Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Nissan Kicks e-Power VL รถยนต์ไฟฟ้า ที่มาพร้อมเครื่องปั่นไฟ
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 19 ก.ย. 63 00:00
- 14,719 อ่าน
เอาจริง ๆ คำว่า e-Power นั้นถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้หลายปีแล้ว ตั้งแต่การที่ค่ายรถยนต์แดนปลาดิบอย่างนิสสันเอาระบบ Hybrid ในรูปแบบ Series Hybrid แล้วเอามาแปลงคำใหม่ให้สื่อมาเป็นของตัวเอง เอามาติดตั้งใน Nissan Note ตั้งแต่ประมาณปี 2016 แล้ว
ส่วนในประเทศไทยนั้น คงต้องยอมรับกันว่า คนไทยเริ่มจะได้ยินและคุ้นเคยกับคำว่า e-Power ในระยะเวลาช่วงไปถึงปีที่ผ่านมานี้เอง ผ่านการเปิดตัวของรถอเนกประสงค์ SUV อย่าง Nissan Kicks เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (จริง ๆ ควรเป็นเดือนมีนาคมนะ แต่ดันติด Covid-19 เสียก่อน) ดังนั้นหลายคนยังไม่ค่อยเข้าใจว่า สรุปแล้วไอ้ระบบ e-Power มันเป็นอย่างไร
AUTODFET เองก็เคยอธิบายไปหลายรอบแล้ว ว่าการทำงานของระบบ e-Power เป็นอย่างไร (ลองไปหาอ่านใน www.autodeft.com, YouTube AUTODEFT และ Podcast AUTODEFT ได้เนอะ) รวมทั้งน้อง TopTaro เองก็ได้เคยทำการวิ่งทดสอบเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในสนามแบบปิดมาแล้ว แต่รอบนี้ทาง นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) เห็นว่าน่าจะัยงไม่จุใจพอ รอบนี้เลยทำการเปิดโอกาสให้บรรดาสื่อมวลชนได้ทำการทดสอบกันอีกครั้ง โดยรอบนี้จะพิสูจน์กันให้เห็นว่า การใช้งานบนถนนจริงของ Nissan Kicks e-Power นั้นมันดีอย่างไร และจะดีกว่ารถยนต์ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาดไหน คงต้องมาลองให้รู้กันไปเลย
ก่อนออกเดินทาง เราก็คงต้องมาเริ่มด้วยการทำความรู้จักข้อมูลรายละเอียดของตัวรถกันก่อนเลยละกัน สำหรับรถที่เราจะทดสอบในรอบนี้ จะเป็น Nissan Kicks e-Power VL ซึ่งเป็นตัวบนสุด หรือที่เรียกกันว่าตัวท็อป เป็นรถอเนกประสงค์ขนาด B SUV (หรือบางสื่อบางคนจะเรียก C SUV Entry ก็คงไม่ผิด) มีมิติของตัวรถที่ 4,290 x 1,760 x 1,615 มม. (ยาว x กว้าง x สูง) ฐานล้อกว้าง 2,615 มม. ใต้ท้องสูงจากพื้น 175 มม. เป็นรถอเนกประสงค์ 5 ประตู 2 แถว 5 ที่นั่ง ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่ล้อหน้าเป็นจานเบรกแบบมีช่องระบายความร้อน ที่คอยห้ามล้อขนาด 17 นิ้ว ที่ใส่มาพร้อมยางขนาด 205/55 R17
เอาล่ะ มาถึงจุดที่หลายคนอาจจะงงเรื่องของระบบขับเคลื่อนกันแล้ว ว่า Nissan Kicks e-Power VL เป็นรถในรูปแบบไหนกันแน่ แนะนำให้ตั้งใจอ่านช่วงพารากราฟนี้เลยนะครับ เราต้องนิยามก่อนว่า การขับเคลื่อนของรถคันนี้ก็คือการใช้ระบบไฟฟ้า ล้อสามารถหมุนเพื่อพาเราไปที่ต่าง ๆ ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ารหัส EM57 ซึ่งเป็นรหัสเดียวกับ Nissan Leaf รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นยอดนิยมมากที่สุดในโลก เพียงแต่มีขนาด Output ที่เล็กกว่า เลยสามารถผลิตกำลังได้ที่ 95 กิโลวัตต์ แปลงเป็นแรงม้าแบบ PS ได้ 129 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์แบบอัตโนมัติ Single Speed Gear Reduction (ไม่มีการทดเพิ่ม