Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium วัยรุ่น สุดหรู สู้ไม่ถอย
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 19 เม.ย. 62 00:00
- 38,695 อ่าน
ภาพติดสมองตั้งแต่สมัยวัยเด็กต่อแบรนด์ดาวสามแฉกแดนเมืองเบียร์อย่าง Mercedes-Benz ของผมนั้น ก็คือรถยนต์ตัวแพง สุดหรู ใหญ่โตโอโถง และที่สำคัญก็คือ มันเหมาะสำหรับผู้ใหญ่วัยดึกเท่านั้น อาจจะด้วยเรื่องการออกแบบ ราคา หรือคนรอบข้างที่ขับเบนซ์ ก็ล้วนเป็นวัยรุ่นพ่อหรือแก่กว่าอยู่ตลอด มันฝังอยู่ในเซเรบรัมลึกสุดในสมองเลย
แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป สมองสั่งการส่วนลึกก็เริ่มเปลี่ยนไป ยิ่งช่วงหลังที่เริ่มได้จับงานการทดสอบรถยนต์เยอะ ๆ ยิ่งเห็นได้เลยว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ มันไม่ได้เป็นยี่ห้อรถยนต์ที่เหมาะเฉพาะกับวัยดึกเสมอไป เพราะมีหลายรุ่นที่วัยรุ่นอย่างเรา (เหรอ) ก็สามารถขับแล้วเข้ากับวัยเราได้ และ Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium ก็คือหนึ่งในนั้น
จังหวะดีของผมที่ได้รับความอนุเคราะห์จาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จํากัด ที่มอบโอกาสอันสุด Exclusive ให้ยืมรถ สปอร์ตซีดานแสนหล่อ (หรือที่ทางค่ายเรียกว่า Coupe) มาให้ลองทดลองขับ รีวิว กัน (ขอบพระคุณอย่างสูงคร้าบ) งานนี้ต้องลองมาทดสอบรถดูกันว่า ตัวรถจะสามารถตอบสนองการใช้งานของวัยรุ่นได้จริงหรือเปล่า หรือจะยังคงความภูมิฐานเอาไว้เหมือนเดิม
ก่อนที่จะขึ้นขับ เราก็ต้องมารับรู้กันเรื่องของข้อมูลตัวรถกันก่อน โดย Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium คันนี้ เป็นตัวประกอบในประเทศแล้ว ทำให้ราคานั้นถูกลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดจากเดิตัวนำเข้ามีค่าตัวที่ 4,980,000 บาท แต่ตัวรุ่นใหม่ประกอบในประเทศ เหลือเพียง 4,390,000 บาทเท่านั้น ต่างกันเกือบ 5 แสนบาท ทำให้ตอนนี้กลายเป็นรถที่สามารถเอื้อมถึงได้ง่ายมากขึ้น และแน่นอนว่าวัยรุ่นที่มีเงินเก็บ หรือมี Backup จากทางบ้านดี ก็สามารถยื่นใบเสนอราคาเพื่ออนุมัติในการจัดซื้อได้ง่ายขึ้น การออกแบบของตัวรถนั้น สัดส่วนของด้านหน้ายาว, ท้ายสั้น ออกมาในแนวทางเดียวกันกับ BMW Z4 หรือ Toyota Supra ซึ่งภายใต้ฝากระโปรงนั้น มันก็แน่นไปด้วยเครื่องยนต์และเครื่องครันอย่างเต็มพื้นที่ ไม่ได้โล่งโหวงเหวงแต่อย่างใด ส่วนท้ายสั้นนั้น พื้นที่ในการเก็บสัมภาระก็ไม่ได้เล็กมากแต่อย่างใด มีการออกแบบให้วางของในแนวลึกมากพอตัว แต่อาจจะติดขัดในเรื่องความสูงบ้าง แต่ถ้าวัยรุ่นเลือกที่จะใช้งาน ก็คงไม่ได้ขนของอะไรใหญ่โตเวอร์วังอลังการเกินไปมั้ง น่าจะเพียงพอต่อการเก็บของแหล่ะ แม้กระทั่งถุงไม้กอล์ฟก็สามารถนอนวางได้อย่างไม่ลำบากอะไร
