Test Drive : ทดลองขับ New Ford Everest ปี 2018 อเนกประสงค์ขุมกำลังเทอร์โบคู่ และเกียร์ใหม่ 10 สปีด พร้อมความนุ่มสบายตลอดเส้นทาง
- โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
- 14 ต.ค. 61 00:00
- 9,417 อ่าน
รถยนต์อเนกประสงค์ในบ้านเรานับเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีการแข่งขันไม่น้อย ต่างค่ายรถยนต์ในประเทศไทยมากมายเข้ามาร่วมวง ส่งรถยนต์จากค่ายมาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดในรถยนต์กลุ่มนี้ และหนึ่งในนั้นกับ New Ford Everest ปี 2018 รถยนต์อเนกประสงค์ใหม่ล่าสุดจากค่ายฟอร์ด ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของรูปลักษณ์และเทคโนโลยี นับตั้งแต่เผยโฉมออกมาจนได้รับการปรับโฉมและติดตั้งเครื่องยนต์และเกียร์ใหม่ 10 สปีด เมื่อไม่นานนี่
ล่าสุดทางทีมงานได้รับเชิญจากทาง ฟอร์ด ประเทศไทย ให้ได้สัมผัสการขับขี่กับ New Ford Everest ปี 2018 บนเส้นทาง กรุงเทพมหานคร สู่ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยภาพรวมของการขับขี่ทดสอบในครั้งนี้ เสมือนการขับขี่ในเชิงท่องเที่ยวสไตล์แบบครอบครัว ที่เน้นการโดยสารทั้งตอนหน้าและตอนหลัง สัมผัสความสะดวกสบายในหลากที่นั่ง การบรรทุกสัมภาระ และทดสอบเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ (Bi-turbo Diesel Engine ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลัง 180 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร ซึ่งทั้งคู่มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด และในรุ่นบนกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ (Terrain Management System i4WD) ที่สามารถปรับโหมดการใช้งานได้ง่ายดาย
แรกเห็นกับรูปลักษณ์ภายนอก New Ford Everest ปี 2018 มากับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟหน้าแบบ HID ที่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไฟ LED Daytime และกันชนหน้าใหม่พร้อมการ์ดเสริม ล้ออัลลอยลายใหม่ 6 ก้านคู่สีเงินสไตล์หรู ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/50 R20 ในรุ่น Titanium+ และล้อขนาด 18 นิ้ว ในรุ่น Titanium และรุ่นเริ่มต้นมากับล้อขนาด 17 นิ้ว 6 ก้าน พร้อมยาง 265/65 R17 ในรุ่น Trend ส่วนของอุปกรณ์อำนวยความสะดวกยังครบครันด้วยระบบประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนฟรี เพียงยื่นเท้าไปที่ใต้กันชนท้าย ประตูท้ายจะเปิดโดยอัตโนมัติ หรือจะสั่งการผ่านกุญแจรีโมทโดยการกด 2 ครั้งก็สามารถ
เริ่มต้นออกเดินทางจากอิมแพคเมืองทองธานี ทีมงานได้ทดสอบการขับขี่กับ New Ford Everest ปี 2018 รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลัง 180 แรงม้า หรือที่เรียกกันว่าเทอร์โบเดี่ยว การขับขี่ตั้งแต่ในช่วงเมือง ทางด่วน และเส้นทางออกนอกเมือง พวงมาลัยพาวเวอร์แบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้ามาพร้อมน้ำหนักที่เบากำลังดีในแต่ละย่านความเร็ว สามารถควบคุมทิศทางได้อย่างแม่นยำ และในส่วนของการขับขี่บนเส้นทางออกนอกเมือง ส่วนของพวงมาลัยก็มีระยะฟรีอยู่เล็กน้อยช่วยให้เราไม่เหนื่อยล้าจากการต้องคอยประคองพวงมาลัยมากนัก และอีกสิ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนกับช่วงล่างที่ให้ความรู้สึกเน้นไปทางนุ่มนวล ซึ่งน่าจะได้รับการปรับเซ็ทมาเอาใจผู้ใหญ่เพื่อการเดินทางที่เน้นความสบายเป็นหลัก แต่ก็จะแอบมีอาการย้วยอยู่เล็กน้อย สำหรับใครที่ชื่นชอบการขับขี่และใช้ความเร็ว
