Test Drive รีวิว ทดลองขับ Nissan Terra Sport รถ PPV คุ้มกว่านี้ หาได้จากไหน

ถ้าให้เอ่ยถึงน้องใหม่ในตลาดรถอเนกประสงค์แบบ PPV ในประเทศไทย คันที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ก็คงต้องเอ่ยถึงรถค่ายญี่ปุ่นอย่าง Nissan Terra อย่างแน่นอน

ในวันที่ Nissan Terra เข้ามาทำตลาดครั้งแรก ก็โดนค่อนแคะว่า ทำไมมาเอาป่านนี้ สมกับฉาญาว่า “เจ้าพ่อตลาดวาย” ตัวจริง แถมการเข้ามาครั้งแรก ยังมาไม่เหนือคู่แข่งอีก ทั้งเรื่องของด้านการออกแบบ และออพชั่นต่าง ๆ (ขนาดเบรกหลังยังเป็นดรัมเบรก ทั้งที่คู่แข่งในตลาดทั้งหมดเปลี่ยนไปเป็นดิสก์เบรกกันหมดแล้ว) เล่นเอาการลงตลาดครั้งแรกก็หงอยเอาเรื่องเหมือนกัน

การเปลี่ยนแปลงมาเริ่มเอาเมื่อปี 2021 หลังช่วงระบาดหนักของ Covid-19 ที่ทางนิสสันเริ่มปรับกลยุทธใหม่ ด้วยการอัพเกรดตัวรถของ Nissan Terra ใหม่ ทั้งเรื่องการออกแบบ, ออพชั่น รวมทั้งเรื่องของราคาที่ทำเอาตลาด PPV สะเทือนเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะรอบนี้นอกจากออพชั่นจะเกือบครบเท่าที่ในตลาดมีกันแล้ว ราคาตัวบนสุดยังจบที่เพียง 1,499,000 บาทเท่านั้น เป็นราคาที่ในบางรุ่นของคู่แข่ง จะได้เพียงรุ่นเริ่มต้นหรือรุ่นกลาง ๆ ออพชั่นน้อยเท่านั้นเอง ในวันนั้นแหล่ะที่ทำให้ Nissan Terra เข้ามาเป็นคู่แข่งทางการตลาดในรถกลุ่มนี้อย่างเต็มตัว

จนมาถึงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นิสสันก็ได้ทำการปล่อยรถใหม่ 2023 กับชุดแต่งใหม่สีดำ เรียกกันว่า Nissan Terra Sport ที่เพิ่มชุดแต่งสีดำอีก 22 จุด แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิง Performance แต่อย่างใด พร้อมประกาศราคาขายใหม่ในรุ่นย่อยนี้แบบมีความสุขที่ 1,555,000 บาท ก็เป็นอีกทางเลือกให้คนได้เลือกซื้อแบบหล่อตรงใจสายซิ่งได้มากขึ้นประมาณหนึ่ง

เวลาผ่านไปประมาณครึ่งปี ทางทีมงาน AUTODEFT ก็ได้รับหมายเชิญเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ เพื่อรีวิวตัวรถ Nissan Terra Sport กันอีกครั้ง ซึ่งเอาจริง ๆ ผมห่างหายจากการขับรถคันนี้ไปร่วมเกือบ 2 ปีเลยทีเดียว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นช่วงปลายปี 2021 เลย เอาเป็นว่า เรามาลำลึกความหลังในการขับขี่รถคันนี้ดีกว่าครับ

ก่อนเริ่มขับ เรามาทบทวนสเปกกันก่อนเล็กน้อยดีกว่าครับ เรามาเริ่มจากเรื่องของชุดแต่งสีดำที่ใส่เข้ามาก่อน ว่ามีอะไรบ้างใน 22 จุดบน Nissan Terra Sport โดยจะมีรายการดังนี้