การออกแบบของตัวรถ Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium ถูกลบเหลี่ยมออกไปเกือบหมด ถ้ามองจากด้านข้างแล้ว ไล่ตั้งแต่จมูกหน้ารถไปจนถึงท้าย จะเห็นความโค้งมนอย่างสวยงาม จินตนาการถึงการไหลของลมที่ปะทะตั้งแต่ด้านหน้า แล้วไหลผ่านหลังคา ก่อนที่จะไหลหลุดไปด้านท้ายปลายรถ การออกแบบด้านหน้านั้นทำให้มองเหมือนว่ารถมีความแหลมประดุจจรวด พร้อมที่จะพุ่งออกไปข้างหน้าได้อย่างเต็มที่เมื่อสั่งการ กระจังหน้าเป็นลายตาข่ายทรงโค้ง ล้อไปกับตราดาวสามแฉกในวงกลม ทำให้ดูกลมกลืนแต่แฝงไปด้วยความหรูหรา และเพิ่มช่องตาข่ายด้านล่าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับลมที่ปะทะด้านหน้าให้ดีขึ้น ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ที่มีทั้งไฟใหญ่และไฟ Daytime Running Light ในโคมเดียวกัน ประกอบด้วยไฟ LED รวม 84 ดวงในกรอบไฟหน้าแต่ละข้าง รวมทั้งในเส้นไฟ Daytime Running Light ที่รูปทรงคล้ายลูกศรนั้น สามรถเปลี่ยนเป็นสีอำพัน ใช้งานเป็นไฟเลี้ยวได้ในแถวเดียวกัน แอบเสียดายนิดตรงที่ถ้าเพิ่มไฟตัดหมอกเข้ามาที่ชายกันชนด้านหน้าสักหน่อย คงจะเพิ่มความเท่ห์ได้อีกไม่น้อยเลย ตัวไฟหน้าสามารถหันได้ตามการหันของพวงมาลัย มีระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวแบบ LED ติดอยู่ และเพิ่มความพรีเมี่ยมเข้าไปด้วยการใส่ระบบตัดแสงอัตโนมัติไปที่กระจกมองข้างด้วย
Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium มีด้านท้ายที่ไม่ใหญ่มาก ตัวโคมไฟท้ายก็เป็นแบบไฟ LED เช่นกัน เป็นไฟก้อนที่ติดกับทั้งตัวรถและฝากระโปรงท้าย มีตราดาวสามแฉกอยู่ตรงกลาง ที่ทำหน้าที่ทั้งบ่งบอกถึงความหรูหราในความเป็นเบนซ์, เป็นที่เปิดฝากระโปรงท้าย และเป็นที่ซ่อนของกล้องมองหลัง ที่เมื่อเราใส่เกียร์ถอยหลังเมื่อไหร่ ตัวตราก็จะยกออกมา เพื่อให้กล้องสามารถมองเห็นด้านท้ายได้อย่างชัดเจนนั่นเอง ชายด้านล่างของกันชนหลังเป็นตำแหน่งของท่อไอเสียอลูมิเนียม 2 ท่อสไตล์สปอร์ต เพื่อความหล่อให้กับรถได้มากขึ้น ล้อที่ให้มาในรถสปอร์ตซีดาน Coupe รุ่นนี้ เป็นล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่เป็นรูปเหมือนดาว ขนาด 19 นิ้ว ยางด้านหน้าและด้านหลังใช้ขนาดไม่เท่ากันเพื่อรองรับด้าน Performance โดยด้านหน้าเป็นขนาด 245/40 R19 ส่วนด้านหลังเป็นขนาด 275/35 R19 ทั้ง 4 ล้อเป็นยางแบบ Run - flat tyres ที่สามารถวิ่งได้โดยลมยางไม่มี
ข้างในนั้นต้องบอกเลยว่า Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium ทำออกมาได้หรูหรามาก แต่ก็ยังเป็นการออกแบบให้เหมาะกับวัยรุ่นได้อย่างมาก เบาะนั้นเป็นหนังอย่างดี เบาะคู่หน้าเป็นสไตล์ Bucket Seat ที่โอบอุ้มตัวคนขับและคนนั่งให้กระชับ ปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมจดจำตำแหน่งการนั่งได้ 3 ตำแหน่ง แผงคอนโซลออกแบบไว้ได้อย่างเรียบหรู ตัวปุ่มไม่ได้มีมากมายเกินความจำเป็น ตัวช่องแอร์เป็นทรงกลมแบบท่อ Jet ตามรูปแบบของเบนซ์ ตัวแผงด้านบนหุ้มด้วยหนังแท้ ส่วนแผงที่ไล่ลงมาเป็นลายไม้ดูหรูหรา ตัดขอบด้วย Ambient Light ที่สามารถเลือกสีได้เองตามใจชอบ 64 สี ระบบปรับอากาศเป็นแบบแยกโซนซ้าย-ขวา
ตรงกลางคอนโซลมีหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว แต่ไม่ได้เป็นระบบสัมผัส รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ Apple CarPlay และ Android Auto ที่จริง ๆ แล้วมีระบบนำทาง แต่ว่าในตัวทดสอบนี้ไม่ได้ใส่เอามาไว้ให้ด้วย แต่เอาเข้าจริง เชื่อมต่อโทรศัพท์แล้วใช้งาน Google Maps ส่งขึ้นหน้าจอ สะดวกกว่าเยอะ ส่วนการควบคุมนั้น ควบคุมได้ผ่านทางปุ่มคอนโทรลตรงกลางระหว่างคนขับกับคนนั่ง, Touchpad และปุ่ม Multi-Function บนพวงมาลัย ส่วนพวงมาลัยนั้นเป็นแบบมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ต 3 ก้านท้ายตัด หุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบ Touch Control ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า แบบปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ ใต้แผงคอนโซล มีช่องเอาไว้วางโทรศัพท์พร้อมชาร์จไฟในแบบไร้สายได้ พร้อมรองรับการโอนข้อมูลแบบ NFC มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่อยู่ตรงกลาง ทำให้สามารถเลือกเปลี่ยนได้อย่างง่ายดาย หลังคามี Sunroof เพื่อเอาไว้รับแดดรับลมได้เลย (ร้อนจะตาย ใครจะเปิด) มีหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ Digital widescreen cockpit ที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลการแสดงผลไปตามโหมดการขับขี่
ส่วนตัวเครื่องยนต์ของ Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium นั้น เป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบเรียง เทอร์โบคู่ ให้พละกำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ตามสไตล์เครื่องยนต์ดีเซล ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G - TRONIC) พร้อม Paddle Shift เปลี่ยนเกียร์ได้ที่พวงมาลัย ขับเคลื่อนล้อหลัง โดยมีการเคลมเอาไว้ในสเปกว่า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 6.4 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น ต้องใส่มาเต็มแน่นอน ไม่อย่างนั้นเสียชื่อเมอร์เซเดส-เบนซ์หมด ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัย 9 ลูก, ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® system ที่เป็นเอกสิทธิ์ของ Mercedes-Benz, โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติESP® (Electronic Stability Program), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีASR (Acceleration skid control), ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill - Start Assist, ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (Active Brake Assist), ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Active Distance Assist DISTRONIC), ระบบรักษาระดับความเร็ว (Cruise control) และระบบจํากัดความเร็ว (SPEEDTRONIC) รวมทั้งระบบมาตรฐานอย่างระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti - lock braking system) ด้วย
