Porsche World Roadshow 2019 มหกรรมการทดสอบรถยนต์ตัวแรง Porsche หลากรุ่น
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 2 มี.ค. 62 00:00
- 6,668 อ่าน
ใครที่ติดตามข่าวสารวงการรถยนต์อยู่บ่อย ๆ น่าจะเคยได้ยินชื่อกิจกรรมอย่าง Porsche World Roadshow กันมาบ้างแล้ว ซึ่งกิจกรรมนี้จัดขึ้นโดยสำนักงานใหญ่ของ Porsche ในเยอรมนี ที่นำเอารถตัวท็อปของค่ายหลากหลายรุ่น เอาไปแสดงโชว์ตามเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่สนใจ สามารถมาลองขับแบบสุดทีนในสนามที่ดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ ผลัดเปลี่ยนไปปีละประเทศ
ด้วยความโชคดีของประเทศไทยอีกครั้ง ที่กิจกรรม Porsche World Roadshow 2019 ได้เวียนมาจัดในประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปแล้ว 6 ปี โดยความร่วมมือระหว่าง ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็น ทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ร่วมกับ ปอร์เช่ ประเทศเยอรมนี ทำให้บรรดาสื่อมวลชน, ลูกค้าของปอร์เช่ รวมทั้งผม ในฐานะของทีมงาน AUTODEFT ก็มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมในปีนี้เช่นกัน โดยกิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นที่ ปทุมธานี สปีดเวย์
กิจกรรม Porsche World Roadshow 2019 จัดขึ้นเพื่อให้กลุ่มสื่อมวลชนและ เหล่าผู้หลงใหลความเร็วได้ร่วมสัมผัสสุดยอดประสบการณ์สุดเร้าใจหลังพวงมาลัยของยนตรกรรมสปอร์ตชั้นยอดหลากหลายรุ่นจากปอร์เช่พร้อมด้วยโปรแกรมขับขี่ในสถานีที่ออกแบบขึ้นเพื่อเสริมสร้างทักษะในการควบคุมรถยนต์ ให้การขับขี่เป็นไปอย่างปลอดภัย ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ โดยเน้นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนามากจากรถแข่งในกีฬามอเตอร์สปอร์ตซึ่งถูก ถ่ายทอดมาไว้ในรถปอร์เช่ทุกคัน ดูแลการขับขี่โดยทีมผู้เชี่ยวชาญการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่ (Porsche Instructor) จากประเทศเยอรมนี มาร่วมให้คำแนะนำ พร้อมสาธิตการขับขี่อย่างใกล้ชิด ดังนั้นความปลอดภัยมีสูงมากอย่างแน่นอน
โดยในวันนี้ เราจะได้สัมผัสสุดยอดยนตรกรรมจากปอร์เช่ทุกรุ่นพร้อมด้วยสายพันธุ์เทอร์โบและจีทีเอส ที่ถูกส่งตรงจากโรงงานปอร์เช่ เยอรมนี กว่า 15 รุ่น อาทิ 911 GT3, 911 Targa 4 GTS, 911 Turbo Coupe, Panamera Turbo Sport Turismo, Panamera GTS, Cayenne Turbo, 718 Boxster GTS, 718 Cayman GTS รวมทั้ง Macan และ Macan S พร้อมเซอร์ไพรส์พิเศษด้วยด้วยการปรากฎตัวครั้งแรกของ The New Porsche 911 Carrera S (992) รถสปอร์ตรุ่นเรือธงในตำนานของปอร์เช่ให้ผู้ร่วมงานได้ชื่นชมก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่ด้วยความที่รถทุกคันนั้น ถูกส่งตรงมาจากเยอรมนี ดังนั้น เกือบทุกคันที่ขับขี่ จะเป็นพวงมาลัยฝั่งซ้ายทั้งหมด จะยกเว้นเพียงชุดเดียวเท่านั้นที่เป็นฝั่งขวา ดังนั้นในฐานะเป็นผู้ทดสอบรถยนต์ ถึงจะขับขี่มาทุกรูปแบบแล้ว แต่การขับสไตล์ Performance ยังไม่เคยขับพวงมาลัยซ้ายมาก่อน งานนี้ก็คงวต้องระมัดระวังมากขึ้นเป็น 2 เท่าตัว
โดยโปรแกรมการขับขี่ที่พวกเราจะได้สัมผัสตลอดระยะเวลา 1 วันเต็ม คือสถานีการขับขี่ต่างๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญการขับขี่รถยนต์ปอร์เช่ได้ออกแบบไว้ ได้แก่
- สถานี “Handling” ผู้ขับขี่จะได้สัมผัสถึงอาการ ของรถเมื่อมีการเปลี่ยนทิศทาง หรือการเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ในสถานีนี้จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ การยึดเกาะถนนและระบบช่วงล่างของรถยนต์ปอร์เช่ได้เป็นอย่างดี
- สถานี “Braking & Slalom” ในสถานีนี้ผู้ขับขี่ จะได้พบกับระบบเบรกที่มีความปลอดภัยสูงสุดของรถยนต์ปอร์เช่ทั้งระบบรักษาเสถียรภาพและระบบป้องกันการลื่นไถลบนท้องถนน โดยผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำวิธีการใช้เบรกในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือการเบรกกะทันหัน อย่างถูกต้องและปลอดภัย พร้อมกันนี้จะได้
- สถานี Moose Test สถานีนี้ผู้ขับขี่จะได้ทดสอบ ประสิทธิภาพของระบบ Porsche Stability Management (PSM) ซึ่งผู้ขับขี่จะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของเสถียรภาพการทรงตัวของรถเมื่อเปิดและปิดระบบ PSM ได้อย่างชัดเจน และเรียนรู้วิธีการควบคุมรถยนต์โดยใช้พวงมาลัยหักหลบสิ่งกีดขวางบนถนน พร้อมกับการควบคุมทิศทางที่แม่นยำและความคล่องตัวของรถขณะเข้าโค้งทางแคบด้วยความเร็ว รวมถึงศักยภาพการทรงตัวของรถยนต์ปอร์เช่ที่เป็นเลิศ
- สถานี E-Performance Road Tour ปิดท้ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟด้วยการขับขี่บนถนนจริง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สัมผัสสุนทรียภาพและความเหนือระดับของการขับขี่ รถยนต์ปอร์เช่ ทดสอบสมรรถนะระบบขับเคลื่อนของ E-Hybrid ในบรรยากาศจริงบนถนนสาธารณะ โดยสถานีนี้ จะเป็นสถานีเดียวที่รถนั้นจะเป็นพวงมาลัยด้านขวาทั้งหมด
