Test Drive: รีวิว ทดลองขับ SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid รถไฮบริดแรกของค่ายในไทย เน้นความประหยัดยิ่งขึ้น
- โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
- 25 พ.ย. 65 00:00
- 7,441 อ่าน
ในช่วงส่งท้ายปี 2022 แบบนี้ ทางซูซูกิในไทยก็ได้แนะนำรถใหม่นามว่า SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid ที่มีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งาน Motor Expo 2022 นี้ รวมไปถึงราคาจำหน่ายของแต่ละรุ่นย่อยในงานนี้อีกด้วย ซึ่งทางค่ายเองก็ได้เปิดข้อมูลรายละเอียดสเปคตัวรถพร้อมการให้คณะสื่อมวลชนได้ร่วมกันขับทดสอบกันก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
โดยในครั้งนี้ทาง บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ก็ได้เชิญทีมงาน AUTODEFT ของเราเข้าร่วมทดสอบรถใหม่ SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid บนเส้นทาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งสภาพเส้นทางเป็นทั้งช่วงการขับขี่ในเมืองและชาญเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ ราว 60 กว่ากิโลเมตร เพื่อให้ได้สัมผัสถึงลักษณะของการทำงานของขุมพลัง Mild Hybrid ที่ทางค่ายเรียกว่า SHVS ใหม่ ใน SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid นี้
เริ่มต้นไล่เรียงในส่วนของความแตกต่างนอกจากเรื่องของขุมพลังใน SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid นั้น มีจุดสังเกตได้หลากหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น กระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบโครเมียม คิ้วโครเมียมตกแต่งตำแหน่งใหม่ที่บริเวณใต้แนวกระจกบานหลัง พร้อมโลโก้ Hybrid สีน้ำเงินฟ้าใต้ป้ายชื่อรุ่นด้านขวา
และส่วนของภายในห้องโดยสารสังเกตได้กับการตกแต่งด้วยลายไม้โทนสีใหม่ที่ดูเข้มกว่าก่อนทั้งส่วนของแดชบอร์ดหน้า แผงประตูข้าง และบนพวงมาลัย เบาะที่นั่งเองเปลี่ยนสีผ้าหุ้มใหม่แบบทูโทน นอกจากนี้จะได้พบกับหน้าปัดดิจิตอลใหม่โทนสีน้ำเงินที่มีจอกลางสีขนาด 4.2 นิ้ว และที่บนพวงมาลัยด้านขวามาพร้อมชุดควบคุมระบบควมคุมความเร็วอัตโนมัติเพิ่มเติมมาให้ มีจอกลางความบันเทิงขนาด 10.1 นิ้ว ที่คุ้นเคยจาก XL7 ใหม่ และแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สายที่สามารถเปิดปิดได้ ยังมีส่วนของระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ที่ทำงานร่วมกับฟังก์ชัน Guide Me Light ไฟส่องสว่างกลางคืน รวมไปถึงการพับกระจกมองข้างอัตโนมัติเมื่อล็อครถ และเมื่อปลดล็อครถตัวกระจกจะยังไม่กางออกในทันที คุณจะต้องมีการกดปุ่ม Push Start ค้างเล็กน้อย จากนั้นกระจกมองข้างจะกางออกให้ทันที
ส่วนของรายละเอียดออพชั่นต่าง ๆ ยังคงเดิม ไม่ว่าจะเป็นชุดไฟหน้าโปรเจคเตอร์ พร้อมไฟตัดหมอก ไฟท้าย LED แบบ light Guides มือเปิดประตูโครเมียม ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง ล้ออัลลอยทูโทนขนาด 15 นิ้ว ในรุ่น GX ส่วนของ GL เป็นสีเงินอีกลวดลายหนึ่ง รัดด้วยยาง 185/65 R15
ภายในห้องโดยสารเองมากับรูปแบบของเบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง เบาะตอนสองสามารถเลื่อนหน้าหลังได้ ปรับระดับพนักพิงได้ และปรับแยกได้แบบ 60:40 แต่ยังไม่มีส่วนของเท้าแขนกลางมาให้ และเบาะแถวที่สามปรับพับได้แบบ 50:50 และปรับระดับพนักพิงหลังได้ พวงมาลัยสปอร์ตมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังทรง D-Shape จอกลางความบันเทิงขนาด 10.1 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth รองรับระบบ Apple Carplay และ Android Auto พร้อมการสั่งงานด้วยเสียงจาก Siri หรือ Google Assistant รองรับการดึงภาพจากโทรศัพท์มือถือขึ้นจอภาพผ่านช่องเชื่อมต่อ HDMI พร้อมด้วยกล้องมองภาพขณะถอยหลัง และเซ็นเซอร์กะระยะถอยหลังเปิดปิดได้
ระบบปรับอากาศอัตโนมัติและปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารตอนหลังปรับระดับความแรงของพัดลมได้ 3 ระดับ ช่องวางแก้วพร้อมเป่าลมเย็น มีระบบ Keyless Entry และ Keyless Push Start
ในช่วงของการขับทดสอบจะขอเล่าถึงขุมพลังที่เป็นไฮไลท์ในครั้งนี้ของ SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid ที่มากับเครื่องยนต์เบนซิน K15B ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 105 แรงม้า แรงบิด 138 นิวตันเมตร เช่นเดิม แต่พ่วงเพิ่มเติมด้วยมอเตอร์ Integrated Starter Generator (ISG) และมีแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 6ah 12V (ติดตั้งบริเวณใต้เบาะผู้โดยสารตอนหน้า) ซึ่งจะช่วยเสริมการทำงานของเครื่องยนต์ช่วยให้เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้นในขณะที่อัตราเร่งคงเดิม จับคู่ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมดิสก์เบรกที่ล้อคู่หน้าและดรัมเบรกที่ล้อคู่หลังเช่นเคย
ฟิลลิ่งการขับขี่ต้องยอมรับว่าไม่แตกต่างไปจาก ERTIGA ที่เราคุ้นเคยนัก เพราะระบบไฮบริดนี้ใน SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid มุ่งเน้นให้มอเตอร์ ISG ช่วยเสริมการทำงานของเครื่องยนต์ทำให้เครื่องยนต์ฉีดน้ำมันน้อยลงในขณะที่การตอบสนองยังคงทำได้ดีเหมือนเดิม ส่งผลให้รถประหยัดน้ำมันขึ้นในระดับหนึ่ง แต่คุณไม่สามารถขับขี่ใช้งานในโหมด EV ล้วน ๆ ได้
โดยมอเตอร์ ISG นี้จะทำงานเสริมแรงให้เครื่องยนต์ในช่วงของการออกตัวและการเร่ง ในจังหวะที่เรากำลังเคลื่อนตัวไหล ๆ ออก มอเตอร์จะยังไม่ได้ทำงาน แต่เมื่อเราค่อย ๆ กดคันเร่งไประดับหนึ่งมอเตอร์จะเข้ามาช่วย และด้วยแป้นคันเร่งที่มีความหน่วง ๆ ในขณะที่เราค่อย ๆ เติมคันเร่งลึกลงไป รู้สึกได้ว่ารถมีกำลังและไต่ความเร็วขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง โดยที่เราไม่ต้องกดคันเร่งลงไปเยอะเหมือนรุ่นก่อนที่ไม่มีระบบนี้
หากแต่ว่าเรามีการคิกดาวน์คันเร่งเรียกกำลังในทันทีเจ้ามอเตอร์ ISG นี้จะไม่ได้เข้ามาช่วยเสริมเครื่องยนต์ ดังนี้แล้วการจะขับขี่ให้ประหยัดมากยิ่งขึ้นด้วยระบบใหม่นี้ คุณน่าจะต้องใช้การเติมคันเร่งแบบต่อเนื่องค่อย ๆ ลึกลงไป และมีการยกเท้าและเติมคันเร่งลงเป็นจังหวะ ๆ การขับขี่ลักษณะนี้ในช่วงการขับขี่นอกเมืองที่ไม่ได้จอดติดดับเครื่องยนต์บ่อย ๆ เหมือนในเมือง อัตราสิ้นเปลืองก็น่าจะทำได้มากยิ่งขึ้น
นั้นหมายความว่าการขับขี่ในเมืองที่มีการใช้งานระบบ Idling Stop ทำงานบ่อย ๆ ครั้ง ก็ยิ่งช่วยให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้นดีมากขึ้น แต่ก็ตามมาด้วยการที่ระบบคอมเพรสเซอร์แอร์จะไม่ทำงาน ส่งผลให้ความเย็นในห้องโดยสารดรอปลง แต่ตัวรถเองก็มีการวัดอุณหภูมิในรถอยู่ ซึ่งหากอุณหภูมิในห้องโดยสารเพิ่มขึ้นกินกว่าอุณหภูมิที่เราตั้งไว้ เครื่องยนต์ก็จะกลับมาทำงาน โดยมอเตอร์ ISG จะทำหน้าที่ในการสตาร์ตเครื่องยนต์อีกครั้ง โดยที่ไม่ต้องรอให้เรายกเท้าจากเบรกก่อน และการสตาร์ตด้วยมอเตอร์ ISG ใหม่นี้ ค่อนข้างมีความเงียบกว่าการสตาร์ตรถครั้งแรกด้วยมอเตอร์สตาร์ตที่ยังมีอยู่ รวมไปถึงเจ้ามอเตอร์ ISG นี้ยังคงมีหน้าที่ในการสร้างกระแสไฟฟ้ากลับไปให้แบตเตอรี่ทั้งสองในระบบอีกด้วย