ในส่วนของพละกำลังไม่ว่าจะเป็นจังหวะการทำความเร็ว เร่งแซง และขับขี่เดินทางไกล เครื่องยนต์เทอร์โบเดี่ยวก็ให้การตอบสนองที่เพียงพอ การไต่ความเร็วสามารถทำได้แบบสบาย และอาจทำให้เผลอทำความเร็วสูงได้แบบไม่รู้ตัวได้เลย บวกกับการเซ็ตช่วงล่างที่เน้นทางนุ่มแต่ยังให้ความมั่นใจได้ในการขับขี่ ก็ไม่แปลกที่จะเผลอทำความเร็วขึ้นไป และระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 10 สปีดใหม่ ให้ความรู้สึกการเปลี่ยนเกียร์ที่เนียนต่อเนื่องในแบบรถเกียร์ CVT ซึ่งการจะจับว่าเกียร์ได้เปลี่ยนไปแล้วหรือกำลังขับอยู่ในช่วงเกียร์ใดนั้นแทบไม่อาจรู้ได้ แต่เมื่อเราขับขี่ในโหมด D ปกติ เราสามารถที่จะกดปุ่ม + หรือ – ที่หัวเกียร์ เพื่อให้หน้าจอแสดงตำแหน่งของเกียร์ และอีกหนึ่งความสามารถก็คือการกำหนดจำนวนเกียร์ที่เราต้องการ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเราขับขี่ในช่วงขึ้นเขาลงเขา เราต้องการที่จะใช้กำลังจากเครื่องยนต์ นั่นเองเราสามารถที่จะกำหนดจำนวนเกียร์ไว้เพียง 4 เกียร์ เพื่อเป็นการบังคับไม่ให้ระบบเกียร์เปลี่ยนขึ้นไปสูงกว่านี้ได้ ซึ่งสามารถปรับลดลงมาได้เหลือเพียงที่เกียร์ 1 และการกดยกเลิกการจำกัดจำนวนเกียร์ก็เพียงกดปุ่ม + ที่หัวเกียร์ค้างไว้ประมาณ 2 วินาที
ทั้งนี้ New Ford Everest ปี 2018 ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยมากมายที่จะคอยช่วยเหลือในการขับขี่ของเราให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
• ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control)
• ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System)
• ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)
• ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System)
• ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control)
• ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist)
• ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS – Blind Spot Information System) ที่มาพร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert)
• กล้องมองหลังขณะถอยจอดและสัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า (Rear View Camera and Sensors)
ทั้งหมดนี้ถูกติดตั้งเข้ามาอยู่ในรถอเนกประสงค์มาดหล่อนี้ทั้งหมด ซึ่งสำหรับใครที่อาจไม่คุ้นเคยกับรถที่มีระบบมากมายเช่นนี้ ในช่วงแรกนั้นต้องอาศัยการศึกษาข้อมูล ทำความเข้าใจ และเคยชินกันอยู่เล็กน้อย รวมไปถึงการตั้งค่าต่างๆ กับระบบที่ถูกติดตั้งเข้ามา ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณอาจกดผิดกดถูก หรือตั้งค่าระบบต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้อย่างใจคิด
