Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Nissan Kicks e-POWER VL Sky Edition รุ่นพิเศษส่งท้าย ก่อนบายเธอ
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 14 มิ.ย. 65 00:00
- 10,464 อ่าน
เมื่อวันที่นิสสันตัดสินใจเอารถในรูปแบบ e-POWER หรือ Series Hybrid มาขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ถือเป็นความบ้าบิ่นพอตัว เพราะระบบนี้ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทย ใหม่กว่ารถไฟฟ้าด้วยซ้ำ เพราะระบบการทำงานของรถไฟฟ้ามันเข้าใจไม่ยาก เพียงแค่เอาเครื่องยนต์ออกไปแล้วเอาแบตเตอรี่กับมอเตอร์ไฟฟ้าใส่ลงไป คนไทยก็เข้าใจแล้วว่ามันทำงานแบบไหน
แต่กับ Nissan Kicks e-POWER แล้ว คนไทยหลายคนยังไม่เก็ทระบบการทำงานสักเท่าไหร่ เลยมักจะเอาไปมองรวมว่าเป็นระบบ Full Hybrid แบบที่เคยคุ้นเคยทั้งหมด ทำให้การสื่อสารที่ปล่อยออกไปจากทางนิสสันถูกปัดตกไปเยอะ เพราะการพยายามสื่อสารว่านี่คือรถไฟฟ้า แต่มีเครื่องยนต์มาผลิตไฟฟ้า คนก็ยังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่
ผมในฐานะสื่อสารมวลชนทางด้านยานยนต์ ก็พยายามสื่อสารออกไปให้ได้มากที่สุดเช่นกัน เพื่อให้เข้าใจว่าการใช้งานรถยนต์ระบบ e-POWER มันมีดีอะไรบ้าง รีวิวกันไปหลายรอบแล้ว และรอบนี้ก็เอามารีวิวกันอีกรอบ เพราะการมาใหม่ของชุดแต่ง Nissan Kicks e-POWER VL Sky Edition นั่นเอง เพราะเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นชุดแต่งสุดท้าย ก่อนที่นิสสันอาจจะทำการปรับเปลี่ยนหน้าตากันใหม่อีกครั้งก็เป็นได้
ก่อนออกเดินทาง ก็เช่นเคยครับ เรามาทบทวนสเปกเครื่องยนต์กันก่อนเล็กน้อย เอาเบื้องต้นก่อนว่าชุดแต่ง Nissan Kicks e-POWER VL Sky Edition นั้นมีอะไรบ้าง ก็มีทั้ง
1.สเกิร์ตหน้าสีดำ
2. สเกิร์ตหลังสีดำ
3. สเกิร์ตข้าง ซ้าย-ขวาสีดำ
4. สปอยเลอร์หลังสีขาว
5. ล้ออัลลอย 17”
6. สติกเกอร์ SKY EDITION
7. แป้นวางเท้าแบบสปอร์ต
8. ชุดพรมพร้อมผ้ายางปูพื้นโลโก้ SKY EDITION
และสีภายนอกที่เป็นเอกลักษณ์สีฟ้า-หลังคาขาว และตราสัญลักษณ์ SKY EDITION อีกด้วย เอาเป็นว่าวิ่งมาเห็นแต่ไกลก็รู้ว่านี่คือ SKY EDITION
Nissan Kicks e-POWER VL Sky Edition ยังคงใช้ขุมพลังหลักเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 29 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์แบบอัตโนมัติ Single Speed Gear Reduction (ไม่มีการทดเพิ่ม ทำหน้าที่แค่นำกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าส่งไปสู่ล้อเท่านั้น) นี่คือตัวหลักที่ทำงานคอยขับเคลื่อนรถยนต์ โดยมอเตอร์ไฟฟ้า จะรับพลังงานไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 1.57 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อเอากำลังไฟตัวนี้ไปหมุนมอเตอร์ไฟฟ้า คำถามคือ แล้วแบตเตอรี่ความจุประมาณนี้ ประมาณเดียวกับรถยนต์ระบบ Hybrid ในตลาดทั่วไป
