Test Drive: ทดลองขับ Honda HR-V ปรับหน้าตาใหม่ แต่ไหงการขับขี่เปลี่ยนตาม
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 31 ก.ค. 61 00:00
- 26,680 อ่าน
ต้องยอมรับว่า รถยนต์สไตล์ Crossover อย่าง Honda HR-V นั้น ครองตลาดติดลมบนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูได้จากการที่เราใช้ท้องถนนอยู่ทั่วไป เราจะเห็นรถยนต์รุ่นนี้วิ่งกันอยู่เกลื่อนกลาด หาดูได้ง่ายทั่วไป น่าจะมาจากรูปทรงที่ดูสวยงามถูกใจคนในตลาด และการใช้งานก็ค่อนข้างหลากหลาย ทำให้ Honda HR-V โกยยอดขายไปอย่างมากมายก่อนคู่แข่งอย่างสบายใจเฉิบตั้งแต่ปี 2014
ผ่านไป 4 ปี โดยที่ยังขายเป็นตัวโฉมเดิมอยู่เป็นเวลานาน ในปีนี้ก็ถึงเวลาสักทีกับการปรับเปลี่ยนหน้าตาพร้อมเพิ่มออพชั่นอีกเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้คู่แข่งในขนาดเดียวกันอย่าง Toyota C-HR เข้ามาโกยยอดขายช่วงนี้ไป โดยทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Fast Auto Show เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้สามารถกวักมือเรียกแฟนๆที่ถามหารถแบบ Sport Crossover ของค่ายนี้อีกครั้งได้ และแน่นอนว่า หลังจากการเปิดตัวได้ไม่นาน ทาง ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ก็มีจดหมายเรียนเชิญทีมงานของ AUTODEFT เพื่อเข้าร่วมทดสอบ Honda HR-V ใหม่ ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ทั้งในแง่ของความสวยงาม, ความสะดวกสบาย และการขับขี่
เส้นทางการขับขี่ของการทดสอบครั้งนี้ จะเป็นการใช้เส้นทางจากกรุงเทพ ที่ศูนย์บริการฮอนด้า ถ.ศรีอยุธยา มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เขื่อนขุนด่านปราการชล จ. นครนายก ระยะทางไปกลับก็ประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร เส้นทางก็อย่างที่ทราบครับ มีทั้งในเมืองรถวิ่งได้เรื่อยๆ, รถหนาแน่นบนทางมอเตอร์เวย์ และอาจมีบางช่วงที่ใช้ความเร็วได้บ้าง แต่เอาจริงๆก็คือ ผมเองได้คุยกับน้องๆทีมงานแล้ววิเคราะห์กันก่อนจะออกเดินทางว่า การขับขี่คงจะเหมือนเดิม เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แทบไม่เกี่ยวกับส่วนที่เป็นการขับขี่เลย
เอาเบื้องต้นของการเปลี่ยนแปลงก่อนถ้าเทียบกันตัวแรกที่วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ก็คือมีการตัดในรุ่น S และ EL Limited ออกไป แล้วเพิ่มในรุ่นของ RS เข้ามาแทน ซึ่งหมายความว่าตอนนี้รุ่น EL จะถูกลดชั้นมาเป็นรองท็อป แล้วให้ตัวสปอร์ตอย่าง RS เข้ามาเป็นตัวท็อปแทน แต่เครื่องยนต์จะยังเป็นตัวเดิม ก็คือ เครื่องยนต์เบนซิน I-VTEC ในรหัสเดิม R18ZF 1.8 ลิตร 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุด 172 นิวตันเมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที รองรับพลังงานทางเลือก E85 พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT (แต่น้ำมันที่ทดสอบนั้นเป็น 91)
ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปนั้น เริ่มจากภายนอกก่อน โดยไฟหน้านั้นมีการเปลี่ยนมาใช้แบบ Inline LED มี Daytime Running Light พร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED เช่นกัน ส่วนกระจังหน้าประดีไซน์ใหม่ให้เป็นแบบปีกนกแนวยาว flying wing grille รวมทั้งกันชนก็ปรับใหม่ให้ดูสวยงามกว่าเดิม ไฟท้ายเปลี่ยนให้กลายเป็น LED ถามว่าดูเปลี่ยนไปเยอะมั้ย ก็ต้องตอบตามตรงว่าไม่เยอะ จะดีหน่อยก็ตัวไฟหน้าแบบ LED นี่แหล่ะ แต่ก็ต้องจัดที่ตัวท็อปนะถึงจะได้ครบ