ข้อมูลเบื้องต้น ก็พอจะรู้กันไปหมดแล้ว ถึงเวลาของการเริ่มขับขี่ทดลองขับกันได้แล้ว ต้องบอกก่อนว่า ใน Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium คันนี้ จะมีโหมดในการขับขี่ทั้งหมด 4 โหมด คือ Eco, Comfort, Sport และ Sport+ ซึ่งจะให้อารมณ์ในการขับขี่ที่แตกต่างกันไป เริ่มต้นที่โหมด Eco ที่เน้นเรื่องความประหยัดเป็นสำคัญ ระบบจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้ทำงานแบบประหยัด, พวงมาลัยและ ESP หรือระบบควบคุมการทรงตัวอยู่ในระดับสบาย ดังนั้น การใช้งานในโหมดนี้ การออกตัวจะไม่กระโชกโฮกฮาก ออกตัวแบบชิว ๆ เครื่องยนต์ค่อย ๆ ทำงานไปอย่างเรียบร้อย ออกตัวนิ่ม พวงมาลัยเบา และระบบการทรงตัวจะปรับให้ทำงานเร็วกว่าปกติ เพื่อให้ทุกโค้งนั้นนุ่มนวลอย่างเต็มที่ แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าใช้โหมดนี้แล้ว จะทำให้คุณไม่สามารถเร่งแบบพุุ่งพรวดได้นะ แค่กดคันเร่งให้เกียร์ Click Down รถก็พุ่งตัวออกไปแบบเร็วได้แล้ว เพียงแต่มันไม่ได้พรวดพราดแบบโหมดอื่นเท่านั้นเอง
ส่วนโหมด Comfort นั้น ก็จะเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ให้มาอยู่ในระดับกลาง ๆ ออกตัวได้ดีขึ้น คันเร่งตอบสนองเท้าของเราได้ดีขึ้น ส่วนการควบคุมพวงมาลัยและการทรงตัวก็ยังเหมือนในระบบ ECO แต่พอมาปรับเป็นโหมด Sport ปั๊บ คราวนี้แหล่ะครับ ที่จะเริ่มเห็นกการเปลี่ยนแปลงได้ชัดขึ้น เพราะเครื่องยนต์จะเริ่มเร่งรอบให้สูงมากขึ้น พวงมาลัยก็จะหนักมากขึ้น เพื่อการควบคุมที่ดีมากขึ้นในช่วงความเร็วสูง ระบบการควบคุมการทรงตัวก็จะทำงานให้ตอบสนองที่ความเร็วสูงดีขึ้น แต่ความมันสุด ต้องที่โหมด Sport+ เลยครับ เพราะเครื่องยนต์และระบบ ESP จะถูกปรับให้สุด แค่แตะเท้าลงไปที่คันเร่ง รถก็แทบจะพุ่งตัวออกไปข้างหน้าอย่างดุดันแล้ว (เราจะไม่พูดกันถึงอัตราการกินน้ำมันนะ ถ้ารักความแรง เราต้องไม่พูดถึงมัน) แต่พวงมาลัยนั้น จะมีความหนืดในระดับเดียวกันกับโหมด Sport เลยครับ
รอบนี้ผมใช้สลับกันไปทั้ง 4 โหมดครับ แต่จะเน้นที่โหมด ECO กับ Sport+ เยอะหน่อย โดยช่วงที่รถติด รถหนาแน่น ก็จะใช้โหมด ECO และเมื่อรถโล่งเมื่อไหร่ ก็จะเข้าสู่โหมดโหดอย่าง Sport+ ทันที ช่วงขับขี่ในเมืองโดยการใช้ ECO นั้น มันช่างสุภาพเรียบร้อยเหลือเกินครับ รถไหลออกตัวไปอย่างช้า ๆ แตะคันเร่งไปแล้ว รถก็ยังไม่ได้พุ่งออกไปเลย จะออกตัวอย่างช้า ๆ แบบคนนั่งข้างหลังแทบไม่รู้ตัวว่ารถกำลังไหลอยู่ แต่ในช่วงรถโล่งนี่ ถ้าไม่กดคันเร่งแบบแรงเกินไป รถจะวิ่งไปอย่างสุภาพ ไหลไต่ความเร็วไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่หยุดพัก เผลอแปปเดียวก็ขึ้นไปที่ความเร็วสูงระดับ 160 กม./ชม.โดยไม่ฝืนกำลังเครื่องแต่อย่างใด ช่วงล่างนั้นภาพรวมผมว่าค่อนข้างมีกระด้างเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับรถซีดานทั่วไป แต่พอเข้าใจได้ว่ารถทำมาเพื่อรองรับการใช้งานในย่านความเร็วสูงนั่นเอง ความต่อเนื่องของเกียร์แบบ 9G-TRONIC นั้น ทำได้ดีมากครับ เพราะมันต่อเนื่องดีระดับเดียวกับ CVT เลย แต่สามารถรองรับการใช้กำลังสูงของเครื่องยนต์ได้ดีกว่าแบบ CVT ห่างกันไกลลิบ เอาเป็นว่า ช่วงวิ่ง 9 เกียร์นั้น หารอยต่อแทบไม่เจอเลย แน่นอนว่าเมื่อเกียร์ทำงานได้เรียบเนียน อาการที่รถขยับสั่นไหวในช่วงเปลี่ยนเกียร์ก็หายไป ทำให้คนนั่งนั้นมีความรู้สึกที่สบายกว่าอย่างแน่นอน ซึ่งทางเมอร์เซเดส-เบนซ์อวดระบบเกียร์ตัวนี้เลยว่า เป็นระบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะระบบแรกของโลกที่ใช้ทอร์คคอนเวอร์เตอร์แบบไฮโดรไดนามิค (hydrodynamic torque converter) สำหรับรถยนต์ในระดับพรีเมี่ยม อัตราทดเกียร์ที่ขยายกว้างขึ้นทำให้รอบการทำงานของเครื่องยนต์ของลดลง ในขณะที่การทำงานของ 9G-TRONIC ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อบุคลิกการบังคับควบคุมที่ยอดเยี่ยม ช่วยทำให้ความสะดวกสบายในการขับขี่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับเสียงการทำงานที่ลดต่ำลง
