทว่าเมื่อคุณเอาเจ้ารถยนต์ Toyota Alphard Hybrid ขับออกนอกเมือง เรื่องราวจะกลับตาลปัตร เจ้าหมูไฟฟ้าคันนี้อาจจะยังตอบสนองเรื่องสมรรถนะการขับขี่ได้ดี แต่ความประหยัดนั้น จะทำได้ไม่ดีเท่าในเมือง จากการขับขี่ไปยังปลายทางปราณบุรี ด้วยความเร็ว 120-130 ก.ม./ช.ม. เราได้อัตราประหยัดเพียง 10.1 ก.ม./ช.ม.เท่านั้น และมันยังขับได้ยอดเยี่ยมมั่นใจ และ นั่งสบาย จนผู้โดยสารไปเข้าเพระอินทร์อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี น่าแปลกใจที่แม้รถยนต์ Toyota Alphard จะถูกวางให้เป็นรถสำหรับผู้บริหาร มันหรูหราและปลอดภัย ดั่งในรุ่นแรก แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไประบบ Active Safety เริ่มแนะนำในรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมลมหรูมากขึ้น หากเจ้า Toyota Alphard Hybrid กลับขาดความปลอดภัยช่วยเหลือเบื้องต้นเหล่านี้ไปอย่าน่าเสียดาย
จริงอยู่ที่ Toyota ยัดระบบความปลอดภัยพื้นฐานมาครบเซท ไม่ว่าจะระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบเบรกป้องกันล้อล๊อก ,ระบบกระจายแรงเบรก,ระบบเสริมแรงเบรก หรือป้องกันการลื่นไถล แต่ก็น่าแปลกใจที่มันไม่มีระบบป้องกันภัยระดับสูง เช่นระบบป้องกันการชนทางด้านหน้า , ระบบเตือนการหลุดเลน หรือราคาระดับนี้ก็น่าจะมีระบบช่วยเหลือในการขับขี่มากกว่า เช่นระบบ กล้องมองรอบคัน หรือ ระบบ Adaptive Cruise Control ซึ่งไม่น่าใช่ปัญหาสำหรับรถราคาระดับ 3.8 ล้านบาท
ในภาพรวมเจ้า Toyota Alphard Hybrid คือที่สุดอัครรถยนต์นั่งสำหรับผู้บริหา มันประหยัดพอตัวเมื่อคุณใช้ในเมือง เมื่อนับในความเป็นรถยนต์นั่งสุดหรูเปี่ยมด้วยที่สุดความสบายในการโดยสาร ทว่าน่าแปลกที่ Toyota กลับลืมรากเหง้าแท้จริงของรถรุ่นนี้ ซึ่งมันต้องพรั่งพร้อมด้วยความปลอดภัยในการโดยสาร แม้จะมีระบบพื้นฐานความปลอดภัยมาให้ แต่ดลกวันนี้หมุนไปอย่างรวดเร็ว และระบบความปลอดภัย Active Safety เป็นสิ่งที่จำเป็นในการใช้งานเช่นกัน
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com
เรื่อง โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ติดตามผู้สื่อข่าวและนักทดสอบรถยนต์ นาย ณัฐยศ ชูบรรจง ได้ที่ Facebook หรือ ทาง Fan page ,Twiter (@nattayodc), Blog ส่วนตัว
สิ่งที่ชอบ >>> ความหรูหรา และความประหยัดในการขับขี่ รวมถึงความคล่องตัว โดยเฉพาะการใช้งานรถในเมือง
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> เบาะนั่งตอนสามแบบแขวนข้าง เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ตอลดจน รถคันนี้ยังขาดพวกระบบ active Safety ซึ่งราคาระดับเดียวกัน คุณสามารถหาได้จากรถยุโรป
สิ่งที่อยากให้มี >>> ระบบ Active Safety ควรจะมีมีมาให้
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ >>> นี่คือรถยนต์หรู สำหรับการขับขี่ในเมือง มันเหมาะมากที่คุณจะบอกสิ่งที่คุณเป็น และได้ความสบายยามเดินทางไปประชุมกับบอร์ดบริหาร แน่นอน มันไม่ใช่รถที่คุณเหมาะจะขับเอง แต่ก็ขับได้ถ้าต้องการ หากในราคาระดับเดียวกันนี้ สำหรับคันนี้เรามองว่ามันยังขาดพวกระบบ Active Safety มาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งควรมีมากกว่านี้อีก