ด้านในของ Honda HR-V มีเปลี่ยนแปลงชัดเจนก็คือตัวเบาะแบบใหม่ ที่ออกแบบมาให้มีการโอบตัวที่มากขึ้น อันนี้เป็นการเปลี่ยนที่ดีสำหรับผมเลย เพราะมันรู้สึกว่าพอดีตัว กระชับมาก ถึงแม้จะขับในระยะทางไกลก็ไม่ได้สร้างความเมื่อยล้าได้มากมาย ตัวมาตรวัดของ RS ก็สวยงามเป็นเอกลักษณ์ของเขาอยู่แล้ว ส่วน Sunroof ในรุ่น EL ก็จะไม่มีอีกต่อไป โดยย้ายไปอยู่ที่เฉพาะตัว RS เท่านั้น แต่ก็จัดเต็มแบบ Panoramic Sunroof
ส่วนระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมาใน Honda HR-V รถยนต์ใหม่ 2018 นั้น ก็จะมีในส่วนของ City Brake Active System หรือ ระบบเตือนและช่วยเบรกที่ความเร็วต่ำ คือรนจะเตือนและเบรกให้อัตโนมัติเมื่อรถมีความเร็วไม่เกิน 35 กม./ชม., Honda Lane Watch หรือระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน รวมทั้งระบบล็อครถอัตโนมัติเมื่อรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ Walk away auto lock ส่วนระบบเบรก ABS EBD ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) กล้องส่องภาพด้านหลัง สามารถปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) และถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 ตำแหน่ง ที่เคยมีอยู่แล้วนั้น ก็ยังคงอยู่เช่นเคย เอาตามจริงตอนแรกที่เดากันว่า ทางฮอนด้างวดนี้อาจจะใจป้ำส่ง Honda Sensing ระบบความปลอดภัยแบบจัดเต็มใส่มาด้วย แต่ของจริงออกมาก็ผิดหวังกันไปเล็กน้อย
แน่นอนว่าในตัวแต่ง Honda HR-V RS นั้น ก็ต้องตกแต่งในแนวสปอร์ตแตกต่างจากรุ่นทั่วไป นอกจากที่จะเพิ่มสีดำในจุดต่างๆแล้ว ล้อแม็กก็เป็นลายใหม่แบบทูโทน และสเปคทั้งหมดที่ได้บอกไว้แล้ว จะมีอยู่ในตัว RS ทั้งหมด ส่วนตัวล่างลงมาก็ถูกตัดนั่นตัดนี่ออกไปตามราคาที่ลดลง
อ่ะ ข้อมูลเบื้องต้นมีแล้ว เดินทางเลยละกัน โดยขาไปเริ่มต้นด้วยการใช้งาน Honda HR-V E ซึ่งเป็นรุ่นล่างสุดก่อน โดยรุ่นนี้ไฟหน้ายังเป็น Projector และไม่มีไฟตักหมอก ระบบความปลอดภัยใหม่ทั้ง 3 ตัวยังไม่มี แต่เครื่องยนต์เป็นตัวเดียวกัน มี Paddle Shift เหมือนกัน มีโหมด Sport เหมือนกัน รับรองว่าไล่ทันแน่ ฮ่า เส้นทางที่ใช้นั้นก็คือเส้นศรีอยุธยา ขึ้นทางด่วนตรงพระราม 9 ก่อนจะเปลี่ยนไปท่างด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ก่อนจะวิ่งยาวไปลงวงแหวนบางนา-บางปะอิน แล้ววกลงรังสิต-นครนายกต่อไป ขาไปรถเยอะครับ เลยต้องใช้วิชาการเปลี่ยนเลนที่ค่อนข้างเยอะหน่อย แน่นอนว่าการใช้งานรถที่เป็นสไตล์ Sport Crossover ก็ย่อมมีความคล่องตัวสูงอยู่แล้ว แถมได้พวงมาลัยแบบไฟฟ้า EPS ด้วยอีก เลยทำให้การหมุนในแต่ละครั้งทำได้แม่นยำมาก ทั้งความเร็วสูงและความเร็วต่ำ แต่ขับไปขับมา เอ๊ะ ทำไมมันรู้สึกว่าตัวรถมันดูแน่นกว่าเดิม เพราะจากตัวเดิมที่เคยลองทดสอบ เวลาเปลี่ยนเลนหรือเข้าโค้งแรงๆ มันมีอาการไหวที่ท้ายเล็กน้อย แต่ตัวนี้รู้สึกได้ว่าลดลงแฮะ แต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรกับช่วงล่างนี่หว่า ก็เลยลองสอบถามกันดู และคาดการณ์ว่า ชุดช่วงล่างที่น่าจะเป็นตัวโช๊ค มีการเปลี่ยนรหัส Part เล็กน้อย มันคือสเปคแบบเดิมแหล่ะ แต่อาจจะมีโรงงานผลิต OEM ที่เปลี่ยนไป เลยอาจทำให้ความรู้สึกของการขับขี่เปลี่ยนไปด้วยเล็กน้อย (แต่สัมผัสได้) อันนี้เป็นข้อมูลไม่ยืนยันนะ แต่ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปจริงๆ
อีกอย่างที่รู้สึกได้คือ เสียงลมในตอนของคนขับดูจะเงียบลง ถึงความเร็วจะวิ่งจนถึงระดับ 140 กม./ชม. แล้วก็ตาม ซึ่งเป็นอีกจุดที่ทำได้ดีขึ้นจริงๆ เพราะตัวเดิมเท่าที่รู้สึก มันดังกว่านี้ในความเร็วที่เท่ากัน ส่วน Paddle Shift ที่ลองใช้งานในตัว E มันใช้ไม่ได้ในโหมด D แฮะ ต้องเปลี่ยนเป็นโหมด S ถึงจะสามารถใช้งานได้ ซึ่งก็ให้ความรู้สนุกสนุกขึ้นมาได้อีกนิดนึง
การเดินทางทดสอบรถวันนี้ จะเป็นแนวผจญภัยหน่อยครับ เพราะทางฮอนด้าพาเราไปทั้งนั่งเรือชมความงามในเขื่อนขุนด่านปราการชล เดินขึ้นไปชมน้ำตกช่องลม ก่อนจะมาพายเรือล่องแก่งชมธรรมชาติ นอกจากทดสอบรถยนต์แล้ว ยังทดสอบสภาพร่างกายของนักทดสอบด้วย เพราะบอกเลยว่าเหนื่อยมากกก แต่ก็ผ่านไปด้วยดี
ขากลับนั้น มีการเปลี่ยนรถกันหน่อย โดยที่ผมย้ายมาจับเจ้าตัวท็อปอย่าง Honda HR-V RS ดูบ้าง เส้นทางก็เหมือนเดิมคือกลับมาจากนครนายกแล้วมุ่งหน้าสู่ศูนย์บริการฮอนด้า ถ.ศรีอยุธยา ช่วงนี้ผมออกช้ากว่าขบวนเล็กน้อย เนื่องจากติดต้องรอรูปจากทีมงานนิดหน่อย และมีการ Live โดยน้องที่ร่วมทางมาด้วย เลยต้องมีการกดตามกลุ่มให้เจอ เนื่องจากขากลับนั้น ล่วงเลยไปจนเริ่มค่ำแล้ว รถราก็เลยน้อยลง สามารถทำความเร็วได้พอสมควร โดยตัว RS นั้น สามารถเล่น Paddle Shift ได้ตั้งแต่โหมด D ปกติเลย แต่มันสนุกไม่พอ ก็เลยจัดโหมด S เพื่อกดตามกลุ่มให้เจอ สนุกมากครับ การเปลี่ยนเกียร์ด้วย Paddle Shift มันเนียนแบบดีงาม ทันใจมาก เครื่องยนต์ระดับ 1.8 ลิตร 141 แรงม้า ก็เพียงพอที่จะพารถขนาดนี้พุ่งไปได้อย่างสบาย บางช่วงใช้ความเร็วระดับ 160 กม./ชม. ตัวรถก็ยังคงทรงตัวดี ไม่มีอาการเหวี่ยงที่ด้านท้ายยามเปลี่ยนเลนแต่อย่างใด แต่ ลมเข้าเสียงดังมาก เริ่มดังตั้งแต่ 120 กม./ชม. เลย เหมือนมันดังแถวช่วงเสา B ด้านคนขับ ก็เลยงงอยู่เหมือนกันว่า ทำไมตัว E ถึงเสียงเงียบ แต่พอเป็นตัว RS ดันเสียงดัง หรือเป็นเพราะว่าตัว Panoramic Sunroof หรือเปล่าที่ทำให้เสียงดัง อันนี้ได้แต่เดากันไป
จบการทดสอบเรียบร้อย เดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัย สรุปการใช้งานช่วงขากลับด้วยอัตราประหยัดน้ำมันที่ประมาณ 12.1 กิโลเมตร/ลิตร (จากหน้าจอ) ถือว่าโอเคเลยกับการจัดมาขนาดนี้ตลอดทาง สำหรับ Honda HR-V รถยนต์ใหม่ 2018 รอบนี้ จะมีมา 3 รุ่นคือ E ราคา 949,000 บาท, EL ราคา 1,059,000 บาท และ RS ราคา 1,119,000 บาท มีสีให้เลือกทั้งหมด 5 สีคือ Passion Red Pearl, White Orchid Pearl, Lunar Silver Metallic, Crystal Black Pearl และ Ruse Black Metallic สำหรับใครที่กำลังมองหารถยนต์สไตล์ Crossover ที่สามารถพาคุณเดินทางในเมืองได้อย่างสบาย หรืออยากจะไปลุยตามต่างจังหวัดบ้างเล็กน้อยก็ไปได้ Honda HR-V ก็เป็นอีกตัวเลือกที่ดี และน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย Earthpark02
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com