เมื่อเปลี่ยนโหมดมาเป็น Sport+ ใน Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium แล้ว จากเด็กเนิร์ดที่ดูเรียบขรึม ก็จัดการสะบัดผม โยนแว่นทิ้ง แล้วเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองเป็นพ่อหนุ่มขาร็อกในทันที เครื่องยนต์จะถูกปรับอัตรารอบให้สูงยิ่งขึ้น รอรับคำสั่งมาจากแป้นคันเร่งตลอดเวลา คันเร่งก็พร้อมตอบสนองต่อเท้าแบบว่องไว แตะเท้าลงไปเล็กน้อย มันก็รีบออกคำสั่งไปที่เครื่องยนต์ประดุจกามนิตหนุ่มในทันที อัตราเร่ง 0-100 ที่บอกว่าทำได้ใน 6.4 วินาที มันไม่ใช่เรื่องเกินความจริงเลย เครื่องยนต์ตอบสนองได้ดีมาก ไต่ความเร็วขึ้นแบบพรวดเดียวก็เกิน 160 กม./ชม.แล้ว มันสะใจมาก การควบคุมตัวรถนั้นหายห่วงเลยครับ ด้วยช่วงรถที่หน้ายาวแต่ท้ายสั้น มันเหมาะกับการมุดไปตามช่องต่าง ๆ กับสภาพการจราจรในเมืองฟ้าอมรอย่างกรุงเทพฯได้อย่างดี พวงมาลัยคมกริบ หันแบบไหนได้อย่างนั้นทันที ไม่มีแรงเหวี่ยงแบบเสียอาการ ถึงแม้ว่าจะหมุนพวงมาลัยไปในช่องแบบกะทันหันก็ตาม ผมได้ลองอยู่ช่วงที่เป็นทางโค้งขึ้นสะพานแถวสนามบินสุวรรณภูมิ ลองกดเข้าไปเต็มที่แล้วรอดูว่าอาการของรถเป็นอย่างไร (ความเร็วประมาณ 140 กม./ชม ได้) ปรากฏว่ารถมีอาการน้อยมาก อาจจะมีบ้างที่รู้สึกหน้าดื้อเล็กน้อย แต่อาการท้ายไหลนั้นไม่เจอ แต่ทั้งนี้ตัวรถยังอยู่ในการควบคุมของมือเราได้อย่างเต็มที่ ทำให้รถยังคงวิ่งอยู่ในไลน์ของตัวเองอย่างปลอดภัย (ช่วงทดสอบ ไม่มีรถอยู่รอบข้างเลย วิ่งอยู่คันเดียว)
เรื่องระบบอำนวยความสะดวกในตัวรถนั้น ก็สมกับเป็นรถระดับหรูหรา ที่สามารถรองรับการใช้งานของเราอย่างดี โดยเฉพาะระบบเครื่องเสียงของ Burmester® surround sound system มันคือความดีงามของการนั่งฟังเพลงอยู่ในรถจริง ๆ ไม่ว่าจะฟังเพลงแนวไหน เครื่องเสียงก็สามารถตอบสนองเเสียงของเครื่องดนตรีทุกชิ้นได้อย่างดี แต่ที่ชอบที่สุด คงตกเป็นของระบบการเชื่อมต่อที่รองรับการใช้งาน Apple CarPlay ที่เราสามารถเปิด Google Maps ให้ส่งหน้าจอจากโทรศัพท์เราไปที่หน้าจอใหญ่ของรถได้เลย หน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว มันคือความอลังการจริง ๆ ครับ ดูแผนทีได้อย่างสบายใจ ทุกซอยเลี้ยวนี่ไม่ต้องถ่างดูเหมือนในโทรศัพท์เลย ของแบบนี้ต้องลองใช้เอง ถึงจะรู้ และเมื่อได้ลองใช้แล้ว ระบบนำทางในรถจะตกกระป๋องไปในทันที และที่เก๋ไก๋ไปอีกอย่างและชอบมากก็คือ กระจกมองข้าง ที่ใส่ระบบตัดแสงอัตโนมัติมาให้ด้วย ลดความรำคาญจากรถที่มีไฟหน้าส่องตาชาวบ้านไปได้อย่างดีเลย