ทำหน้าที่แค่นำกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าส่งไปสู่ล้อเท่านั้น) นี่คือตัวหลักที่ทำงานคอยขับเคลื่อนรถยนต์ โดยมอเตอร์ไฟฟ้า จะรับพลังงานไฟฟ้ามาจากแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 1.57 กิโลวัตต์ชั่วโมง เพื่อเอากำลังไฟตัวนี้ไปหมุนมอเตอร์ไฟฟ้า คำถามคือ แล้วแบตเตอรี่ความจุประมาณนี้ ประมาณเดียวกับรถยนต์ระบบ Hybrid ในตลาดทั่วไป (ไม่ใช่ Plug-in Hybrid นะ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น แบตเตอรี่จะจุกว่านี้ประมาณ 10 เท่าตัว) มันจะพารถวิ่งได้ไกลเหรอ คำตอบคือ ไม่ไกลครับ ให้แบบสุด ๆ ที่ขับแบบช้า ๆ แล้วมีการ Generate ไฟกลับด้วย ไม่น่าจะเกิน 5 กิโลเมตร แล้วอย่างนี้จะพอได้อย่างไร เดี๋ยวพารากราฟต่อไปจะเป็นคำตอบ
Nissan Kicks e-Power VL ผมจะขอนิยามว่ามันคือรถยนต์ไฟฟ้านะครับ เพียงแต่ว่าไม่สามารถเสียบปลั๊กเพื่อนำไฟฟ้าจากแหล่งข้างนอกไปเก็บไว้ในตัวรถได้เหมือนรถยนต์ไฟฟ้า EV ทั่วไป แต่ในระบบ e-Power จะทำการติดตั้ง “เครื่องปั่นไฟ” (ขอเรียกแบบนี้ เพื่อป้องกันการสับสนนะครับ) มาไว้ให้ในตัวรถเลย โดยตัวเครื่องปั่นไปตัวนี้ จะเป็นเครื่องยนต์ที่ทำงานได้ด้วยการใช้งานเชื้อเพลิงแบบเบนซิน มีความจุของกระบอกสูบที่ประมาณ 1.2 ลิตร 3 สูบแถวเรียง DOHC (Double Overhead Camshaft) 12 วาล์ว CVTC (Continuously Variable valve Timing Control) มีกำลังในการหมุนได้สูงสุด 79 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 103 นิวตันเมตร ซึ่ง “เครื่องปั่นไฟ” ตัวนี้ จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนล้อเลย หน้าที่ของมันมีอย่างเดียวคือ สร้างการหมุนตัว Generator เพื่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนจะส่งไฟฟ้าเพื่อวิ่งไปเก็บที่แบตเตอรี่หรือส่งไปสู่มอเอตร์ไฟฟ้า เดี๋ยวเราค่อยว่ากันอีกที
ทีนี้ เรื่องการผลิตไฟฟ้านั้น รอบก่อนที่เราทีมงาน AUTODEFT ไปทดสอบรถยนต์กันที่สนามปทุมธานีสปีดเวย์ ผมเองได้มีโอกาสสอบถามกับเจ้าหน้าที่ฝ่าย R&D ของทางนิสสันโดยตรง ว่าสรุปแล้ว การทำงานของเครื่องยนต์ เมื่อผลิตกระแสไฟฟ้าแล้ว ไฟฟ้าจะวิ่งไปที่ไหนได้บ้าง มันวิ่งไปเก็บที่แบตเตอรี่อย่างเดียว แล้วค่อยให้แบตเตอรี่จ่ายไฟไปให้ Invertor ทำการส่งพลังไปที่มอเตอร์ไฟฟ้าอีกที หรือมันสามารถ “ข้าม” แบตเตอรี่ไป แล้วจ่ายไฟตงไปที่ Invertor ได้ คำตอบที่เราได้มาคือ “ระบบ e-Power มีวงจรเดียวครับ คือวิ่งจาก Generator แล้วไปเก็บที่แบตเตอรี่ จากนั้นค่อยจ่ายไฟไปที่ Invertor เพื่อเอาไปหมุนมอเอตร์ไฟฟ้าต่ออีกที ข้ามวงจรไปโดยตรงไม่ได้ครับ ยังไงก็ต้องผ่านแบตเตอรี่” อ่ะ เราก็รับทราบข้อมูลแบบนี้มา เราก็เลยเข้าใจว่า เริ่มต้นจากเครื่องยนต์ทำงาน แล้วเครื่องยนต์ทำงานไปหมุน Generator เพื่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นมา กระแสไฟฟ้านี้จะวิ่งเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อเก็บเอาไว้หรือเป็นทางผ่านไปสู่ Invertor จากนั้น Invertor จะแปลงไฟเพื่อจ่ายให้สู่มอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อทำการขับเคลื่อนล้อ ทำให้รถวิ่งได้อีกที (เรื่อง Regenerate เป็นอีกเรื่องนะ ยกเอาไว้ก่อน) ดังนั้นในการรีวิว Nissan Kicks e-Power VL ในรอบแรกโดย TopTaro จึงอธิบายคนดูไปแบบนี้ และก็มีผู้ติดตามท่านหนึ่งแย้งขึ้นมาประมาณว่า มันสามารถส่งไฟข้ามแบตเตอรี่ได้นะ ผมเองก็อธิบายไปตามที่ได้ยินมา แต่ก็ติดในใจเรื่องนี้มาตลอด (เรื่องนี้ผมมีพยานเป็นผู้สื่อข่าวสายยานยนต์ระดับอาวุโสด้วย ใครอยากจะไปสอบถามเรื่องนี้ หลังไมค์มาก็แล้วกัน)
