Test Drive : BMW X3 xDrive 20d MSport อเนกประสงค์แรง หรู ขั้นเทพในราคา 3 ล้านกลางๆ

นับตั้งแต่ BMW เปิดรถยนต์อเนกประสงค์ SUV (Sport Utility Vehicle) หรือ SAV (Sport Activity Vehicle)ซึ่งเป็นตลาดแนวใหม่ ด้วย BMW X5 รุ่นแรกของค่าย เป็นที่โจษจันในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ค่ายนี้กับกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่รักและชอบการผจญภัยอันแสนท้าทายกลายเป็นต้นแบบให้กับพี่น้องร่วมค่ายสืบทอดตำนานยาวนานเกือบ 20 ปี รวมถึง BMW X3

รถยนต์ อเนกประสงค์ลำดับที่ 2 ของค่ายฯ ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 2003 ตรงใจสาวกที่ไม่ต้องการความใหญ่โตของรุ่น X5 ผ่านมาหลายเจเนอเรชั่นและล่าสุดกับเจนเนอรเรชั่นที่ 3 (รหัส G01) ซึ่งเปิดตัวในตลาดโลกช่วงมิถุนายนปี 2016 และ 5 เดือนให้หลังชาวไทยได้มีโอกาสสัมผัสอย่างเป็นทางการในรูปแบบ CBU รุ่น X3 xDrive20d xLine และตามมาด้วยรุ่น X3 xDrive20d M Sport (รุ่นที่นำมาทดสอบ) ก่อนจะมีรุ่นประกอบในประเทศ CKD ตามมาส่งท้ายปี 2018

BMW X3 xDrive20d M Sport ภายนอกสปอร์ตอเนกประสงค์จากเมืองมิวนิก เข้มกว่ารุ่น X3 xDrive20d xLine ด้วย ชุดแต่งรอบคันจาก M Aerodynamics ไม่ว่าจะเป็นกันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต พร้อมขอบหน้าต่างสีดำเงา และราวหลังคาตกแต่งด้วยสีดำเงากับออพชั่นเดิมทั้ง กระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่หนาแบบ 3D front grille ขนาบข้างด้วยไฟหน้า LED แบบ Adaptive LED ปรับตามทิศทางหมุนของพวงมาลัย มีไฟ DRL แบบ LED เป็นเส้นแนวตามกรอบของไฟหน้า(รุ่นประกอบไทยจะเป็นไฟหน้า LED) และไฟตัดหมอกแบบหกเหลี่ยม LED ล้ออัลลอยประจำรุ่นนี้จะเป็นแบบ M ลาย Double-spoke ขนาด 19 นิ้ว 7.5JX19 พร้อมยาง 245/50 R19 จากค่าย Michelin Latitude Sport 3 พร้อมคิ้วขอบล้อสีเดียวกับตัวรถ สปอยเลอร์หลังคาออกแบบใหม่ พร้อมไฟท้าย LED กับกันชนหลังดีไซน์เฉพาะกับ diffuser หรือลิ้นเสริมกันชนหลังพร้อมท่อไอเสียทรงกลมเดี่ยวสองฝั่งเพิ่มความสปอร์ตอีกระดับ จอดรถอย่างมั่นใจด้วยเซนเซอร์ควบคุมการจอดรถทั้งหน้า-หลังโดยทำงานร่วมกับกล้องมองหลัง

เอาใจสุภาพสตรีที่รักช็อปปิ้งถือของเยอะแบบบ้าหอบฟาง ด้วยฝากระโปรงท้าย เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าด้วยระบบ Comfort access เพียงแค่แกว่งปลายเท้าไปที่ใต้กันชนหลังด้านซ้ายเซนเซอร์คอยจับสัญญาณการแหย่ปลายเท้าไว้ เพียงแต่ว่าขอให้ตัวกุญแจรีโมทอยู่กับตัว ฝากระโปรงท้ายจะเปิดด้วยระบบไฟฟ้าทันที

ตัวรถใช้แพลตฟอร์มใหม่ CLAR platform ผสมผสานทั้ง อลูมีเนียม แมกนีเซียมและคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อให้ตัวถังน้ำหนักลดลงและขนาดที่ใหญ่ขึ้นด้วยความยาว 4,708 มม. ความกว้าง 1,891มม. ความสูง 1,676 มม. ระยะฐานล้อ 2,864 มม. น้ำหนักรถ 1,750 กก. ความสูงจากใต้ท้องรถ 204 มม.