เราถูกแบ่องออกมาเป็นทั้งหมด 4 กลุ่ม กลุ่มละประมาณ 8 คน แบ่งแยกกันไปทดสอบตามสถานีต่าง ๆ แล้วเวียนสลับไปจนครบ โดยกรุ๊ปผมนั้นเป็นกรุ๊ปสีชมพูครับ (แหววเชียว) เริ่มเข้าไปจับที่สถานี Handling ก่อนเลย ก่อนออกทดสอบ ก็ได้มีการเริ่มฟังบรีฟเส้นทาง และวิธีการขับขี่กันเล็กน้อย ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่การทดสอบจริง อธิบายคร่าว ๆ ก็คือเส้นทางจะเริ่มด้วยทางตรงประมาณ 150 เมตร ก่อนที่จะเจอทางโค้งด้านขวา แล้วพุ่งตรงไปอีกประมาณ 180 เมตร ก่อนที่จะเจอทางกั้น ที่เราต้องหักกระทันหัน ขวาที ซ้ายที แล้วตีโค้งขวาอีกทีเพื่อเข้าสู่ช่วงทางตรงประมาณ 300 เมตร เพื่อเจอทางกั้นอีกรอบ หักขวาที ซ้ายที แล้วขวาอีกครั้งเพื่อเข้าทางโค้งรูปตัว U พอพ้นโค้ง จะเข้าทางตรงอีกประมาณ 200 เมตร เจอทางกั้นอีกรอบ หักซ้ายที ขวาที แล้วซ้ายอีกรอบเพื่อเข้าโค้ง กดทางตรงต่ออีก 100 เมตร ก่อนจะโค้งกว้างด้านซ้ายอีกรอบ เข้าสู่ทางตรง 100 เมตร สุดท้าย เป็นอันจบ 1 รอบ โดย 1 คน จะได้ขับทั้งหมด 2 รอบ ทุกรอบจะขับนำโดย Instructor โดยรอบแรกจะเป็นรอบแนะนำเส้นทาง ความเร็วระดับปานกลาง ก่อนที่รอบ 2 จะเป็นแบบกดเต็ม เดี๋ยวเรามาเริ่มดูกันทีละรุ่นเลยครับ
รุ่นแรกที่ได้ลองขับ ก็คือ Porsche 718 Cayman GTS สปอร์ตคูเป้ตัวแรงระดับ 365 แรงม้า เริ่มรอบแรกเบา ๆ ด้วยโหมด Sport ธรรมดาก่อน สัมผัสแรกที่ชอบมากคือ อัตราเร่งที่มาไวมาก กดคันเร่งปั๊บ มาปุ๊บ ไม่ต้องรอรอบเหมือนรถบ้านทั่วไปเลย (แหงล่ะสิ) เสียงดังกังวาลไพเราะเสนาะหู ชวนให้ขยี้คันเร่งกันอยู่ตลอดเวลา ช่วงเข้าโค้งนิ่ง แต่รอบแรกยังวัดอะไรไม่ได้ เพราะออกแนววอร์มเครื่องกันอยู่ พอรอบ 2 ปั๊บ Instructor คันหน้าก็หนีออกตัวไปเลย เราในฐานะผู้ตามที่ดี ก็ต้องกดตามสิครับ รออะไร โดยรอบนี้ผมเปลี่ยนมาใช้งานโหมด Sport+ แล้ว สิ่งที่สัมผัสได้ก่อนเลยคื ช่วงล่างที่แข็งขึ้น แต่เฟิร์มขึ้น กด150 เมตรแรกอย่างเต็มทีน รถพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่ต้องกดเบรกเต็มเพื่อชะลอเข้าโค้ง ก่อนที่จะกดเต็มที่อีกรอบเมื่อผ่านเข้าถึงครึ่งโค้ง รถพุ่งกระชากออกไปอีกรอบ จนต้องเบรกกันสุดทีนอีกครั้งเมื่อเจอกำแพงในโค้งต่อมา ช่วงนี้ต้องหักแบบ Slalom 2 ที ก่อนที่จะกดเข้าโค้ง เพื่อส่งรถออกไปสู่ทางตรงยาว ช่วงนี้สะใจมาก มีเท่าไหร่ เราก็กดเต็มเท่านั้น ระยะทางเพียง 300 กว่าเมตรเท่านั้น ผมเหลือบมองความเร็วที่ทะยานขึ้นไปถึง 150 กม./ชม. ก่อนจะกดเบรกอีกครั้ง เพื่อหักหลบกรวยกั้น แล้วส่งตัวรถเข้าโค้งยาวอีกที ช่วงเข้าโค้งนี้ ทำให้รู้เลยว่ารถมันเอาอยู่จริง ๆ ไม่มีอาการเป๋หรืออาการหลุดออกมาเลย อาจจะมีบ้างที่รู้สึกว่าท้ายไหล แต่ไหลแบบมัน พวงมาลัยคุมอยู่ แบบนี้ก็มันสิครับ กดคันเร่งให้เร็วกว่าเดิม ก่อนที่จะเข้าสู่ทางตรง แล้วก็เจออีก โค้ง ก่อนที่จะเข้าสู่เส้นชัย สรุปแล้ว แค่รุ่นแรกก็โคตรมันแล้ว