ซึ่งหลาย ๆ คนน่าจะอยากทราบกันแล้วว่า แล้วอัตราสิ้นเปลืองของ SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid ใหม่นี้ ดีขึ้นมากขนาดไหน ต้องยอมรับว่าการขับทดสอบในครั้งนี้ด้วยระยะเส้นทางทดสอบที่ไม่ยาวนักบวกกับเวลาที่จำกัด จึงทำให้เราอาจยังไม่ได้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่จะใช้อ้างอิงได้ในครั้งนี้ ทางซูซูกิจึงได้ให้ตัวเลขอ้างอิงในการทดสอบเปรียบเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์เบนซินปกติมาให้ ดังนี้
ERTIGA 2018 / ERTIGA Smart Hybrid
ในเมือง 12.7 km/l / 15.9 km/l
นอกเมือง 18.5 km/l / 19.2 km/l
ภาพรวม 15.9 km/l / 17.9 km/l
แน่นอนว่านี่เป็นตัวเลขจากการทดสอบที่ทางค่ายอ้างอิงออกมาให้ได้ทราบกันในเบื้องต้น หากมีโอกาสในครั้งต่อไปทางทีมจะได้นำรถมาขับทดสอบกันแบบเต็ม ๆ อีกครั้ง เพื่อจะได้ทราบกันอย่างแน่ชัดว่า SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid ใหม่นี้ มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไหร่จากการขับขี่ใช้งานจริงในชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไป
และในส่วนของฟิลลิ่งการควบคุมรถต่าง ๆ ยังคงเดิม พวงมาลัยมีน้ำหนักที่เบากำลังดีในช่วงของการขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น การเคลื่อนตัวในช่วงความเร็วต่ำ จากจุดหยุดนิ่งนั้นคล่องตัวสูงมากทีเดียว การเปลี่ยนเลนไปมาทำได้อย่างคล่องแคล่ว ทัศนวิสัยในการขับขี่เห็นได้อย่างชัดเจน ด้วยตำแหน่งเบาะที่สามารถปรับสูงต่ำได้และท่านั่งในการขับขี่ทำให้สามารถมองและเห็นรอบ ๆ ได้อย่างสะดวกและมั่นใจ กระจกบานหน้าขนาดใหญ่ น้ำหนักของแป้นเบรกสามารถค่อย ๆ กดลึกเพื่อความนุ่มนวลในการหยุดรถได้ง่าย ไม่ไวเกินไปจนอาจทำให้ผู้โดยสารเวียนหัว
ตัวรถยังคงถูกเช็ตมาให้เน้นไปทางนุ่มในการโดยสาร แต่ไม่มีอาการย้วยให้รู้สึก การขับขี่ผ่านถนนที่ไม่เรียบหรือต่างระดับ ช่วงล่างสามารถซับแรงได้ดีสำหรับรถในระดับนี้ ไม่ทำให้รู้สึกว่าตัวรถกระเด้งกระดอน การควบคุมตัวรถผ่านโค้งต่าง ๆ ด้วยความเร็วสามารถทำได้อย่างมั่นใจแม้ว่าตัวรถจะสูงก็ตาม
ส่วนของรายละเอียดอื่น ๆ ตัวรถยังคงมาพร้อมแพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิที่ช่วยเพิ่มทั้งสมรรถนะและความปลอดภัย ช่วงล่างทำจากเหล็ก High Tensile เชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อความแข็งแกร่งและปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทนทานด้วยโครงสร้างตัวถัง TECT ออกแบบจากเหล็กกล้าทำให้ทนทานต่อการสึกหรอ พร้อมระบบ NVH ให้การขับขี่นุ่มนวล ดูดซับแรงสั่นสะเทือน พร้อมลดเสียงรบกวนตลอดเส้นทาง มีระบบถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า ระบบเบรก ABS ช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน พร้อมระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรกได้อย่างสมดุล ระบบ ESP ที่ช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวให้เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน และมีจุดยึดเบาะนั่งนิรภัย ISOFIX และ Top tether สำหรับเด็กอีกด้วย
มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่สีใหม่สี Mellow Deep Red, Magma Gray, Snow White และ Cool Black โดยมี 2 รุ่นย่อย คือ GL และ GX
***(รอการเปิดตัวเป็นทางการวันที่ 30 พ.ย. นี้)
ราคาจำหน่าย SUZUKI ERTIGA Smart Hybrid ดังนี้
GL ราคา Xxx,xxx บาท***
GX ราคา Xxx,xxx บาท***
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com