Test Drive: ทดสอบรถยนต์ Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT มาดใหม่ที่หล่อและปลอดภัยกว่าเดิม
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 10 มี.ค. 62 00:00
- 13,555 อ่าน
ถอยหลังกลับไปเมื่อปี 2005 ค่ายรถยนต์ตราเพชร ได้ทำการปฏิวัติวงการออกแบบรถกระบะในประเทศไทยใหม่ ด้วยการปล่อย Mitsubishi Triton ลงสู่ตลาด ด้วยภาพลักษณ์ที่แตกต่าง โดยเฉพาะตัวกระบะ ที่มีท้ายโค้งลง และช่วงเชื่อมต่อกับหัวด้านหน้า ก็เป็นโค้งเว้า ตัวท็อปมีออพชั่นที่สามารถเปิดกระจกด้านหลังได้ มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ตัว ก็คอื 2.5 และ 3.2 ลิตร ทำเอาตลาดฮือฮาได้อย่างเต็มที่ และสร้างยอดขายได้อย่างน่าพอใจ
จนมาช่วงปี 2014 ทางมิตซูบิชิก็ได้ทำการปล่อยรถกระบะรุ่นนี้มาลงตลาดอีกครั้ง กับการเปลี่ยนเป็นโฉมใหม่ ที่ตัวกระบะกลับมาเป็นทางเรียบตรง และก็ยังคงสร้างยอดขายกันได้อย่างต่อเนื่อง จนผ่านมาถึงช่วงปีที่แล้ว ก็ได้ทำการปล่อย New Mitsubishi Triton ใหม่ออกมาสู่ตลาด ที่ทำเอาตลาดแทบแตก เพราะได้มีการเปลี่ยนหน้าตาใหม่ ให้ตรงกับใจชาวนักเลงรถกระบะมากขึ้น (มันคือการยก DNA การออกแบบมาจากหน้าของ XPander มานั่นเอง) จนแทบจะเหมือนการเปลี่ยนครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแบบ Model Change เลย แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่เพียงการ Minor Change เท่านั้น แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนเพียงภาพลักษณ์ที่ดูหล่อมากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังมีอีกหลายอย่างที่เสริมเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
และแล้ว เวลาผ่านไปจนพอสมควร ทางทีมงาน AUTODEFT ก็ได้มีโอกาสรับหมายเชิญจากพี่ตุ๊กกี้ PR สุดน่ารักคนคลองเตยของมิตซูบิชิ เพื่อให้ไปทำการทดสอบ New Mitsubishi Triton โดยมีเส้นทางทดสอบอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ งานนี้ผมเองในฐานะเจ้าของรถกระบะ Triton รุ่นแรก (สมัยเครื่อง 3.2 ลิตร) เลยถือวิสาสะในการตอบรับการทดสอบครั้งนี้แบบรอคอยใจจดใจจ่อ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่า ระยะเวลาผ่านไป 10 กว่าปี จากรุ่นแรกมาถึงปัจจุบัน มันแตกต่างกันมากขนาดไหน
เบื้องต้นเช่นเคย เราคงต้องมาทำความรู้จักกับข้อมูลเบื้องต้นของ Mitsubishi Triton กันก่อน โดยรุ่นที่เราจะทดสอบครั้งนี้ เป็น Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT กระบะตัวท็อปนั่นเอง โดยเครื่องยนต์นั้น จะเป็นรหัส 4N15 AS&G ขนาด 2.4 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว MIVEC เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ ทอร์คคอนเวอร์เตอร์ อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อม Sport Mode ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองได้ ทั้งจากคันเกียร์ และ Paddle Shift ที่พวงมาลัย (วัสดุทำจากแมกนีเซียมอัลลอย) ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ SS4-II พร้อม DIFF LOCK ที่เฟืองท้าย เลือกใช้งานขับเคลื่อนได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L พร้อมการเปลี่ยนจากขับ 2H ไป 4H ด้วยระบบ Shift On The Fly ในความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. มีมิติตัวรถที่ 5,300 x 1,815 x 1,795 มม. (ยาวxกว้างxสูง) ระยะฐานล้อ 3,000 มม. ระยะสูงจากพื้น 220 มม. มีมุมเข้า 31 องศา และมุมจาก 23 องศา ส่วนใต้ท้อง สามารถขับคร่อมทำมุมได้ 25 องศา ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระ ปีกนกสองชั้น คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลัง แหนบแผ่นซ้อนพร้อมโช้คอัพไขว้ เบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรก แบบมีช่องระบายความร้อน ขนาด 320 มม. ที่ยกมาจาก Pajero Sport ส่วนด้านหลังยังคงวเป็นดรัมเบรกเช่นเดิม ล้อใช้เป็นขนาด18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/60 R18