จบคันแรกมาต่อคันที่ 2 กับ Porsche 911 GT3 อีก 1 ตัวแรงระดับ 500 แรงม้า ราคา 19 ล้าน คันนี้ขับขี่ในโหมดปกติครับ (เลือกไม่เป็น) พอได้นั่งแล้วเบิ้ลเครื่อง โว้ว มันคำรามมันกว่าคันเมื่อกี้อีก เสียงสนั่นมาก พอเริ่มออกวิ่ง ของ 718 GTS ก็ว่าพุ่งแล้ว คันนี้โคตรกระชากวิญญาณ กดแค่ทางตรงแรกก็มันสะใจแล้ว ประหนึ่งวิญญาณเรายังอยู่ที่จุดเริ่มต้น แต่ตัวรถถึงโค้งแรกแล้ว เรื่องเข้าโค้งก็ดีมากประมาณเดียวกับ 718 แต่ความแรกมันช่างห่างกันเหลือเกิน ช่วงทางตรงกดกันไปได้ 165 กม./ชม. เชรด รถหรือจรวด จบการทดสอบไปด้วยความมันสะใจ อยากซัดต่อยาว ๆ อีกซัก 80 รอบ
รอบต่อมาต้องเปลี่ยนไปลงที่ Compact SUV อย่าง Porsche Macan S ตัวแรง 340 แรงม้า พอสั่งออกตัว เราก็กดกันตามเขาไป แหม่ ทำไมมันช่างอ่อนโยนขนาดนี้ นี่เราคงเปลี่ยนระดับความแรงเร็วเกินไป ทำให้เจ้า Macan S ดูต้วมเตี้ยมไปเลย แถมการเข้าโค้งก็ต่างกันมาก ด้วยความที่ทรงรถอเนกประสงค์มันสูงโด่ง ทำให้การเข้าโค้งมันสู้รถที่เป็นทรงสปอร์ตไม่ได้อยู่แล้ว เราเลยรู้สึกถึงความโคลงในยามเข้าโค้งได้มากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเข้าโค้งไม่ดีนะ มันดีกว่ารถอเนกประสงค์ในท้องตลาดทั่วไปแน่ แต่เมื่อเทียบกับ 2 ตัวแรกที่ลองกัน มันก็ค่อนข้างห่างกันพอตัวเลย (รวมทั้งราคาด้วย)
รอบสุดท้ายกับ Porsche Panamera GTS รถสปอร์ต Executive car สุดหรู ที่มาพร้อมความแรงระดับ 460 แรงม้า และยังเป็นคันเดียวในกลุ่มที่เป็นระบบขับเคลื่อน AWD มันก็จะได้ Feeling ที่แปลกจากเดิมไปหน่อย โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยที่ทำงานเร็วกว่าชาวบ้านเขาเยอะเลย โดยในรุ่นนี้จะพิเศษกว่าชาวบ้านเล็กน้อย เมื่อขับด้วยความเร็วสูง ปีกด้านหลังจะทำการกางออกเพื่อรับลมให้กดตัวรถเอาไว้เกาะพื้นมากกว่าเดิม พอความเร็วปกติ ก็จะหดกลับไปประจำที่เดิม (โคตรล้ำ) โดยรอบนี้ ก็ขับตามปกติแหละครับ กำลังเครื่องดีกว่า Macan พอตัว แต่สิ่งที่ต่างคือ เรื่องความปลอดภัย เราก็ขับเหมือนทุกคันแหละ แต่กับคันนี้ ช่วงที่คันหน้าเบรกเพื่อหักหลบ รถเราดันเบรกให้เองก่อนซะนี่ แถมยังดึงตัวเข็มขัดให้แน่ขึ้นอีกต่างหาก เรียกได้ว่า ระบบความปลอดภัยมันทำงานเร็วมาก เร็วจนตกใจ เพราะเราเอง สมองยังบอกอยู่เลยว่ายังไงก็เบรกทัน และอีกอย่างที่ต่างไหปคือตอนเข้าโค้ง มันมีอาการท้ายไหลมากกว่าคันอื่น แต่มันไหลแบบที่ไปต่อได้สบาย คล้ายดริฟท์แต่ไม่ใช่ เพราะทั้งล้อหน้าและล้อหลังหมุนสัมพันธ์กันตามความแรงช่วงเข้าโค้ง ทำให้รถสามารถผ่านทุกโค้งไปได้แบบไม่ต้องลุ้นอะไร ถึงแม้ผมจะใส่เต็มไปไม่น้อยไปกว่า 2 คันแรกก็ตาม (เว้น Macan S ไว้คัน ไม่งั้นอาจมีการทำงานใช้หนี้หัวโต) จบรอบไป ถือว่าจบกันไปในสถานีแรก แค่เริ่มต้นก็มันเต็มที่แล้ว