แล้วรอบนี้มีโอกาสในการร่วมทริปทดสอบ Nissan Kicks e-Power VL กันอีกครั้ง และผมก็ได้มีโอกาสพบเจ้าหน้าที่ฝ่าย R&D ท่านนี้อีกครั้ง พร้อมกับทีมงานระดับ Senior อีก 2 ท่าน จังหวะที่พอเหมาะ ก็เลยสอบถามย้ำในเรื่องนี้อีกรอบ สิ่งแรกที่ได้รับคือการยกมือไหว้พร้อมคำขอโทษจากเจ้าหน้าที่ฝ่าย R&D ท่านที่พบกันครั้งที่แล้ว เพราะน้องเขาบอกว่า ครั้งก่อนเข้าใจผิดจริง ๆ ว่าระบบ e-Power นั้นไม่สามารถวิ่งข้ามแบตเตอรี่ได้ แต่หลังจากไปหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วพบว่า มันวิ่งข้ามได้จริง ๆ โดยจะมีวงจรหนึ่งที่เป็นการต่อตรงจาก Generator ไปหา Invertor โดยไม่ต้องผ่าน Battery เลย เอาไว้ส่งกำลังไฟตรงในยามที่เราต้องการกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างสูง ดังนั้นช่วงที่เรากดคันเร่งมิด ไฟฟ้าจะถูกส่งมาพร้อมกัน 2 ทางคือ จากแบตเตอรี่และ Generator วิ่งเข้าหา Invertor พร้อมกัน ทำให้มีพลังงานไฟฟ้าส่งไปสู่มอเตอร์ไฟฟ้าได้มากขึ้นและเร็วขึ้นนั่นเอง ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตได้จะวิ่งไปเก็บที่แบตเตอรี่หรือวิ่งตรงไปที่ Invertor นั้น ตัวสมองกลจะเป็นตัวตัดสินใจเอง ดังนั้นเรื่องนี้ก็ขออภัยต่อผู้อ่านและผู้ชมทาง YouTube ของเราอีกครั้งด้วยครับ เนื่องจากสารที่ได้รับมาไม่ถูกต้องนั่นเอง
เฉพาะเรื่องระบบ e-Power ก็ว่ากันไปยืดยาวซะแล้ว เรามาต่อกันเรื่องรายละเอียดของตัวรถกันดีกว่า แน่นอนว่า Nissan Kicks e-Power VL ต้องมากับการออกแบบด้านหน้าให้เป็น DNA ของทางนิสสัน โดยกระจังหน้าเป็นทรง V-Motion ไฟหน้าเป็นทรงบูมเมอแรง ด้วยดวงไฟแบบ LED และ LED Signature Light มี Daytime Running Light แบบ LED เช่นกัน พร้อมระบบไฟแบบ Follow-me-home เปิด-ปิดได้อัตโนมัติ มีสวิตช์ปรับระดับไฟหน้าได้ด้วยตัวเอง ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED กระจกข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว ตัวไฟแจ้งมุมบอดด้านข้างไม่ได้อยู่บนกระจกเหมือนรุ่นอื่น ๆ ในตลาด แต่จะไปเตือนที่ด้านในบนขอบประตูแทน กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติเมื่อล็อครถ ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ LED Signature Light พร้อมไฟเบรกแบบ LED เสาอากาศแบบครีบฉลามและไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED มีที่ปัดน้ำฝนที่ประตูท้าย และฝาท้ายเป็นแบบยกด้วยมือ ไม่ใช่ระบบไฟฟ้า
ภายในของ Nissan Kicks e-Power VL ผมถือว่าดูดีเลยนะ เพราะเล่นสีเป็นแบบ 2 โทนดำกับส้ม ทั้งตัวเบาะและแผงคอนโซล เบาะใช้วัสดุหนังสังเคราะห์ ตัวแผงคอนโซลที่เป็นสีดำใช้เป็น PP ส่วนสีส้มหุ้มเป็นหนังสังเคราะห์แบบ Soft Touch เฉกเช่นเดียวกับประตูใช้ในรูปแบบเดียวกัน โดยตำแหน่งสัมผัสบ่อยเช่นทางวางแขนก็ใช้ส่วน Soft Touch มารองรับเอาไว้ วัสดุตกแต่งภายในบริเวณหัวเกียร์ - ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน และ วัสดุสีดำ เปียโน แบล็ค ที่แผงคอนโซลการจัดวางหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้วโคตรจะโดดเด่น