หลังจากที่ขับมาเกือบ 200 กิโลเมตรและจอดแวะรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อสู่อำเภอเขาค้อ ทีมงานได้เปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสารกันบ้าง ต้องขอบอกเลยว่าการปรับเบาะด้วยระบบไฟฟ้านั้นสะดวกสบาย และสามารถนั่งโดยสารได้ในท่าทีสบายเลยทีเดียว บวกกับช่วงล่างที่ค่อนข้างนุ่ม การเผลอหลับไปนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย ด้านระบบความบันเทิงและการเชื่อมต่อ ด้วยระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) เวอร์ชั่นล่าสุด สามารถจดจำเสียงและสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทยได้ สั่งการการโทรออก ฟังเพลง หรือเรียกใช้เมนูอื่นๆ ได้ โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน รวมทั้งรองรับ Apple Carplay และ Android Auto พร้อมเชื่อมต่อบลูทูธ จอแบบทัชสกรีนที่ลื่นไหลใช้ได้ ขนาด 8.0 นิ้ว กล้องมองหลัง รวมไปถึงระบบแผนที่นำทางโดยใช้สัญญาณจากดาวเทียม ที่ติดตั้งมาให้ได้ใช้งานกันได้เลย
ไม่นานเราก็มาถึงยังอำเภอเขาค้อ ผ่านเส้นทางขึ้นเขาที่มีลักษณะเป็นทางโค้งซ้ายขวาสลับกันไปมา ความรู้สึกจากการเป็นผู้โดยสารให้ความรู้สึกที่มั่นใจ แม้มีการใช้ความเร็วในบางช่วง หรือแม้ในช่วงของการเร่งแซงบนทางชัน ก็พร้อมพาสู่จุดหมายได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
เช้าวันใหม่พร้อมออกเดินทางสัมผัส New Ford Everest ปี 2018 กันอีกรุ่น วันนี้ทีมงานจะได้สัมผัสกับขุมพลังเทอร์โบคู่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ ที่พกพาแรงม้าสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที โดยเครื่องยนต์นี้มีเทอร์โบ 2 ตัว เทอร์โบแรงดันสูง HP ขนาดเล็ก ที่จะเป็นแบบแปรผัน และเทอร์โบแรงดันต่ำ LP ขนาดใหญ่อยู่ด้านล่าง ซึ่งเทอร์โบทั้ง 2 ตัวนี้จะแบ่งช่วงการทำงาน โดยตั้งแต่เริ่มออกตัว จนไปถึงรอบเครื่องยนต์ 1,800 รอบ/นาที เทอร์โบ HP ขนาดเล็ก ก็จะทำงาน และตั้งแต่ช่วง 1,800 – 3,000 รอบ/นาที เทอร์โบทั้งสองลูกก็จะช่วยกันทำงาน จนตั้งแต่ 3,000 รอบ/นาที ขึ้นไป ก็จะเป็นหน้าที่ของเทอร์โบแรงดันต่ำ LP เพื่อตอบสนองการขับขี่ได้ตั้งแต่รอบต่ำไปจนรอบสูง
โดยจุดหมายแรกมุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง เส้นทางกว่า 10 กิโลเมตร ก่อนถึงยังจุดหมาย เป็นเส้นทางแบบออฟโรด ซึ่งในสภาพเส้นทางที่แห้งนั้นอเนกประสงค์แบบขับสองสามารถขับขี่ผ่านได้ แต่ต้องเลือกไลน์กันเล็กน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการติดของล้อ ใช้เวลาอยู่พักใหญ่คณะเดินทาง New Ford Everest ใหม่ ก็ลัดเลาะเส้นทางธรรมชาติไปยังอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงเป็นที่เรียบร้อยปลอดภัย และเมื่อพูดถึงระบบขับสี่ที่มีมาให้เลือกกับระบบ Terrain Management System (TMS) มีโหมดตั้งค่าการขับขี่ 4 แบบ ได้แก่ 1. พื้นผิวทั่วไป (Normal) 2. พื้นหิมะ/โคลน/หญ้า (Snow/Mud/Grass) 3. พื้นทราย (Sand) และ 4. พื้นหินขรุขระ (Rock) ซึ่งแต่ละโหมดจะปรับเปลี่ยนการตั้งค่า ทั้งอัตราเร่ง ระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และระบบควบคุมการเกาะถนน และยังสามารถเลือกปรับโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อที่อัตราทดรอบต่ำ (4x4 Low) ได้อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อการควบคุมรถได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
