ทดลองขับ Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe แรง เร้าใจ ถูกใจขาซิ่ง

ถ้าเอ่ยถึงชื่อ Mercedes-AMG แล้ว ทุกคนก็คงรู้ดีว่าเป็นรถยนต์ในตระกูลที่เสริมความแรงมาจากตัวรถหรูมาตรฐานค่าย Mercedes-Benz ซึ่งปกติแล้วรถยนต์ในค่ายนี้จะมีผลิตเฉพาะในไลน์ของ AMG เท่านั้น แต่สำหรับในเมืองไทยมีความพิเศษหน่อย ที่มีรถสปอร์ตอยู่คันหนึ่งในตระกูลนี้ ที่ทำการผลิตในประเทศไทย นั่นคือ Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe นั่นเอง

ช่วงก่อนหน้านี้ได้รับหมายเชิญมาจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ชวนไปทดสอบรถแบบไม่เป็นทางการสักเท่าไหร่ (ขอบคุณคร้าบ) โดยเส้นทางเป็น กรุงเทพฯ-อยุธยา โดยการเดินทางครั้งนี้ใช้รถยนต์ในตระกูล AMG ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Mercedes-AMG A 45 4MATIC, Mercedes-AMG CLA 45 4MATIC, Mercedes-AMG GLA 45 4MATIC, Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe, Mercedes-AMG SLC 43 และ Mercedes-AMG GLE 43 4MATIC Coupe รวม 6 รุ่น 8 คัน ส่วนการจะได้ขับคันไหนนั้น ง่ายๆครับ จับฉลาก ผมก็โชคดีจับได้ Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe เป็นคู่หูในการเดินทางวันนี้

Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe ถือเป็นรถยนต์สมรรถนะสูงตระกูล 43 ที่ผู้เป็นเจ้าของสามารถสัมผัสถึงความโดดเด่นของแบรนด์ Mercedes-AMG ได้ในทุกจังหวะการขับขี่ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ (Bi-Turbo) พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้พละกำลัง 367 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ตามสเปคสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 4.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดไได้ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ดีไซน์ภายนอกของรถยนต์รุ่นนี้ โดดเด่นด้วยการตกแต่งฝาครอบเครื่องยนต์ด้วยแถบสีแดงทรงวี เพื่อสะท้อนสมรรถนะเครื่องยนต์แบบวี 6 สูบเทอร์โบคู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งจุดเด่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ อย่าง ฝากระโปรงหน้าแบบยาว ตัวถังที่กว้างขึ้น ประตูแบบไร้ขอบ กรอบกระจกมองข้างสีดำแบบลอยตัวจากตัวถัง ขอบตกแต่งสีดำเงาบริเวณด้านข้างตัวรถและกรอบหน้าต่าง เส้นสายด้านข้างตัวรถที่ยาวลงไปถึงซุ้มล้อหลัง พร้อมปลายท่อไอเสียเสริมโครเมี่ยม 2 ท่อพร้อมตัวแบ่งตรงกลางที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน, ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System, ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS – Active Light System), ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light), หลังคาพาโนรามิคซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า, กระจังหน้า diamond grille สีเงิน พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ AMG, AMG Bodystyling (กันชนหน้า-หลังและสเกิร์ตข้าง), ล้ออัลลอยดีไซนสปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19”, ยางรถยนต์แบบ Run-flat

ดีไซน์ภายใน มาพร้อมพวงมาลัยแบบสปอร์ตท้ายตัดที่ปรับการทำงานตามระดับความเร็ว, ระบบป้อนเข็มขัดนิรภัยอัตโนมัติ สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า, วิทยุ-ซีดี MB Audio 20 พร้อม Touchpad และ Controller, ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester®, ตกแต่งภายในด้วยลาย AMG Carbon-fibre และอะลูมิเนียม

นวัตกรรมและเทคโนโลยี ใช้ระบบช่วงล่าง AMG RIDE CONTROL แบบสปอร์ตเป็นระบบมาตรฐาน เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมในทุกย่านความเร็ว พร้อมมอบความสบายให้ทุกคนในห้องโดยสารแม้ขณะเดินทางไกล โดยผู้ขับขี่สามารถปรับตั้งค่าระบบรองรับแรงสะเทือนได้ 3 รูปแบบ คือ Comfort, Sport และ Sport Plus รถยนต์รุ่นนี้ยังมาพร้อมกับระบบ AMG DYNAMIC SELECT ที่มีให้เลือก 5 โหมด คือ Eco, Comfort, Sport, Sport Plus และ Individual โดยโหมดการขับขี่แบบ Sport Plus จะสามารถเร้าอารมณ์ของผู้ขับขี่ได้ถึงขีดสุด และยังช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงจิตวิญญาณของแบรนด์ AMG ได้อย่างแท้จริง

การทดสอบสั้นๆในระยะทางประมาณ 100 กว่ากิโลเมตร ผมทำหน้าที่พลขับในขาไป (ผู้โดยสารอีก 1 ท่านรับหน้าที่ในขากลับ) เพียงแค่กดปุ่มสตาร์ท เสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์และท่อก็เพิ่มความเร้าใจเข้ามาสู่โสตประสาททันที เร่งคันเร่งลองเสียงไป 1 รอบ แหม่ มันช่างเร้าใจให้กระทืบคันเร่งแรงทันที แต่ก่อนออกเดินทาง ก็ต้องทำความเข้าใจอุปกรณ์การทำงานในตัวรถเสียก่อน เพราะหลายอย่างมันก็ไม่ได้อยู่เป็นที่เป็นทางเหมือนชาวบ้านเขา อย่างเช่น คันเกียร์ ที่เป็นเกียร์ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G ดันไปอยู่บนคอพวงมาลัย ก็เลยต้องปรับสัญชาตญาณตัวเองในการขับรถใหม่ จะได้ไม่ต้องเอ๋อระหว่างทาง