เป็นการเอาจอกรอบสีดำไปวางเอาไว้บนพื้นสีส้ม งามดี ตัวหน้าจอรองรับการเชื่อมต่อทั้ง Bluetooth®, USB และ AUX IN สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง ใช้งาน Apple CarPlay ได้ ผ่านการเสียบสาย USB ที่ช่องใต้เก็บของใต้หน้าจอ แต่ยังไม่มี Android Auto นะ ถัดลงมาด้านล่างมีแผงควบคุมแอร์ เป็นแบบอัตโนมัติ แต่ไม่แยกโซน เขยิบต่ำลงไปมีช่องเสียบทั้งแบบ Power Outlet 12V, ช่อง USB 1 ช่อง และช่อง AUX
ที่แผงด้านข้างคนขับบน Nissan Kicks e-Power VL นั้น เน้นความเรียบง่ายใช้งานง่าย มีคันเกียร์เล็ก ๆ ที่ใหญ่กว่าบน Nissan Leaf เล็กน้อย เอาไว้ใช้งานเพื่อเคลื่อนตัวรถ มีปุ่ม P เอาไว้กดเพื่อจอด มีปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ ทั้ง D, D Smart, D Eco ภายใต้ปุ่มเดียว (กดแล้ววน) แต่ถ้าจะเลือกโหมด EV ก็มีปุ่มด้านข้างให้กดเลือกใช้งานต่างหาก มีปุ่มเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold แยกไปต่างหาก ขยับมาอยู่ด้านข้างช่องวางแก้วน้ำแทน เบาะด้านหลังเป็นแบบพับได้ 60:40 ไม่มีที่เท้าเขาตรงกลางเบาะ มีช่อง USB อยู่ตรงช่องเก็บของข้างคนขับ และไม่มีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
พวงมาลัยของ Nissan Kicks e-Power VL เป็นแบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ทรง D-Shape มีปุ่ม Multi-Function เอาไว้ให้ใช้งาน โดยด้านซ้ายเอาไว้ควบคุมเครื่องเสียงบนหน้าจอกลาง และควบคุมหน้าปัดมาตรวัดข้อมูลรถยนต์ ส่วนด้านขวาเอาไว้ควบคุมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ และควบคุมการรับ-วางโทรศัพท์ หน้าปัดเป็นหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ TFT หน้าจอสีขนาด 7 นิ้ว เรืองแสง Fine Vision Meter แบบ Digital วางเอาไว้ที่ด้านซ้าย ส่วนด้านขวาเป็นแบบเข็มบอกความเร็ว กุญแจเป็นแบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Intelligent Key - I-Key) พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start Button)
ระบบความปลอดภัยใน Nissan Kicks e-Power VL นั้นจัดมาให้เต็มที่ครับ โดยยกมาทั้งระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Nissan Intelligent Mobility (NIM) - Intelligent Safety ประกอบไปด้วย
- ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ Vehicle Dynamic Control (VDC)
- ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ Intelligent Emergency Braking (IEB)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Attention Alert (DAA)
- ระบบกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (IAVM)
- กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน พร้อมกล้องส่องภาพจากภายนอก Intelligent Rear View Monitor (IRVM)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ Intelligent Cruise Control (ICC)
- ระบบเตือนจุดอับสายตาบนกระจกมองข้าง Blind Spot Warning system (BSW)
- ระบบเตือนรถในทางสวนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
- เทคโนโลยีช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง Intelligent Trace Control (ITC)
และระบบความปลอดภัยมาตรฐานเพิ่มเติม ทั้ง