ซึ่งในช่วงของเส้นทางขาออกมานั้น ค่อนข้างที่จะเป็นทางลาดชันขาลงเป็นส่วนใหญ่ ระบบ Hill Descent Control ก็เข้ามาช่วยควบคุมความเร็วของตัวรถ ช่วยให้การลงทางลาดชันของเราปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องเลียเบรกตลอดเวลา ซึ่งหากรู้สึกว่าตัวรถลงเร็วเกินไปก็เพียงเบรกชะลอและปล่อย ระบบก็จะทำหน้าที่อัตโนมัติในการควบคุมความเร็วให้เหมาะสม สามารถเปิดปิดการทำงานได้อย่างง่ายดายที่บริเวณกลางปุ่มควบคุม Terrain Management System นั้นเอง
และเมื่อพูดถึงการขับขี่เครื่องยนต์เทอร์โบคู่บนถนนดำ อัตราเร่งการตอบสนองให้ความรู้สึกที่คล่องตัวกว่ารุ่นเทอร์โบเดี่ยว ตั้งแต่การออกตัว รวมไปถึงการเร่งแซง หากถามว่าในรุ่นของเทอร์โบเดี่ยวเพียงพอต่อการใช้งานในการขับขี่นอกเมือง และเร่งแซงไหม ต้องตอบเลยว่าเพียงพอ หากคุณไม่ได้เป็นคนที่รีบร้อน ขับขี่ใช้รถที่ความเร็วทั่วไปปกติ รุ่นเทอร์โบเดี่ยวก็สามารถตอบสนองคุณได้อย่างเหลือเฟือ หากแต่ว่าคุณต้องการการขับขี่ที่คล่องตัวและว่องไวกว่าแล้ว ในรุ่นเทอร์โบคู่นั้นก็เป็นอะไรที่จะตอบสนองคุณได้ดีกว่า และเมื่อได้ลองขับ New Ford Everest ใหม่ รุ่นไทเทเนี่ยม พลัส เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ กลับมีความรู้สึกที่แตกต่างกับรุ่นเทอร์โบเดี่ยว ไทเทเนี่ยม พลัส ในเรื่องของช่วงล่างอยู่เล็กน้อย โดยในรุ่นไทเทเนี่ยม พลัส ไบเทอร์โบ ที่มาพร้อมระบบขับสี่นั้น ให้ความรู้สึกของช่วงล่างที่หนึบและมั่นใจกว่า แต่ยังคงเน้นการปรับเซ็ตในทางนุ่ม แต่เรื่องของอาการย้วยนั้นน้อยกว่ารุ่นขับสองอย่างพอรู้สึกได้ อาจเป็นเพราะเรื่องของน้ำหนักที่แตกต่างกัน รวมไปถึงการปรับเซ็ตที่แตกต่างกันเล็กน้อยด้วยนั้นเอง
ยังไม่หมดกับระบบตัวช่วยต่างๆ ที่ทางฟอร์ดได้ติดตั้งมากับระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถมาให้ เพื่อการหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง อีกทั้งยังมีระบบตรวจจับลมยางที่จะแสดงผลเป็นตัวเลขแยกอิสระทั้งสี่ล้อแบบตลอดเวลาอีกด้วย
ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้สัมผัสและทดลองขับรถยนต์อเนกประสงค์เครื่องยนต์ใหม่และเกียร์ใหม่ New Ford Everest ปี 2018 ประสบการณ์ที่ได้นั้นประทับใจไม่น้อย ทั้งความสะดวกสบายในการขับขี่และโดยสาร อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย และที่สำคัญกับขุมกำลังเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกที่พร้อมตอบสนองการขับขี่ได้ทันใจ รวมไปถึงระบบเกียร์ 10 สปีดใหม่ ที่ติดตั้งมาให้ก็ถือประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างจากเดิม นับเป็นอเนกประสงค์อีกหนึ่งรุ่นที่อยากชวนให้มาลองสัมผัสด้วยตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจเลือกอเนกประสงค์สักคันมาไว้ครอบครอง...
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com