• กระจังหน้าสีดำ สปอร์ตพรีเมียม
• ชุดตกแต่งกันชนหน้า และ กันชนหลังสีดำเงาสไตล์สปอร์ต
• แผงกันกระแทกด้านหน้าและหลังสีดำ
• ฝาครอบไฟตัดหมอกสีดำ
• กระจกมองข้างสีดำ
• ราวหลังคาสีดำ
• มือจับประตูสีดำ
• คิ้วตกแต่งซุ้มล้อสีดำ และ บันไดข้างสีดำ
• เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ
• สปอยเลอร์หลังสีดำ พร้อมคิ้วและแผงประตูท้ายสีดำ
• สัญลักษณ์ Sport ด้านหลัง
• ห้องโดยสารภายในตกแต่งโทนสีดำสไตล์สปอร์ตพรีเมียม

(บางรายการมี 2 ชิ้น ถ้าเอาละเอียด โปรดคลิกไปชมบน YouTube https://youtu.be/QGLcSWcsbz0)

ส่วนอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ก็ยังมาอยู่ในรถยนต์ใหม่ 2023 Nissan Terra Sport อย่างครบถ้วน ทั้งเครื่องยนต์รหัส YS23DDTT เชื้อเพลิงดีเซล ความจุกระบอกสูบ 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ ให้กำลังได้แรงสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร รองรับน้ำมันดีเซลทั้ง B7, B10 และ B20 ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-Time มีปุ่มหมุนเปลี่ยนได้ด้วยระบบ Shift-on-the-fly ง่ายดายกับการเปลี่ยนจากขับ 2 ไปขับ 4

ช่วงล่างของ Nissan Terra Sport ข้างหน้ามาในแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังนี่ใช้แบบ5 ลิ้งค์ (5-Link) พร้อมคอยล์สปริงเลย ซึ่งตัวนี้ดีจริงตั้งแต่ตัวแรกแล้ว ล้อนั้นใส่มาเป็นขนาด 18 นิ้ว กับแม็กซ์อัลลอยลายใบพัด 6 แฉก 2 โทนสีดำ-เงิน รัดมาด้วยยางขนาด 255/60 R18 ของ Bridgestone ระบบห้ามล้อด้านหลังแบบดิสก์เบรก ขนาด ขนาด 330 มม. และแน่นอนว่าด้านหน้าก็เป็นดิสก์เบรกเช่นกัน แต่รอบนี้ใส่ขนาดใหญ่ขึ้นจากตัวรุ่นแรก จากขนาด 296 มม. ให้กลายเป็นขนาด 350 มม.

มิติของ Nissan Terra Sport กว้างขวางไม่แพ้ใคร โดยมีสัดส่วนที่ ยาว 4,890 มม. กว้าง 1,865 มม. และสูง 1,865 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะความสูงใต้ท้องรถ 225 มม. ดวงไฟหน้าเป็นแบบ LED แบบ Quad LED มีไฟส่องสว่างด้วยไฟ LED ถึง 4 ดวง มีเส้น Daytime Running Light วิ่งตามขอบแบบ LED ที่ให้ความชัดเจนขึ้น รูปทรงมีความเพรียวมากกว่าเดิม ไฟหน้าเปิด-ปิด ปรับต่ำ-สูง ได้อัตโนมัติ แถมมาด้วยระบบ Follow-me-home ที่จะเปิดไฟค้างไว้สักครู่หลังเราปิดประตูล๊อกรถ ส่งความสว่างให้เราเดินเข้าบ้านได้ชัดเจน

ไฟเบรกของ Nissan Terra Sport เป็นไฟ LED แถมยังมีเส้น LED Light Guiding ตีเป็นเส้นตัดขอบบนล่างให้ดูสวยงาม รูปทรงดูเรียวงามมากกว่าเดิม สปอยเลอร์หลังออกแบบใหม่ให้ดูสวยกว่าเดิม เสาอากาศ รอบนี้ใส่มาเป็นแบบครีบฉลามแล้ว