ส่วนตัวเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องปั่นไฟ ก็จะใช้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน1.2 ลิตร 3 สูบแถวเรียง DOHC (Double Overhead Camshaft) 12 วาล์ว CVTC (Continuously Variable valve Timing Control) มีกำลังในการหมุนได้สูงสุด 79 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร ซึ่ง “เครื่องปั่นไฟ” ตัวนี้ จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนล้อเลย หน้าที่ของมันมีอย่างเดียวคือ สร้างการหมุนตัว Generator เพื่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าเท่านั้น
ส่วนการออกแบบอื่น ๆ ก็เหมือนเดิม กระจังหน้าเป็นทรง V-Motion ไฟหน้าเป็นทรงบูมเมอแรง ด้วยดวงไฟแบบ LED และ LED Signature Light มี Daytime Running Light แบบ LED เช่นกัน พร้อมระบบไฟแบบ Follow-me-home เปิด-ปิดได้อัตโนมัติ มีสวิตช์ปรับระดับไฟหน้าได้ด้วยตัวเอง ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED กระจกข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว ตัวไฟแจ้งมุมบอดด้านข้างไม่ได้อยู่บนกระจกเหมือนรุ่นอื่น ๆ ในตลาด แต่จะไปเตือนที่ด้านในบนขอบประตูแทน กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติเมื่อล็อครถ ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ LED Signature Light พร้อมไฟเบรกแบบ LED เสาอากาศแบบครีบฉลามและไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED มีที่ปัดน้ำฝนที่ประตูท้าย และฝาท้ายเป็นแบบยกด้วยมือ ไม่ใช่ระบบไฟฟ้า
ภายในนั้นเน้นโทนสีดำ เบาะใช้วัสดุหนังสังเคราะห์ ตัวแผงคอนโซลที่เป็นสีดำใช้เป็น PP ส่วนสีส้มหุ้มเป็นหนังสังเคราะห์แบบ Soft Touch เฉกเช่นเดียวกับประตูใช้ในรูปแบบเดียวกัน โดยตำแหน่งสัมผัสบ่อยเช่นทางวางแขนก็ใช้ส่วน Soft Touch มารองรับเอาไว้ วัสดุตกแต่งภายในบริเวณหัวเกียร์ - ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน และ วัสดุสีดำ เปียโน แบล็ค ที่แผงคอนโซลการจัดวางหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้วโคตรจะโดดเด่น เป็นการเอาจอกรอบสีดำไปวางเอาไว้บนพื้นสีส้ม งามดี ตัวหน้าจอรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Bluetooth®, USB และ AUX IN สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง ใช้งาน Apple CarPlay ได้ ผ่านการเสียบสาย USB ที่ช่องใต้เก็บของใต้หน้าจอ แต่ยังไม่มี Android Auto นะ ถัดลงมาด้านล่างมีแผงควบคุมแอร์ เป็นแบบอัตโนมัติ แต่ไม่แยกโซน เขยิบต่ำลงไปมีช่องเสียบทั้งแบบ Power Outlet 12V, ช่อง USB 1 ช่อง และช่อง AUX
ที่แผงด้านข้างคนขับบน Nissan Kicks e-Power VL Sky Edition นั้น เน้นความเรียบง่ายใช้งานง่าย มีคันเกียร์เล็ก ๆ ที่ใหญ่กว่าบน Nissan Leaf เล็กน้อย เอาไว้ใช้งานเพื่อเคลื่อนตัวรถ มีปุ่ม P เอาไว้กดเพื่อจอด มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ ทั้ง D, D Smart, D Eco ภายใต้ปุ่มเดียว (กดแล้ววน) แต่ถ้าจะเลือกโหมด EV ก็มีปุ่มด้านข้างให้กดเลือกใช้งานต่างหาก มีปุ่มเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold แยกไปต่างหาก ขยับมาอยู่ด้านข้างช่องวางแก้วน้ำแทน เบาะด้านหลังเป็นแบบพับได้ 60:40 ไม่มีที่เท้าเขาตรงกลางเบาะ มีช่อง USB อยู่ตรงช่องเก็บของข้างคนขับ และไม่มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