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค Anti-lock Braking System (ABS)
- ระบบกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution System (EBD)
- ระบบเสริมแรงเบรก Brake Assist (BA)
- ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake)
- ระบบ Auto Brake Hold
- สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้าและหลัง
- ระบบกุญแจ Immobilizer
- สัญญาณกันขโมย
- ปุ่มควบคุมระบบเซ็นทรัลล็อค
ข้อมูลรถน่าจะครบถ้วนแล้ว เรามาเริ่มออกเดินทางกันบน Nissan Kicks e-Power VL เลยดีกว่า โดยเส้นทางในการทดสอบแบบกลุ่มวันนี้ จะเริ่มต้นจากแถวสาทร แล้วมุ่งหน้าออกไปทาง จ.นครปฐม ก่อนที่จะแยกออกไปทาง อ.สวนผึ้ง จ. ราชบุรี แล้ววิ่งเลาะทิวเขาเลียบชายแดนไทย-พม่า มุ่งขึ้นทางทิศเหนือ เพื่อไปจบทริปที่จังหวัดกาญจนบุรี ระยะทางวันแรกประมาณ 300 กิโลเมตร ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะวิ่งกลับทางปกติไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ระยะทางอีกประมาณ 150 กิโลเมตร สรุปรวมแล้ว 2 วันประมาณ 450 กิโลเมตร มีสภาพทุกแบบทั้งการจราจรในเมือง, วิ่งทางไกล, ขึ้นและลงเขา เรียกได้ว่าครบทุกแบบ
แต่ช่วงเริ่มต้นใน 200 กิโลเมตรแรก จะเป็นคิวของพี่ที่ร่วมรถมา 2 คน ไม่ว่าจะเป็นพี่กบหรือพี่โบ๊ตจาก ฅ.ฅนรักรถ ที่สลับกันขับไปในช่วงแรก ผมก็เลยทำหน้าที่ผู้โดยสารด้านหลังกันไปก่อน เอาความรู้สึกแรกคือ เฮ้ย ที่นั่งมันนั่งได้กว้างดีนะ พื้นที่ของ Leg Room เหลือเยอะประมาณหนึ่งเลย ขนาดพี่โบ๊ตสูงระดับเกือบ 190 ซม.นั่งอยู่ข้างหน้า มีการถอยเบาะมาในระดับที่พี่เขานั่งได้สบาย ขายังเหลือพื้นที่ให้ขยับได้อยู่เลย ส่วน Head Room นี่เหลือเฟือ นั่งได้โปร่งโล่งสบาย (ผมสูง 172 ซม.) พื้นที่พักแขนตรงประตู จุดที่วางมีการใช้วัสดุหนังสังเคราะห์สีส้มมารองเอาไว้พอดี เลยทำให้การวางนั่นให้สัมผัสที่สบายจริง ๆ เสียแต่ว่าเบาะตรงกลางไม่มีเบาะให้ท้าวแขนได้ ถ้ามีเบาะพับออกมาให้อีกสักอัน จะยอดเยี่ยมกว่านี้มาก แต่สิ่งที่ไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่ ก็คือท่านั่งนี่แหล่ะที่มันดูหลังตรงมากไปนิด ผมว่าถ้าเป็นรถอเนกประสงค์ ก็น่าจะปรับเบาะให้เอนมากกว่านี้ได้หน่อย เพราะท่านี้นั่งไกลก็ทำเอาเมื่อยได้พอตัวเลย กับอีกอย่างคือเรื่องความนุ่มของตัวเบาะ ที่นั่งแล้วมันจมไปนิด ถ้าแข็งกว่านี้อีกนิดน่าจะดีสำหรับคนอายุเข้าวัยกลางคนอย่างผมนะ แต่สำหรับคนวัยหนุ่มสาว อาจจะชอบแบบนี้ก็เป็นได้ เอาเป็นว่าลองไปนั่งกันดูก็แล้วกัน
ในการนั่งด้านหลังของ Nissan Kicks e-Power VL ผมว่าดีในระดับหนึ่งเลยนะ ตัวรถไม่ได้รู้สึกถึงอาการโยน เลยไม่รู้สึกถึงอาการเวียนหัวสักเท่าไหร่ ขนาดนั่งขึ้นเขา ที่มีทางโค้งเยอะมากมาย ยังนั่งได้โดยไม่ถูกเหวี่ยงไป-มาเลย แต่มันเหมือนจะมีอาการกระด้างอยู่เล็กน้อย เกินกว่าจะเป็นรถอเนกประสงค์ที่เน้นความนั่งสบายไปนิด โดยเฉพาะเวลาวิ่งผ่านถนนที่ไม่เรียบ จะรู้สึกได้เยอะเลย แถมช่วงความเร็วสูง เสียงยางจากล้อหลังจะชัดมาก และจะมีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาในบริเวณขอบประตูแถวซุ้มล้อด้วย แต่ไม่ได้มากจนน่ารำคาญอะไร เพราะเสียงยางมันดังกว่า ส่วนการที่ไม่มีช่องแอร์ด้านหลังก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมาย เพราะความเย็นไหลมาถึงข้างหลังได้อยู่แล้ว ส่วนความดีงามคือมีช่อง USB มาให้ถึง 2 ช่อง ไม่ต้องแย่งกันระหว่างนั่งข้างหลังเลย