ภายในของ Nissan Terra Sport มีพื้นที่สัมผัสแบบ Soft Touch หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นแผงคอนโซล แผงประตู ที่วางแขนตรงกลาง ข้างขา เป็นต้น พวงมาลัยก็มาด้วยทรงใหม่ จากเดิมเป็นวงกลมก็เปลี่ยนเป็น D-Shape ท้ายตัด มีก้านที่เรียวลง แต่ยังคงมีปุ่ม Multi-Function ไว้ให้ใช้งานได้สะดวกเช่นเคย เสียดายที่ปรับระดับได้แค่ขึ้นลงเท่านั้น ปรับเข้าออกไม่ได้ หน้าปัดข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้ว เห็นชัดเจนมาก และวงเข็มที่ด้านซ้ายเป็นเข็มวัดรอบเครื่อง กับด้านขวาที่เป็นความเร็วก็ดูดีขึ้นเยอะเลย แอร์เป็นระบบอัตโนมัติแยกโซนซ้าย-ขวา ส่วนด้านหลังปรับความเย็นไม่ได้ แต่มีสวิตช์แบบหมุนเพื่อปรับแรงลมได้ ซึ่งจะมีสวิตช์ที่ควบคุมเปิด-ปิดการใช้งานที่ด้านหน้า

ส่วนหน้าจอกลาง Infotainment บน Nissan Terra Sport นั้น ใส่มาเป็นแบบระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว ที่มีความละเอียดเพิ่มขึ้น เป็นระดับ WXGA (1024x768) รองรับ Android Auto และ Apple CarPlay ที่ถูกใจที่สุดของคนใช้ iPhone คือการที่รองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายด้วย ดีงาม แถมด้านล่างมีช่อง Wireless Charge ไว้ให้ใช้งานอีกด้วย เอาเป็นว่าไม่ต้องใช้สายชาร์จ ก็ใช้งานได้สะดวกสบายสุด ๆ ถึงแม้ว่าหน้าจอจะมี Navigator ไว้ให้ใช้งานอยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่าถ้าเลือกกันได้ เกือบทุกคนอยากใช้ Google Maps มากกว่าแน่นอน หน้าจอชุดนี้แพคมาพร้อมกับเครื่องเสียงระดับดีจาก Bose ลำโพง 8 ตำแหน่งพร้อม Amplifier ที่เสียงโคตรดี ดีจนแบบอยากไปนอนฟังเพลง ดูหนังด้านหลังมากกว่าขับเอง

ด้านหลังของ Nissan Terra Sport คือไฮไลท์ของผมในรอบนี้เลย เพราะนอกจากเบาะแถว 2 ที่พับได้แบบ 60:40 และแถว 3 ที่พับได้แบบ 50:50 แถว 2 ยังมีระบบที่นิสสันเรียกว่า Auto Tumble Seat ที่สามารถพับเบาะได้ด้วย 1-Touch Remote Fold & Tumble Seats อีกด้วย แหม อะไรมันจะสะดวกขนาดนั้น มองภาพว่าเป็นปุ่มเปิดประตูไฟฟ้าเหมือนรถตู้ แต่เปลี่ยนมาเป็นการพับเบาะแถว 2 เพื่อให้คนเข้าหรือออกจากแถวที่ 3 ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง แต่มันพับกลับตำแหน่งเดิมไม่ได้นะ ต้องพับเอง

อีกอุปกรณ์ที่ถูกใจคนมีครอบครัวอย่างผมเป็นอย่างมาก ก็คือหน้าจอกลางรถขนาด 11 นิ้ว ซึ่งมันจะธรรมดามากถ้ามันไม่มีอุปกรณ์เสริมอย่าง Mi TV Stick ที่เปลี่ยนหน้าจอธรรมดาให้กลายเป็น Android TV ในทันที โดยสามารถเสียบเชื่อมต่อได้จากช่อง HDMI กับช่อง USB ที่อยู่ข้างที่นั่งในแถว 3 ได้ทันที เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตจาก Wi-Fi Hotspot จากมือถือ คราวนี้จะดูอะไรล่ะ Netflix, Disney+ Hotstar, VIU, YouTube หรือแอพ Streaming อื่น ๆ ที่หาดาวน์โหลดบน Play Store ได้ บวกกับเครื่องเสียงที่ให้เสียงกระหึ่ม นี่คือความสุขใจของคนนั่งหลังจริง ๆ

ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัย เรียงใส่ลิสก์ได้ตามนี้เลยครับ

• เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM)
• เทคโนโลยีเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนอัจฉริยะ (Intelligent Forward Collision Warning - IFCW)
• เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking – IEB)
• เทคโนโลยีเตือนรถในมุมอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW)
• เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA)
• เทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (Lane Departure Warning - LDW)
• เทคโนโลยีเตือนผู้ขับขี่เมื่อรู้สึกถึงการขาดสมาธิหรือเหนื่อยล้า(Intelligent Driver Alertness - IDA)
• เทคโนโลยีช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
• เทคโนโลยีควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC)
• ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Traction Control (TCS)
• ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัจฉริยะ Vehicle Dynamic Control (VDC)
• ระบบเบรก ABS, EBD
• ระบบป้องกันการลื่นไถล Brake Limited Slip Differential B-LSD
• ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
• กระจกมองหลัง Intelligent Rear View Mirror (IRVM)
• เบรกมือไฟฟ้า
• ประตูท้ายไฟฟ้า พร้อมระบบ Auto Lift Gate

ข้อมูลครบแล้ว มาว่ากันเรื่องการขับขี่เลย เส้นทางรอบนี้ที่พวกเราบรรดาสื่อมวลชนใช้งานกัน คือเริ่มต้นจากแถวเลียบด่วนรามอินทรา มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เส้นทางมีทั้งวงแหวนตะวันออก ใช้ความเร็วสูงได้, เส้นทางหลวง รถมาก วิ่งได้ในความเร็วกลาง และทางโค้งบนเขา ที่วิ่งได้ในความเร็วที่จำกัด ซึ่งเบื้องต้นต้องออกตัวเลยว่า การรีวิว Nissan Terra ในครั้งนี้ การขับขี่และความสะดวกสบายจะเหมือนเดิมทั้งหมด เพราะการใส่ชุดแต่งที่เป็นของดำ 22 จุด มันไม่ได้ช่วยในเชิง Performance เลย มันได้เรื่องของใจที่ฮึกเหิมในคำว่า Sport มากกว่า ของมันดีอยู่แล้วอย่างไร ก็จะดีอยู่อย่างนั้น ทั้งเรื่องของช่วงล่างที่ทำมาได้อย่างดี ให้ได้ทั้งความนุ่มนวลในการนั่งตั้งแต่แถวแรกยันแถวสุดท้าย แต่ยังแฝงไว้ถึงความเหียวแน่นในการเกาะพื้น วิ่งเร็วทางตรงก็นิ่ง ควบคุมง่าย ยามเข้าโค้งก็ทรงตัวได้อย่างดี ถึงแม่ว่าสรีระจะออกแนวโย่งในรูปแบบ PPV แต่ยังมั่นใจทุกครั้งที่เข้าโค้ง ขนาดเส้นทางบนเขาค้อที่ว่าโค้งเยอะ โค้งยากก็มี รถยังทรงตัวเกาะโค้ง หันพวงมาลัยไปได้ตามใจ ตราบใดที่เราควบคุมความเร็วไม่ให้มากเกินความสามารถของตัวรถเท่านั้นพอ พวงมาลัยก็ให้น้ำหนักที่พอดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป ขับนาน ๆ ไปก็ยังไม่ได้เมื่อยหรือเบาจนต้องประคองกันตลอดเวลาแต่อย่างใด