พวงมาลัยเป็นแบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ทรง D-Shape มีปุ่ม Multi-Function เอาไว้ให้ใช้งาน โดยด้านซ้ายเอาไว้ควบคุมเครื่องเสียงบนหน้าจอกลาง และควบคุมหน้าปัดมาตรวัดข้อมูลรถยนต์ ส่วนด้านขวาเอาไว้ควบคุมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ และควบคุมการรับ-วางโทรศัพท์ หน้าปัดเป็นหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ TFT หน้าจอสีขนาด 7 นิ้ว เรืองแสง Fine Vision Meter แบบ Digital วางเอาไว้ที่ด้านซ้าย ส่วนด้านขวาเป็นแบบเข็มบอกความเร็ว กุญแจเป็นแบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Intelligent Key - I-Key) พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start Button)
ระบบความปลอดภัยใน Nissan Kicks e-Power VL Sky Edition นั้นจัดมาให้เต็มที่ครับ โดยยกมาทั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Nissan Intelligent Mobility (NIM) - Intelligent Safety ประกอบไปด้วย
- ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ Vehicle Dynamic Control (VDC)
- ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ Intelligent Emergency Braking (IEB)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Attention Alert (DAA)
- ระบบกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (IAVM)
- กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน พร้อมกล้องส่องภาพจากภายนอก Intelligent Rear View Monitor (IRVM)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ Intelligent Cruise Control (ICC)
- ระบบเตือนจุดอับสายตาบนกระจกมองข้าง Blind Spot Warning system (BSW)
- ระบบเตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
- เทคโนโลยีช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง Intelligent Trace Control (ITC)
และระบบความปลอดภัยมาตรฐานเพิ่มเติม ทั้ง
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค Anti-lock Braking System (ABS)
- ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution System (EBD)
- ระบบเสริมแรงเบรก Brake Assist (BA)
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
- ระบบ Auto Brake Hold
- สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและหลัง
- ระบบกุญแจ Immobilizer
- สัญญาณกันขโมย
- ปุ่มควบคุมระบบเซ็นทรัลล็อค
ข้อมูลเบื้องต้นก็ครบแล้ว เรามาสรุปการรีวิวเลยดีกว่า เอาตามตรงก็คือ ในชุดแต่งพิเศษนี้ มันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในเชิง Performance การขับขี่ก็เลยยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็น
- ช่วงล่างดีมาก เข้าโค้งดี ถึงแม้ว่าช่วงเร็วสูงอาจจะมีตัวเบาบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในจุดที่ไม่เกินงามอยู่
- อัตราเร่งออกตัวดี ไต่เขาสนุก อาจไม่เท่ากับรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Nissan Leaf แต่ก็ดีกว่าเครื่องยนต์ปกติ
- กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน พร้อมกล้องส่องภาพจากภายนอก (เต็มยศ) ที่ยกมาจาก Nissan Terra แต่รอบนี้ถูกอัพเกรดให้ชัดมากขึ้นกว่าเดิม เราเลือกได้เลยว่าอยากจะใช้ภาพในรูปแบบกระจกสะท้อนปกติ หรือจะเอาภาพจากกล้องที่ติดอยู่ด้านท้ายรถมาใช้แทนก็ได้ ชอบมาก