เมื่อผ่านไป 200 กิโลเมตรแรก ภารกิจในการนั่งด้านหลังของ Nissan Kicks e-Power VL ก็จบลงแล้ว คราวนี้ก็ถึงหน้าที่ในตำแหน่งคนขับได้แล้ว โดยช่วงสุดท้ายจะเริ่มต้นด้วยเส้นทางบนเขาแบบเลนสวนก่อน แล้วไปจบที่เส้นทางแถบเมืองอีกช่วงสั้น ๆ ในตอนท้าย สัมผัสแรกที่นั่งลงไปก็คือ มันก็พอดีอยู่นะ ตัวทัศนวิสัยก็ชัดเจน มองรอบข้างได้สบาย ไม่มีจุดไหนที่รู้สึกว่าบังจนน่ารำคาญ (แต่ยังยืนยันเรื่องความนุ่มของเบาะนะ) อุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่ในจุดที่เอื้อมมือถึงแบบไม่ต้องฝืน หน้าปัดข้อมูลตัวรถก็ขนาดใหญ่ดี มองเห็นได้ชัดเจน เลือกเปลี่ยนดูข้อมูลอื่นก็ง่ายด้วยปลายนิ้ว จะดูอัตราประหยัด, ข้อมูลการใช้พลังงาน กดปุ่มบนพวงมาลัยไม่กี่ทีก็ได้แล้ว แต่ส่วนของพวงมาลัยนี่สิ ที่ผมไม่ค่อยถูกใจนัก ถึงมันจะเป็นแบบหุ้มหนัง แต่มันดูแข็งคล้ายพลาสติกเลย เวลาจับแล้วสัมผัสมันแข็ง ไม่ดูดมือ ถ้าหนานุ่มกว่านี้ก็คงจะดี
ท่านั่งกำลังดี ติดอยู่อย่างเดียวก็ตรงคอนโซลกลางข้างขาซ้ายมันโป่งออกมาเยอะไปนิด กางขายาก นั่งขับไกลจะเมื่อยกว่ากางขาได้ ส่วนตัวเกียร์นั้น ต้องบอกว่ารถคันนี้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีเครื่องปั่นไฟติดมาให้ด้วย ดังนั้นเกียร์จึงไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขาเท่าไหร่ มีก้านขึ้นมาแค่นิดเดียวเอาแค่พอโยกได้ แต่ก็ดีกว่าของ Leaf นะ เพราะขานั้นเขาเป็นเหมือนตุ่มออกมาให้เราโยกแทน แทบจะดูไม่เป็นคันโยกเกียร์เลย การใช้งานก็ต่างกับเกียร์อัตโนมัติทั่วไปที่จะเดินทางก็โยกลง-ขึ้นไปในตำแหน่งที่ต้องการ แต่สำหรับคันนี้มันไม่ใช่ เราต้องเลื่อนดึงมาทางขวา ถ้าจะเดินหน้าก็โยกมาด้านหลัง แต่ถ้าอยากถอยหลังก็ดันขึ้นไปข้างหน้า แค่นี้จบ ถ้ารถหยุดอยากจอดก็กดปุ่ม P ที่อยู่ข้างกันเลย ง่ายแบบนี้เลย
ส่วนต่อมาที่ชอบก็คือตัวกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน พร้อมกล้องส่องภาพจากภายนอก (เต็มยศ) ที่ยกมาจาก Nissan Terra แต่รอบนี้ถูกอัพเกรดให้ชัดมากขึ้นกว่าเดิม เราเลือกได้เลยว่าอยากจะใช้ภาพในรูปแบบกระจกสะท้อนปกติ หรือจะเอาภาพจากกล้องที่ติดอยู่ด้านท้ายรถมาใช้แทนก็ได้ เพราะอะไร ก็เพราะว่ารถสไตล์อเนกประสงค์ เน้นการเดินทางกันเยอะ ๆ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะนั่งบังวิสัยทัศน์ด้านหลังได้ ก็เลยเอาภาพจากกล้องหลังมาใช้งานเสียเลย ผมว่ามันจะแปลกตาในช่วงแรกนะ เพราะภาพเบาะหลังมันจะหายไปเลย เห็นเป็นรถที่อยู่ด้านหลังแบบใกล้ ๆ ช่วงแรกผมก็ตกใจเล็กน้อยนะว่า เอ้ย ทำไมรถมันอยู่ใกล้หว่า แต่พอใช้ไปใช้มา ชอบแฮะ อยากได้แบบนี้กับรถเราบ้างจัง (ซื้อสิ)