ของอำนวยความสะดวกในรถ Nissan Terra Sport ก็ยังอยู่อย่างครบถ้วน สิ่งที่เป็นพระเอกของคนที่เป็นผู้โดยสารในรอบนี้ ก็คือตัวหน้าจอกลางด้านหลังนั่นเอง เมื่อเชื่อมต่อกับ Mi Stick เท่านั้นแหละ เราก็สามารถเปิดดู YouTube หรือ Netflix ได้อย่างสบายใจ โดยเฉพาะช่วงนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังติดซี่รี่ย์เรื่อง Moving บน Disney+ Hotstar อย่างมากมาย (โกยุนจอง น่ารักทะลุจอเลย) ช่วงไหนไม่ใช่คิวขับ ก็จับที่นั่งด้านหลังแล้วลุยดูเรื่องนี้กันยาว ๆ ได้เลย แถมยังได้กำลังเสียงจากลำโพง Bose อีก 8 ลูก พร้อมขับกำลังเพิ่มด้วย Amplifier อีกต่างหาก ทำให้ได้กำลังเสียงที่ทรงพลัง ชัดเจนรอบทิศทาง นั่งแล้วเพลินหูเพลินตามากจริง ๆ

ถึงแม้ว่า Nissan Terra Sport จะมีระบบความปลอดภัยให้มาเยอะแยะมากมาย ที่ช่วยป้องกัน และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะระบบเตือนการชนด้านหน้า ที่ทำงานได้เหนือกว่าคันอื่น เพราะกล้องเซ็นเซอร์ของรถคันนี้ สามารถจับความเคลื่อนไหวได้ถึงคันที่ 2 จากหน้ารถของเรา ดังนั้นแค่รถคันที่อยู่ถัดไปจากคันข้างหน้าของเราแตะเบรก รถของเราก็รู้ได้แล้วว่ารถคันนั้นกำลังเบรก ระบบจะพร้อมเตือนให้ระวังได้ทันที ไวกว่าทั่วไปที่จับได้เฉพาะวัตถุที่อยู่ด้านหน้าเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ ระบบควบคุมความเร็วนั้น ยังเป็นแค่แบบ Criuse Control ยังไม่ใช่ Adaptive Criuse Control ไม่อย่างนั้นจะ Perfect มากเลย

สำหรับเรื่องเครื่องยนต์ของ Nissan Terra Sport นั้น ผมว่าเขาออกแบบมาให้มีความเป็นผู้ใหญ่พอตัว ไม่มีความกระโชกโฮกฮาก มาแต่ความสุภาพ กดคันเร่งลงไป เครื่องยนต์จะค่อย ๆ พาคุณไต่ความเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่มีการกระชากหน้าหงาย หลังติดเบาะได้อย่างแน่นอน แต่มันจะมีการเติมความเร็วอย่างต่อเนื่อง และจะพาคุณไปสู่ความเร็วสูงได้อย่างใจต้องการ จากที่เคยทดสอบ 0-100 ในครั้งก่อนได้อยู่ประมาณ 12 วินาทีกว่า ๆ ก็ถือว่าพอใช้ได้ในรถทรงนี้ น้ำหนักมากขนาดนี้

Nissan Terra Sport เปิดราคาค่าตัวเอาไว้ที่ 1,555,000 บาท กับออพชั่นที่ให้มาอย่างมากมาย ถึงแม้ว่าตัวรถอาจจะมีระบบความปลอดภัยไม่มากเท่าบางรุ่นในตลาดที่ยัดทุกอย่างให้มาเต็มสูบ แต่อย่าลืมว่าด้วยราคาที่บวกเข้าไปอีกเกินกว่า 1 แสนบาททั้งนั้น แถมเรื่องอุปกรณ์อำนวยความสะดวก รถใหม่คันนี้ก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน ดังนั้นถ้าใครที่กำลังมองหารถสำหรับครอบครัว ชอบเดินทางไปยังที่จุดหมายต่าง ๆ แบบไม่ต้องตั้งคำถามมากว่ารถจะไปได้หรือเปล่า ไม่ใช่คนที่รีบร้อน ต้องออกตัวแบบกระชากหน้าหงาย ไม่สนใจระบบช่วยขับมากมาย ผมว่า Nissan Terra Sport คือตัวเลือกแถวหน้า ในราคาที่คุณเข้าถึงได้ง่ายมาก และมันน่าจะคุ้มค่าเงินของคุณอย่างแน่นอนครับ

ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02