ถึงแม้ว่าตัวระบบการควบคุมหน้าจอในรถของ Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium จะให้ทางเลือกเราใช้งานได้ถึง 3 ช่องทาง ก็คือที่บนพวงมาลัย, ปุ่มควบคุม หรือ Touchpad ที่อยู่ตรงกลางรถ แต่ส่วนตัวผมรำคาญการใช้งาน Touchpad เป็นอย่างมาก เพราะมันคอยจะเอามือไปโดนแล้วเมนูที่หน้าจอมันเปลี่ยนไปทุกที บางทีแต่เผลอไปแตะนิดเดียว เพลงมันก็เปลี่ยนเอง สุดท้ายต้องปิดการใช้งานไป ผมว่ามันติดตั้งในจุดที่เราไปเผลอโดนง่ายไปหน่อย แถมอยู่ในจุดเดียวกับตัวปุ่มควบคุมอีกต่างหาก ถ้าปรับให้แยกที่กัน อาจจะย้าย Touchpad มาอยู่ตรงใกล้ที่ช่องเก็บของแถวที่ท้าวแขนแทน น่าจะดีกว่านะ (ความเห็นส่วนตัว)
ส่วนอีกอย่างที่รู้สึกไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ ก็คือในส่วนของตัวเบาะแบบ Bucket Seat นั่นเอง ด้วยความที่เป็นชายร่างใหญ่ประมาณหนึ่ง เลยทำให้เวลานั่งขับนั้น มันรู้สึกว่าปีกของเบาะที่ต้องคอยทำหน้าที่โอบกระชับตัว มันเบียดหลัง ทำให้เหมือนหลังถูกบีบอยู่ตลอดเวลา มันคับตัวผมไปหน่อย เวลาขับเลยนั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ประกอบกับท่าตั้งขาซ้าย ที่เวลาปกติในรุ่นอื่น ผมจะเอาเท้าไปวางในตำแหน่งที่อยู่ทางด้านซ้ายสุดเลย มุมของขาก็จะกางได้เล็กน้อย แต่ด้วยความที่แผงด้านข้างที่ติดกับขาซ้ายเรานั้น มันออกจะนูนมานิดหน่อย เลยทำให้เวลาที่ผมวางเท้าซ้ายไปในจุดซ้ายสุด มันเลยทำให้ขาเบียดไปกับแผงด้านข้าง มุมขามันเลยนั่งไม่สบาย สุดท้ายต้องย้ายตำแหน่งเท้าเข้ามาด้านใน หุบขาลงมาเล็กน้อย มันเลยทำให้ท่านั่งมันไม่เป็นไปอย่างความเคยชินของตัวผมเอง ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดเหมือนผมหรือเปล่า
อัตราการบริโภคน้ำมัน ที่งวดนี้ใช้งานเป็นดีเซลปกติตลอดเส้นทาง ช่วงที่ขับแบบโหมด ECO มีรถติดสลับวิ่งได้ จับอัตราที่หน้าจอได้ประมาณ 15 กม./ลิตร แต่เมื่อขยับมาใช้งานโหมด Sport+ ย่ำแรงลองของกันอยู่ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร อัตรากินน้ำมันขยับไปอยู่ที่ประมาณ 8 กม./ลิตร แต่เมื่อรวมออกมาทั้งทริป ระยะทางรวมประมาณ 500 กว่ากิโลเมตร มีหลากหลายการขับขี่ แต่เน้นใช้งานแบบทั่วไปในชีวิตประจำวัน สรุปออกมาที่ประมาณ 11 กม./ลิตร ถือว่าเป็นอัตราที่ใช้ได้ดีเลย เมื่อเทียบกับพละกำลัง 245 แรงม้าที่ได้มา คุ้มค่ากับความสนุกจริง ๆ
Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium ไม่ได้เป็นรถที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานแบบหรูหรา นั่งสบายเหมือนกับพวก E-Class, S-Class แต่มันคือเจ้าชายจอมซนที่พร้อมจะพุ่งทะยานออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ และทุกย่างก้าวที่วิ่งออกไป มันเปี่ยมด้วยความสง่างามตลอดทุกเส้นทาง ผมว่าใครที่ชอบใช้งานรถแบบคนเดียว หรือจะมีตุ๊กตาหน้ารถมานั่งเคียงข้างกัน รักความปราดเร็ว คล่องแคล่ว แต่ก็ยังอยากได้ความสบายในทุกเส้นทางอยู่ ผมว่า การควักเงินจากกระเป๋าเพื่อจ่ายเงินไปในราคาเพียง 4,390,000 บาท ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน ยิ่งเมื่อเทียบกับตัวนำเข้า ที่ก่อนหน้านี้เราต้องจ่ายเงินสูงถึง 4,980,000 บาท มันยิ่งเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่ที่จะจับจองกันเป็นเจ้าของแน่นอนครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com