เรื่องหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วที่ใช้งาน Apple CarPlay ได้ ไม่พูดถึงแล้วนะ ใช้ในรุ่นอื่นบ่อยแล้ว เริ่มไม่ตื่นเต้น เรามาสตาร์ทรถเดินทางกันต่อได้แล้ว เมื่อกดปุ่มสตาร์ท เครื่องปั่นไฟยังไม่ติดครับ เพราะว่าไฟฟ้ายังคงมีสะสมในแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 1.57 KWh. อยู่เยอะ เลยดึงไฟมาใช้งานได้อยู่ แต่เมื่อออกตัวไปแปปเดียว เครื่องปั่นไฟก็ติดครับ เริ่มจากบรรยากาศของการขับก่อน ถึงแม้ว่า Nissan Kicks e-Power VL จะใช้งานพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน 100% แต่เมื่อมีเครื่องปั่นไฟทำงานอยู่ เราก็ยังขับรถในบรรยากาศเหมือนกับการใช้งานรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ปกติอยู่ เพราะเมื่อไหร่ที่เรากดคันเร่งให้แรงขึ้น เครื่องปั่นไฟก็จะทำการเร่งรอบเครื่องให้มากขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้ไฟฟ้านั้นเพียงพอส่งไปให้มอเตอร์ทำงานได้ ดังนั้นใครที่คาดหวังจะอยากได้รถที่ขับแล้วเงียบประดุจรถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf คงต้องคิดใหม่เลยครับ คนละแบบกันเลย
ส่วน Feeling ในการขับขี่ เรื่องการขับเคลื่อนมันออกตัวได้ดี รวดเร็วกว่ารถเครื่องยนต์สันดาปภายใน เพราะไม่ต้องรอรอบ แรงบิดมันมาตั้งแต่รอบแรก ๆ เลย และผมว่าดีกว่ารถ Hybrid ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางของเราในช่วงนี้จะเป็นถนนบนเขา ที่เราต้องการกำลังของแรงบิดเพื่อไต่เขาให้ได้ มันดูง่ายกว่าการใช้เครื่องยนต์สันดาปเยอะเลย ไม่ต้องรอเกียร์สับถอยมาเกียร์ต่ำ ไม่ต้องรอรอบในการหมุนล้อ ขึ้นง่ายสบายใจมาก แต่มันยังไม่ดีเท่ารถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf ที่เคยลองมาก่อนหน้านี้ (แม้กระทั่ง MG ZS EV ก็ดูออกตัวได้ดีกว่า) เพราะจากที่เคยลองมามันกระชากแบบหลังติดเบาะมาก แต่การกดคันเร่งบนรถ e-Power คันนี้ มันเร็ว แต่ไม่ดึงขนาดนั้น แค่วิ่งไต่ความเร็วไปอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะไปลดลงเล็กน้อยช่วงหลัง 120 กม./ชม. แล้วจะลากยาวไปจนถึงราว 165 กม./ชม. แล้วก็หมดลง เพราะถึงทางตันจากการจำกัดความเร็วเอาไว้แล้ว (เคยถามวิศวกรของทางนิสสัน ได้คำตอบว่าถึงขีดจำกัดการหมุนของมอเตอร์ไฟฟ้า) เอาเป็นว่าอัตราเร่งออกตัวดีกว่ารถเครื่องยนต์เบนซินระดับ 2.0 ลิตร, ดีกว่า 1.8 Hybrid แต่ยังไม่ดีเท่ารถยนต์ไฟฟ้า
ส่วนความดีงามในการขับ Nissan Kicks e-Power VL นั้น คงต้องยกให้เป็นของช่วงล่างที่ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ทุกโค้งที่เข้าไป มั่นใจได้ทุกโค้ง อาการเหวี่ยง โยน ท้ายไหลหาแทบไม่เจอ ขนาดเดินทางบนเขาที่โค้งเยอะ ทั้งกว้างทั้งแคบผสมกัน ยังทำได้ดีในทุกโค้งเลย ขนาดไม่ได้ยั้งเรื่องการใช้คันเร่งเลยนะ พยายามไปให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่รถจะรับไหว ช่วงวิ่งความเร็วสูง ช่วงล่างก็ยังดูแน่นดีอยู่นะ ถึงแม้ช่วงความเร็วระดับเกิน 140 กม./ชม.ขึ้นไป รถจะเริ่มเบาเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ พวงมาลัยก็แม่นยำดี เพียงแต่ว่าน้ำหนักในช่วงใช้ความเร็วสูงมันเบาไปนิดนึง ถ้าปรับน้ำหนักให้มากกว่านี้อีกนิดหนึ่งก็คงจะดีไม่ใช่น้อย
สิ่งหนึ่งที่ไม่ถูกใจเลยเวลาใช้งาน Nissan Kicks e-Power VL ก็คือเรื่องของการเก็บเสียง ที่อยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้นเอง โดยเฉพาะเสียงยางที่ลอดมาจากทางใต้ท้องค่อนข้างดังรบกวนมากไปหน่อย ไม่ได้ดังถึงขนาดคุยกันไม่รู้เรื่องนะ แต่ดังกว่าเพื่อร่วมคลาสเดียวกันแน่นอน อันนี้ผมว่าทางนิสสันควรต้องหาทางปรับปรุงนะ