กว้างใหญ่โอโถ่ง ด้วยหลังคากระจกแบบพาโนรามา (Panorama)บานใหญ่ที่สามารถเลื่อนเปิด-ปิด หรือ ยกขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า สคัพเพลตโลโก้ M บ่งบอกความเท่ แรงเร้าใจ กุญแจรีโมทแน่นอนแล้วว่าเป็นดีไซน์แบบเดียว Display Key สามารถการสั่งการทำงานของระบบปรับอากาศในรถ ตัวกุญแจมีการแสดงผลผ่านหน้าจอสีแบบระบบสัมผัส แสดงสถานะต่างๆ ของรถ อย่างระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ ล็อค/ปลดล็อค รวมถึงข้อมูลที่สำคัญอื่นๆ โดยมีระยะในการทำงานที่สามารถควบคุมสั่งการได้เต็มระบบอยู่ที่ไม่เกิน 30 เมตร แต่ตัวกุญแจรีโมท คล้ายกับสมาร์ทโฟนตรงที่ มันมีแบตอยู่ในนั้นเช่นกันและใช้งานจนหมด ถ้าหมด สามารถชาร์จด้วยเครื่องชาร์จไร้สายที่ติดตั้งมากับรถ หรือเสียบ USB ปกติ ได้

ภายในหรูด้วยการตกแต่งแบบ Aluminium Rhombicle trim finishers ตัดกับ Pearl Chrome ที่แผงคอนโซลหน้า มีไฟเพิ่มบรรยากาศภายในห้องโดยสาร 6 สี เลือกสีตามต้องการได้ สร้างความอบอุ่นในยามขับรถตอนกลางคืน การจัดวางแต่ละฟังก์ชั่นใช้งานง่ายสะดวก พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ M Sport พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift พร้อมสวิตช์ควบคุมการทำงานทั้ง ระบบล็อความเร็ว Cruise Control และสวิตช์ควบคุมการทำงานเครื่องเสียง มาตรวัดเรืองแสงขนาด 12.3 นิ้ว แสดงข้อมูลที่อ่านง่าย ชัดเจนและยังเข้าถึงอารมณ์ด้วยกราฟฟิกหน้าจอแบ่งได้สามรูปแบบตามการขับขี่ ทั้งโหมด Comfort, ECO PRO และ Sport

บันเทิงเริงใจด้วยชุด iDrive หน้าจอขนาด 10.25 นิ้ว แสดงระบบนำทาง ระบบโทรศัพท์ ระบบความบันเทิง และระบบการทำงานของรถ ควบคุมฟังก์ชันหลักด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวของมือ โดยไม่ต้องมีการสัมผัสแต่อย่างใดแบบ Gesture Control จังหวะการทำงานติดบ้างไม่ติดบ้างแบบเดียวกับรุ่น 520 d ที่เคยนำมาทดสอบ สร้างความหัวเสียไปบ้าง และการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานโดยใช้ภาษาพูดแทนที่การใช้ชุดคำสั่งที่กำหนดมา ระบบเสียงคุณภาพผ่านลำโพงรอบคันจากค่าย Harman Kardon ที่เสียงชัดไพเราะ (รุ่นประกอบไทย แบบ HiFi Loudspeaker) พร้อมคอนโซลเกียร์ทีจับกระชับมือ พร้อมเครื่องปรับอากาศแบบ three-zone climate control system อัตโนมัติแบบ 3 โซน ซ้าย-ขวาและด้านหลัง งานนี้ไม่ต้องมาแย่งความร้อน-เย็นกันอีกต่อไป

โทนสีภายในขึ้นอยู่กับสีภายนอกตัวรถ โดยคันที่ทดสอบนั้นสีภายนอกเป็น สีน้ำเงิน Phytonic Blue ภายในเป็นสีน้ำตาลส้ม Cognac Decor Stitching หุ้มหนังแท้แบบ Vernasca 5 ที่นั่ง ที่คู่หน้าสามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า และระบบความจำด้านคนขับ โครงสร้างของเบาะแนวสปอร์ตโอบกระชับตัวได้ดี ทำให้นั่งโดยสารขับขี่ได้สบายและพอดีตัว แต่สำหรับหมองรองศรีษะ ดีไซน์ค่อนข้างดันหัวนิดนึง แต่ก็ไม่ทำให้อึดอัด เบาะหลังตอนสองที่สบายนั่งแล้วยังมีพื้นที่ช่วงขาเหลืออยู่ ส่วนของพนักพิงพอที่จะปรับระดับองศาได้เล็กน้อย ไม่รู้สึกว่าเบาะชันจนเกินไปและยังพับเก็บได้แบบ 40:20:40 ทำให้พื้นที่สัมภาระท้ายมีขนาดตั้งแต่ 550-1,600 ลิตร รับรองงานนี้ขนของกันอย่างจุใจเลยทีเดียว

รุ่นประกอบไทยมีการเพิ่มออพชั่นมาไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงข้อมูล Head-up Display แสดงข้อมูลการขับขี่ทั้ง ความเร็วรถปัจจุบัน และเส้นทางที่ระบบนำทางกำหนดไว้ในระดับสายตาคนขับ ถูกใจสาวกจนไม่ต้องละสายตาไปมองตำแหน่งอื่นๆ และเพื่อความปลอดภัยของคนขับไปในตัวและยังเพิ่ม ม่านบังแดดประตูคู่หลัง สำหรับตอนสอง กันแสงแดดได้อย่างเต็มรูปแบบ