ถัดมากับสถานี “Braking & Slalom” ที่เราต้องขับรถเข้าไปในช่องทางที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งเป็นกรวยวางห่างกันจำนวนหลายอัน ต้องกันซ้าย-ขวารวมกันซักประมาณ 6 รอบ ก่อนจะเข้าโค้งใหญ่เพื่อกลับรถ แล้ววนเข้ามา Slalom กันอีกรอบ พอหมดกรวยแล้ว ต้องขับเข้าไปเบรกในช่องที่กำหนดไว้ โดยให้ทั้งล้อหน้าและล้อหลังอยู่ภายในช่อง ไม่เลยหรือล้าเส้นออกไปทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รอบนี้เราจะใช้งาน Porsche 718 Boxster GTS รถสปอร์ตพันธุ์แรง 365 แรงม้า โดยรอบนี้มีเดิมพันกันเล็กน้อย เพราะคนที่สามารถทำเวลาได้ดีที่สุด จะได้รับถ้วยรางวัลไป ซึ่งโดมินิค ที่เป็น Instructor คอยดูแลกลุ่มเรานั้น บอดเทคนิคเล็กน้อยว่า แนะนำหลักง่าย ๆ คือ ใช้คันเร่งให้เนียนที่สุด อย่าย่ำไปปล่อยไปบ่อย ๆ และให้หันพวงมาลัยให้น้อยที่สุด ขับรถให้ชิดกรวยให้ได้มากที่สุด เท่านี้เวลาก็จะดีมากแล้ว (พูดง่ายนี่) เอาจริงแล้ว ผมก็ผ่านการขับขี่แบบ Slalom มานักต่อนักแล้ว แต่รอบนี้ดันต้องขับเป็นรถพวงมาลัยซ้ายนี่สิ หนักใจ เพราะมันไม่ค่อยชิน ทำให้การกะระยะทำด้วยสัญชาตญาณล้วน ๆ โดยรอบแรกขับเบา ๆ ก่อน เพื่อลองเส้นทาง ส่วนรอบ 2 และ 3 จะจับเวลา ใครชนกรวย บวก 3 วินาที/กรวย จอดล้ำเส้นในกรอบ บวกอีก 3 วินาที รถกำลังเครื่องดีมากครับ กดสั่งแล้วมาเลย พวงมาลัยก็แม้นแม่น หันอย่างไหนได้อย่างนั้น รอบแรกก็ค่อย ๆ เดิคันเร่งไปเบา ๆ แล้วหักพวงมาลัยให้น้อยที่สุดไปเรื่อย ๆ รอบแรกผ่านไปด้วยดี รอบ 2 พอจับเวลาเริ่มกดดัน พอธงสบัดปั๊บ กดคันเร่งไปเต็มที่ รถมันพุ่งออกไปจนความเร็วเกินกว่าจะเข้าช่องได้ กดเบรกแทบไม่ทัน แต่ก็ผ่านช่องต่าง ๆ ไปจบอย่างสวยงาม ไม่มีการชนกรวยเลย รอบ 3 ลองดูแบบเต็มที่บ้าง เติมคันเร่งให้มากกว่าเดิม สรุปชนกรวยไปช่วงขากลับ ด้วยความที่ใส่คันเร่งเยอะไปหน่อย รถเลยออกนอกเส้นทางมากไป หักกลับไม่ทัน เลยโดนบวกเวลาไป จบรอบสถานีนี้ด้วยความสนุกอีกเช่นเคย (ไม่ได้รางวัลนะจ๊ะ)