การเดินทางครั้งนี้กับ Nissan Kicks e-Power VL ระยะทางขาไปประมาณ 300 กิโลเมตรจนถึง อ.เมือง จ. กาญจนบุรี (ไม่ต้องสงสัย ขับอ้อมเขา) เริ่มเซ็ตอัตราการใช้น้ำมันตั้งแต่เริ่มต้น ซัดกันแบบไม่ทนุถนอม ได้อัตราออกมาที่ 15.2 กิโลเมตร/ลิตร อัตรานี้ผมว่าดีกว่าเครื่องยนต์เบนซินนะ แต่มันก็ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ Hybrid ส่วนขากลับก็เริ่มเซ็ตใหม่เหมือนกัน แต่รอบนี้พยายามขับให้เหมือนการใช้งานปกติมากที่สุด ความเร็วเฉลี่ยราว 100-120 กม./ชม. (ขับคนเดียวยาว ๆ) มีบ้างบางจังหวะที่กดขึ้นไปย่านความเร็วสูงบ้างแต่ไม่มาก และมีสภาพการจราจรแบบรถติดบ้างเล็กน้อย ระยะทางราวเกือบ 150 กม. ได้อัตรามาที่ 17.9 กิโลเมตร/ลิตร ดีขึ้นแฮะ และจากที่สังเกตุดู จะเห็นได้ว่าช่วงที่ใช้ความเร็ว วิ่งนอกเมือง อัตราที่ได้ไม่ได้มากขนาดนี้ แตะแถว 15 กิโลเมตร/ลิตร แต่ตัวเลขมาเริ่มขึ้นเอาช่วงใกล้เมือง วิ่งได้ไม่เร็ว และช่วงเจอรถติดเล็กน้อย ตัวเลขถึงขยับขึ้นมาได้ ผมว่าปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขมันมากขึ้นได้ ก็เพราะความเร็วที่ใช้, การออกตัว และช่วงรถติดนี่แหล่ะที่เครื่องปั่นไฟทำงานไม่หนักเท่าไหร่ ยิ่งช่วงรถติด เครื่องปั่นไฟจะไม่ทำงานเลย สรุปว่าประหยัดกว่าเครื่องยนต์ แต่ไม่ต่างกับเครื่องยนต์ Hybrid มากมายแต่อย่างใด
สรุปหลังจากที่ขับ Nissan Kicks e-Power VL ไป 2 วัน ระยะทางที่ผมได้ขับและนั่งรวมเกือบ 450 กิโลเมตร สรุปสิ่งที่ชอบและไม่ชอบได้ดังนี้ครับ
ชอบ
- ช่วงล่างดีมาก เข้าโค้งดี ถึงแม้ว่าช่วงเร็วสูงอาจจะมีตัวเบาบ้าง แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในจุดที่ไม่เกินงามอยู่
- อัตราเร่งออกตัวดี ไต่เขาสนุก อาจไม่เท่ากับรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Nissan Leaf แต่ก็ดีกว่าเครื่องยนต์ปกติ
- อัตราประหยัดดีนะ ใช้ในเมืองน่าจะได้เยอะระดับ ECO Car แต่ขนาดรถโตกว่าเยอะเลย
ไม่ชอบ
- การเก็บเสียงยังคงต้องปรับปรุง โดยเฉพาะด้านหลัง
- เบาะนั่งนุ่มไปนิดสำหรับผม และมันเอนน้อยไปหน่อย ถ้าใส่ที่ท้าวแขนพับได้ตรงกลางเบาะหลังก็คงดีกว่านี้
ถึงแม้ว่า Nissan Kicks e-Power VL จะเป็นรถในการใช้ระบบขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ ที่คนไทยอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับรูปแบบของ Series Hybrid หรือ e-Power ของนิสสัน แต่ผมเชื่อว่า นี่จะเป็นรถที่มาคั่นรอยต่อของรถยนต์สันดาปภายในกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% (ใครบอกว่า Hybrid คือรอยต่อ ผมบอกเลยว่านี่คือรอยต่อที่แท้จริง) เพราะมันคือรถอเนกประสงค์ที่ได้อารมณ์การขับขี่แบบรถยนต์ไฟฟ้า EV แต่ไม่ต้องหาจุดชาร์จไฟฟ้าที่ยังมีน้อยอยู่ในประเทศที่ถนนเรียบมากกว่าประเทศอื่น (ณ ปัจจุบันมีเพียงแค่ประมาณ 1,000 จุด และจุดชาร์จเร็วมีไฟฟ้าไม่แรงพอที่จะจ่ายให้ทำงานได้) ในราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 889,000 บาท และตัวบนสุดที่ผมทำการทดสอบในทริปนี้ ในราคา 1,049,000 บาท ซึ่งมันก็ไม่ได้สูงมากเกินไปกว่าที่จะเอื้อมถึง และถ้าคุณได้เป็นเจ้าของรถยนต์รูปแบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจนชินแล้ว คุณจะไม่อยากกลับไปขับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในอีกเลย
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com