อเนกประสงค์หรูยุโรปใช้ขุมพลังขนาดเดียวนั่นคือเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ Twin-Power Turbo รหัส B47D20A ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบให้กำลังมากสุด 190 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบ/นาที ปล่อย CO2 ที่ 150 กรัมต่อกิโลเมตร (รุ่นประกอบไทยปล่อย CO2 ที่ 143 กรัมต่อกิโลเมตร) จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด โหมดการขับขี่เลือกตามใจชอบถึง 3 โหมดทั้ง Comfort, ECO PRO และ Sport

ถึงเครื่องยนต์บล็อกนี้เป็นเครื่องยนต์สหกรณ์ใช้หลากหลายในค่ายทั้งรุ่น 3 Series, 5 Series , X4 แต่เมื่อมาประจำการในรุ่นนี้นำพาร่างหนักเกือบ 2 ตันทะยานพุ่งดั่งใจต้องการ กดเป็นมาๆ เร่งแซงเร็วมาก รอบเครื่องยนต์ในช่วงความเร็ว 90 -120 กม./ชม. ทำผลงานสูงสุดไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที ไม่ว่าจะเข้าโหมด Comfort หรือ Sport ด้วยรอบตั้งแต่ 1,300 1,500 1,600 และ 1,750 รอบ/นาที ตามลำดับ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 9.35 วินาที และ 80-120 กม./ชม. ทำได้ 6.99 วินาที

ทัศนวิสัยของรถยนต์รุ่นนี้ ด้วยการเป็นรถทรงสูงทำให้การมองเห็นชัดเจนขึ้น การเก็บเสียงเงียบไม่ว่าจะช่วงความเร็วต่ำกลางและสูง สอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งคนขับ หรือผู้โดยสารด้านหลังระบบช่วงล่างอเนกประสงค์ถูกออกแบบมาเน้นความสปอร์ตแบบ MSport แต่สภาพถนนในเมืองไทยทุกรูปแบบจะเป็นในรูปแบบไหนวางใจได้ในการเกาะถนนที่หนึบ แต่แอบแข็งหน่อยๆ ฟิลคล้ายขับรถสปอร์ต 2 ประตู

พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive ไม่ว่าจะเส้นทางจะเป็นแบบไหนเชื่อใจได้ในเรื่องการเกาะถนนแม่นยำขึ้นฉับไวด้วยการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ระหว่างเพลาหน้าและหลังมั่นใจมากขึ้นด้วยสารพัดตัวช่วยที่เกี่ยวเนื่องทั้ง ระบบควบคุมการทรงตัว (DSC) ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC) ระบบควบคุมความเร็วขณะขึ้นทางลาดชัน Hill-Start Assisant และระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control การควบคุมรถแบบเปลี่ยนเลนสามารถคุมได้ด้วยระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้าแบบ Servotronic งานนี้เซ็ตพวงมาลัยได้แม่นยำ ควบคุมง่าย น้ำหนักเบาในช่วงขับขี่ในเมืองและจะหนักขึ้นในความเร็วสูงๆ

ด้านอัตราสิ้นเปลืองสำหรับในเมืองทำได้ 12.28 กม./ลิตรและนอกเมืองทำได้ 18.89 กม./ลิตรรวมถึงสูตรเฉพาะ Save Mode จากระยะทางรวม 59.3 กม. จัดเต็มถังกับน้ำมันดีเซลย่านเพชรบุรีตัดใหม่ 4.34 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตัวเลขกลับทำได้ดี 13.66 กม./ลิตร ด้วยส่วนหนึ่งจากระบบสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะ Auto Start Stop โดยระบบจะดับเครื่องยนต์เฉพาะเมื่อรถหยุดการเคลื่อนที่ตามช่วงระยะเวลาที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 3 นาที แต่ช่วงการทำงานนั้น บรรดาเครื่องปรับอากาศกับวิทยุเครื่องเสียงยังทำงานตามปกติ นับพอใช้ได้สำหรับรถยนต์ยุโรปสายพันธุ์สปอร์ตในร่าง SUV

ทายาทลำดับ 2 ของตระกูล X มีแฟนพันธุ์แท้ติดตามให้การต้อนรับมาตลอด 16 ปี ถึงผ่านมาแล้ว 3 ชั่วอายุ เมื่อเจอหน้าตาของเจนปัจจุบันสื่อถึงตัวตน 2 บุคลิก ที่ใช้งานได้ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดทุกเส้นทาง พร้อมเทคโนโลยีที่ BMW บรรจงมอบให้อย่างล้นคัน เพื่อให้ BMW X3 xDrive 20d MSport เป็นรถยนต์ที่สามารถครอบครองได้สบายๆในราคา 3,659,000 บาท (ราคารุ่นประกอบไทย พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

 

เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย

ขอขอบคุณ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป (ประเทศไทย) ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ BMW X3 xDrive 20d MSport มาทดสอบ

 

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com