สถานีที่ 3 ของกรุ๊ปสีชมพู (หวานแหวว) จะเป็น E-Performance Road Tour ครับ รอบนี้จะเดินทางไปด้วย Porsche Panamera E-Hybrid 462 แรงม้า และ Cayenne E-Hybrid 462 แรงม้า รถสไตล์ Plug-in Hybrid ทั้งคู่ โดยรอบนี้ทาง Instructor อยากให้เห็นความแตกต่างระหว่างการใช้เครื่องยนต์, เครื่องยนต์+ไฟฟ้า และไฟฟ้าล้วน ด้วยการออกถนนจริง ซึ่งมันเห็นความแตกต่างได้มากจริง ๆ เพราะการใช้เครื่องยนต์อย่างเดียว มันก็แรงในระดับหนึ่ง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากดคันเร่งเต็มที่ และมีไฟในแบตเตอรี่มากพอ รถจะเปลี่ยนความแรงเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ จากการทำงานรวมกันทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ทะยานออกไปแบบสะใจ มันทุกครั้งที่กดคันเร่งเต็มทีน และเมื่อยามใช้งานระบบไฟฟ้านั้น รถอาจจะวิ่งไม่กรโชกโฮกฮาก แต่ก็วิ่งได้เงียบ นุ่มนวล ไม่มีเสียงเครื่องดังอีกต่างหาก และเราสามารถใช้โหมดนี้ได้จนถึงความเร็วระดับ 120 กม./ชม. ได้อย่างสบาย จบสถานีที่ 3 ไปด้วยความง่วงเต็มที่
สถานีที่ 4 ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของวันแล้ว ชื่อสถานี Moose Test จะมีการทดสอบ 2 แบบคือ ให้กดรถด้วยความเร็วเต็มที่ ก่อนจะกดเบรกเต็มที่เมื่อถึงจุดที่กำหนด แล้วหักหลบไปซ้ายหรือขวาก็ได้ตามสะดวก จนกว่าตัวรถจะหยุดนิ่ง โดยแบบแรกจะทดสอบด้วยการใช้งาน Porsche 911 Turbo Coupe สปอร์ตสุดแรง 540 แรงม้า (22 ล้าน) และแบบที่ 2 คือ การกดคันเร่งเต็มเช่นกัน แต่คราวนี้เมื่อถึงทางแยก ให้หักขวาผ่านแยก แล้วหักซ้ายกลับมา ก่อนที่จะกดเบรกให้เต็มที่อีกครั้ง เพื่อดูอาการของรถกัน โดยแบบที่ 2 เราจะใช้ Porsche 911 Targa 4 GTS 450 แรงม้า ในการทดสอบ โดยรอบแรกนั้น ทาง Instructor จะทำการขับให้เราดูก่อน 1 รอบ ก่อนที่จะให้เราขับด้วยตัวเองอีก 3 รอบ รอบแรกให้กดคันเร่งธรรมดาเต็มที่ก่อน ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว Porsche Stability Management หรือ PSM เอาไว้ด้วย ส่วนรอบ ก็จะเปิดระบบ PSM เหมือนกัน แต่จะออกตัวด้วยการทำ Launch Control วิธีการทำก็ง่าย ๆ เพียงแค่กดเบรกให้สุดด้วยเท้าซ้าย จากนั้นก็กดคันเร่งตามให้สุดด้วยเท้าขวา หน้าปัดจะแจ้งว่า Launch Control (หรืออะไรประมาณนี้) และเมื่อเราปล่อยเบรกออก รถจะเอากำลังที่มีอยู่ทุกซอกมุมในตัวเครื่อง มาผลักตัวรถให้ออกตัวไปได้เร็วที่สุด เราก็จะเหมือนวิญญาณหลุดออกไปจากร่าง แล้ววิ่งกลับมาทันก่อนที่เราจะเบรกในจุดที่กำหนดเอาไว้ ส่วนรอบสุดท้ายคือการปิดระบบ PSM ออก แล้วออกด้วยด้วยการทำ Launch Control แล้วมาดูความต่างของการเปิดและปิดระบบ ว่ามีมากขนาดไหน