เส้นทางเริ่มจากแถบสาทรช่วงประมาณ 10.30 น. การจราจรก็เริ่มบางแล้ว แต่มันก็ยังติดมากอยู่ดี ก่อนที่จะวนไปขึ้นทางด่วนบนถนนสีลม แล้ววิ่งยาวไปลงที่อยุธยาเลย ทั้งทริปนี้จัดเต็มที่กับโหมด Sport+ เพิ่มความสะใจกับระยะทางสั้นๆ บอกเลยครับว่า ทุกครั้งที่แตะคันเร่ง รถจะพุ่งออกไปแบบทันใจ มันอาจจะไม่พุ่งจนเหมือนเข้าวาร์ปแบบที่เคยเทสแบบ Porsche Panamera S แต่มันก็พุ่งหลังติดเบาะ แล้วไหลไปได้เรื่อยๆ ตามสไตล์เครื่องแบบ 6 สูบ ที่แรงดียาวไปจนถึงช่วงปลาย

แต่ก็อย่างที่รู้แหละครับ การจราจรในกรุงเทพ มันไม่ได้เอื้ออำนวยสำหรับการทดสอบเต็มประสิทธิภาพของตัวแรงอย่าง Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe ได้อย่างเต็มที่ แต่มันเป็นรถที่คล่องตัวเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เจอช่อง เราสามารถกดคันเร่งแล้วมุดเข้าช่องนั้นได้อย่างสบาย ไม่ต้องคอยลุ้นว่ามันจะทันหรือเปล่า ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ทำให้ความแม่นยำในการเข้าโค้งและเปลี่ยนเลนสามารถทำได้กระฉับกระเฉงอย่างเต็มที่ ส่วนการเบรกก็ไม่ต้องห่วง ด้วยระบบจานเบรกที่มีช่องระบายความร้อน ถึงจะเหยียบเบรกแรงๆสักกี่รอบ ก็ยังทำงานได้อย่างดีเสมอต้นเสมอปลาย

จังหวะที่เข้าสู่เขตจังหวัดอยุธยาแล้ว ก็พอจะเริ่มมีเส้นทางให้ยืดแข้งยืดขาเจ้า Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe ได้ซะบ้าง แต่ด้วยยังคงใส่อยู่ในโหมด Sport+ ช่วงล่างอาจจะมีอาการกระเด้งกระดอนอยู่หน่อย เพราะมันต้องเซ็ตให้แข็งขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานแบบความเร็วสูงด้ แต่เมื่อมาเจอบางช่วงที่ถนนผ่านศึกการใช้งานมาอย่างหนัก ก็อาจจะทำให้พอจะรู้สึกของความเป็นหลุมเป็นบ่อของถนนได้มากหน่อย จนมาถึงบางช่วงที่พอจะมีเส้นทางเรียบๆ ถนนโล่งๆอยู่บ้าง ก็เลยลองกดมิดเท้าดูสักหน่อย ความรู้สึกที่กดไปคือ มันดึงมาแบบยาวๆตั้งแต่ต้นความเร็วต่ำ จนถึงระดับความเร็วสูงมากแถว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำให้เห็นชัดเลยว่าการขับขี่รถยนต์แบบ 6 สูบ ที่มีแรงบิดมากๆระดับ 520 นิวตันเมตร ทำให้ความต่อเนื่องของความเร็วทำได้ดีมากจริงๆ

ถึงแม้จะเป็นระยะทางเพียงสั้นๆ เลยทำให้ยังไม่ได้ลองเรื่องของระบบอำนวยความสะดวกได้มากสักเท่าไหร่ แต่การได้ขับ Mercedes-AMG C 43 4MATIC Coupe ในครั้งนี้ ทำให้รับรู้ความเป็นตัวตนของรถตระกูล Mercedes-AMG ได้มากขึ้นกว่าเดิม แถมตัวที่ทดสอบนี้ยังเป็นรถที่ประกอบภายในประเทศ ทำให้ค่าตัวสามารถทำได้อยู่ที่ 4,140,000 บาทเท่านั้น ถือว่าถูกกว่าตัวที่ยกเข้ามาอย่างมาก จากอัตราภาษีที่โดนซัดอย่างเต็มที่ และล่าสุดที่ทราบก็คือ เร็วๆนี้กำลังจะเปิดตัวอีกรุ่นของ Mercedes-AMG ที่จะทำการประกอบในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยว่าเป็นรุ่นไหน แต่กำหนดการแน่นอนว่าเราจะได้เห็นข่าวช่วงกลางเดือนหน้าแน่นอน ผมก็ขอสัญญาว่า ถ้าได้ข่าวแพลมออกมาเมื่อไหร่ จะรีบเอามาบอกต่อกับคนที่ติดตาม AUTODEFT อย่างแน่นอนครับ

Earthpark02

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com