- ที่นั่งด้านหลัง พื้นที่ของ Leg Room เหลือเยอะประมาณหนึ่งเลย ส่วน Head Room นี่เหลือเฟือ
- แต่เมื่อนั่งข้างหลัง ดูเหมือนจะมีอาการกระด้างอยู่เล็กน้อย เกินกว่าจะเป็นรถอเนกประสงค์ที่เน้นความนั่งสบายไปนิด โดยเฉพาะเวลาวิ่งผ่านถนนที่ไม่เรียบ จะรู้สึกได้เยอะเลย แถมช่วงความเร็วสูง เสียงยางจากล้อหลังจะชัดมาก และจะมีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาในบริเวณขอบประตูแถวซุ้มล้อด้วย
- One Pedal คือระบบขั้นเทพ ที่ช่วยลดความเมื่อยตอนขับบนทางจราจรที่ติดขัดได้มาก
สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือเรื่องอัตราประหยัด เพราะจากการทดลองขับมาเมื่อรอบก่อน ก็ได้ในเมือง 17.2 กิโลเมตร/ลิตร และนอกเมือง 19.4 กม./ลิตร ส่วนรอบนี้ก็ทำได้ที่ในเมือง 16.9 กม./ลิตร และนอกเมือง 16.7 กม./ลิตร ถามว่าทำไมรอบนี้ถึงกินมากขึ้น เพราะครั้งนี้ผมเพิ่มเงื่อนไขการบรรทุกเข้าไปด้วย กับการพาครอบครัวไปอีก 3 คน (ภรรยา+ลูกสาว 2 น้ำหนักรวมน่าจะอีกประมาณ 100 กก.) เรทนี้ผมถือว่าประหยัดใช้ได้เลยนะ กับตัวรถที่เป็นสไตล์อเนกประสงค์ ขนคน ขนของได้เยอะกว่ารถ Eco Car แต่อัตราการบริโภคน้ำมันดันอยู่ในระดับเดียวกัน หรือถ้าจะบอกว่าดีกว่าก็คงไม่แปลกอะไร เพราะจากที่ผมเคยเทส Nissan Almera ที่ใช้เครื่องยนต์ 1.0 Turbo ได้อัตราในเมืองที่ 11.7 กิโลเมตร/ลิตร และนอกเมือง 18.2 กิโลเมตร/ลิตร ด้วยซ้ำ
สิ่งที่เกิดความสงสัยก็คือ แล้วทำไมรถในตระกูล Nissan Kicks e-Power ทำไมถึงไม่ค่อยได้รับความนิยม ทั้งที่รถคันนี้ให้อารมณ์การขับขี่ที่เหมือนรถไฟฟ้า แต่ตัดปัญหาเรื่องการชาร์จไฟฟ้าช้าเพราะมีเครื่องปั่นไฟมาให้แล้ว เราก็เดากันเองภายในทีม AUTODEFT ว่า เป็นไปได้ไหมว่าคนไทยยังไม่คุ้นเคยกับรถยนต์ระบบนี้ เหมือนกับเครื่องยนต์สันดาปภายในหรือระบบ Hybrid ที่มีมานานมากแล้ว หรือไม่ก็ข้ามไปยังเทคโนโลยีรถ EV หรือรถไฟฟ้ากันเลยว่างั้น หรือไม่ก็การตัดสินใจที่ช้าไปของทางนิสสันเอง ที่ไม่เอาเทคโนโลยีนี้เข้ามาในช่วงที่กำลังฮอตอยู่ในต่างประเทศ ตอนที่เป็น Nissan Note e-POWER ซึ่งมีเสียงเรียกหาอยู่ประมาณหนึ่งเลย หรืออาจจะเป็นเพราะดีไซน์ที่ยังไม่ถูกใจคนไทยนัก อันนี้ไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่าเพราะอะไร ถ้าถามตัวผมเอง ผมว่าน่าจะมาจากการที่รถคันนี้มาในช่วงที่คนเริ่มรู้จักกับคำว่า “รถยนต์ไฟฟ้า” กันมาพอสมควรแล้ว เลยมองข้ามระบบ Series Hybrid ไป ถ้ามาเร็วกว่านี้สัก 2-3 ปี อาจจะมีคนใช้เยอะกว่านี้ก็เป็นได้
เอาเป็นว่าราคาปกติของ Nissan Kicks e-Power รุ่นท็อปที่เป็น VL ราคาอยู่ที่ 1,049,000 บาท แต่เพิ่มชุดแต่งที่เป็น Sky Edition เข้าไปอีก 71,150 บาท รวมออกมาเป็น 1,074,000 บาท เอ้า ทำไมราคามันเพิ่มแค่ 25,000 บาท พูดง่าย ๆ ก็คือราคาพิเศษนั่นเอง มีแค่ 100 คันเท่านั้น ซึ่งเอาจริงถ้าไปถามที่ศูนย์ตอนนี้ เผลอ ๆ ขอแถมเขาก็ให้นะ ใครที่อยากได้ชุดแต่งแบบไม่เหมือนใครในราคาเดิม ก็ลองไปจับ, สัมผัส นั่ง และลองขับกันได้เลยครับ ขอลด ขอแถมเยอะ ๆ เขาให้อยู่แล้วล่ะ เชื่อผมเถอะ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com