ผมเริ่มทดลองในแบบแรกก่อนครับ บนรถ Porsche 911 Turbo Coupe ในรอบแรกนั้น รถเบรกดีมากครับ ถึงแม้ว่าจะกดเบรกเต็มที่ ABS ทำงาน รถก็สามารถหักหลบเข้าช่องไปได้อย่างงดงาม ส่วนรอบ 2 ที่ต้องออกตัวด้วย Launch Control นั้น มันสุด ๆ ทุกส่วนในร่างกายรับแรง G ระดับ 1.29 ข้างทางกลายเป็นสีเดียวกัน ก่อนที่จะกดเบรกแล้วหักเข้ามุมได้อย่างสนุกสนาน และยกสุดท้าย ที่ต้องกดปิดระบบตัวช่วยและออกตัวด้วยการ Launch Control ก่อนออกตัวก็หวั่น ๆ หน่อย เพราะเกรงว่าอาจจะคุมรถที่แรงแบบนี้ไม่อยู่ คิดในใจอย่างเดียวว่า จะต้องใช้พวงมาลัยให้น้อยที่สุด และเมื่อออกตัวไป มันกระชากวิญญาณหายไปอีกครั้ง ก่อนที่จะกดเบรกเต็มเท้า รถออกอาการเสียหลักนิดหน่อย ก่อนที่จะหักหลบออกไปทางด้านขวา รถไถลออกข้างไปมากกว่าตอนเปิดระบบ PSM แต่ก็ยังควบคุมได้จนรถหยุด ถือว่าตัวรถถูกเซ็ตมาได้ดีมาก ถึงระบบช่วยจะหายไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวรถเสียหลักออกอาการอะไรได้มากมาย แต่นั่นเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร แต่ในสถานการณ์จริงนั้น ทุกอย่างจะเข้ามาเร็วมาก เราอาจจะหักพวงมาลัยมากกว่านี้ และตัวรถอาจจะเสียหลักมากกว่านี้ ดังนั้นการเปิดระบบเอาไว้ ดีที่สุดครับ อย่าประมาทเอามันเลย
และยกสุดท้ายของวันนี้ กับรูปแบบทดสอบที่ 2 นั่นคือการหักหลบแบบ Moose Test ด้วยเจ้า Porsche 911 Targa 4 GTS รอบแรกก็ชิว ๆ ครับ ความเร็วที่พุ่งเข้าไปตรงทางแยกที่หักหลบ อยู่ที่ราว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง หักขวา 1 ที ก่อนที่จะหักซ้ายกลับมาอีก 1 ที แล้วกดเบรกเต็มทีน รถก็หยุดได้ดังใจแล้ว รอบ 2 คราวนี้ออกตัวแบบ Launch Control ความเร็วที่เข้าไปคือประมาณเกือบ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง หักหลบเกือบไม่ทัน แต่ก็ยังพ้นกรวย หักกลับอีกรอบแล้วกดเบรก รถก็หยุดได้ตามสั่งเช่นเดิม คราวนี้ปิดระบบหมด ตอนหักน่ะไม่เท่าไหร่ครับ ตอนหักกลับแล้วเบรกเนี่ย รถเบรกแบบแถข้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด รถจอดได้อย่างใจ ถึงแม้จะจอดไม่ตรงเหมือนกับตอนเปิดระบบความปลอดภัยเอาไว้ก็เท่านั้นเอง
Porsche World Roadshow 2019 ถือเป็นกิจกรรมที่คนที่ใช้งาน Porsche ควรได้ร่วมเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นวันที่คุณมีโอกาสได้สัมผัสความแรงของรถสปอร์ตค่ายนี้กันอย่างเต็มที่ และยังได้ฝึกฝนทักษะในรูปแบบที่คุณไม่สามารถทำเองได้อย่างง่าย ๆ แน่นอน ครั้งหน้าถ้ากลับมาจัดที่บ้านเราอีกเมื่อไหร่ บอกได้คำเดียวว่าห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับผม
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com