การออกแบบใหม่นั้น อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ Rock Solid พร้อมรูปลักษณ์แบบ Advanced Dynamic Shield หนักแน่น ลงตัว เส้นสายอันดุดันของฝากระโปรงหน้า กระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ ไฟหน้าใหม่ Projector Bi-LED และไฟ LED Daytime อยู่ในโคมเดียวกันติดตั้งอยู่บนตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 100 มม. พร้อมกันชนหน้าดีไซน์เท่ไฟตัดหมอกหน้าที่ออกแบบให้สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 700 มม. โดยเหตุผลที่ออกแบบให้ไฟหน้าและไฟตัดหมอกให้สูงขึ้นนั้นเพื่อทัศนวิสัยในการมองเห็นชัดขึ้นรวมถึงสามารถลุยน้ำท่วมได้อย่างสบาย ๆ ส่วนด้านข้างดีไซน์ใหม่ลงตัวด้วยส่วนโค้งมนตัดกับเส้นสายอันโฉบเฉี่ยวพร้อมซุ้มล้อขนาดใหญ่ดีไซน์ขึ้นรูปไร้คิ้วพลาสติกขึ้นรูปครอบเข้าบังโคลนล้อ พร้อมบันไดข้างเข้ารูปชิ้นเดียว กระจกมองข้างโครเมี่ยมพร้อมไฟเลี้ยวดีไซน์คุ้นเคยจากรุ่น Pajero Sport เน้นความดุน่าเกรงขามสามารถปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้า เส้นสาย J-Line ออกแบบช่องไฟระหว่างด้านหลังตัวรถและแนวกระบะเป็นแนวทางเดียวกัน ฝากระบะท้ายยังคงดีไซนเดิมเพิ่มเติมด้วยสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ไฟท้ายและไฟเบรก LED พร้อม LED Light Guide ดีไซน์คล้ายกับรุ่น Pajero Sport และกันชนหลังใหม่ดีไซน์เรียบง่าย
สำหรับระบบความปลอดภัยนั้น Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT จัดมาให้เพียบ ไม่ว่าจะเป็นระบบมาตรฐานอย่าง ถุงลมนิรภัย 7 ลูก, ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD แถมงวดนี้ เพิ่มระบบเสริมแรงเบรก BA เข้ามาเพิ่มอีกด้วย เสริมด้วย ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล ACTIVE STABILITY AND TRACTION CONTROL (ASTC), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA), ระบบควบคุมรถขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC)
นอกจากนี้ ยังมีระบบความปลอดภัยใหม่เข้ามาเสริมทัพอีก ทั้งระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว Forward Collision Mitigation System (FCM), ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว Ultrasonic misacceleration Mitigation System (UMS), ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW), ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน Lane Change Assist (LCA), ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด Rear Cross Traffic Alert (RCTA), เซ็นเซอร์กะระยะจอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง, กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นกะระยะและเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ, ระบบกุญแจป้องกันการโจรกรรม แบบรีโมท พร้อมปุ่ม Push Start, ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ แทบจะยกระบบความปลอดภัยของ Pajero Sport ทั้งแผง
ส่วนระบบอำนวยความสะดวกนั้น Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT ก็มาในระดับ Premium ไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็น ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย Cruise Control, ระบบสั่งงานด้วยเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ สวิตช์ควบคุมจอแสดงข้อมูลในการขับขี่ที่พวงมาลัย, เครื่องเสียง 2DIN - วิทยุ, ดีวีดี, ซีดี, เอ็มพี 3 พร้อมจอภาพระบบสัมผัส เสริมด้วยระบบนทางในรถยนต์ พร้อมลำโพง 6 จุด เชื่อมต่อกับ Smartphone ได้ทั้งแบบเสียบสาย USB และแบบไร้สาย Bluetooth ส่วนระบบความเย็นด้านหลังนั้น ใช้การดูดอากาศจากด้านหน้า ผ่าน Blower ที่ติดตั้งอยู่บนเพด้านกลางรถ แล้วเป่าไปที่ผู้โดยสารด้านหลัง ที่สามารถควบคุมการเปิด-ปิด และกำลังลมได้ด้วยตัวเอง และมีช่อง USB สำหรับการชาร์ทโทรศัพท์ ให้กับผู้โดยสารด้านหลังอีก 2 ช่อง พร้อมช่องวางโทรศัพท์ให้อีกด้วย
เอาล่ะ ข้อมูลบอกไปจนเต็มที่แล้ว เรามาออกเดินทางไปทดสอบกันได้แล้วครับ โดยเส้นทางวันนี้ จะเริ่มเดินทางออกจากที่พักแถว อ. หางดง จ. เชียงใหม่ มุ่งหน้าสู่ อ. จอมทอง เพื่อจะขับขึ้นไปบนภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยอย่างดอยอินทนนท์ แต่เราจะไม่ได้ไปขึ้นสู่จุดสูงสุด แต่เราจะวิ่งไปทาง อ. แม่แจ่ม ก่อนจะลัดเลาะหลังดอย ไปลงที่แถว อ. แม่วาง แล้วกลับมาที่พัก รวมระยะทางวันนี้อยุ่ที่ราว 200 กว่ากิโลเมตร เส้นทางมีครบ ทั้งทางหลวง, ทางบนเขาที่แสนจะคดโค้ง และแน่นอน ทางออฟโรด ที่เส้นทางนั้น ไม่ได้มีใครจะได้ใช้ทางนี้บ่อย เพราะส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเจ้าหน้าที่เท่านั้น ที่จะเข้ามาใช้งานในเส้นทางนี้ ก็ถือว่าเป็นอีกทริปที่ได้โอกาสเปิดประสบการณ์เส้นทางใหม่กันอีกครั้งครับ
วันนี้บน Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT จะมีนักขับอยู่ทั้งหมด 3 คน ทั้งน้องบอนจาก Ridebuster และน้องภณจาก Pantip Garage หลังจากโอน้อยออกกันแล้ว สรุปผมรับไม้แรกและไม้สุดท้าย เริ่มต้นเส้นทางการเดินทางวันนี้กันที่ถนนหลวงจากหางดง ไป อ.จอมทอง ถนนเป็นทางเรียบวิ่งแบบยาว ๆ ได้ อาจจะมีจังหวะในการชะลอเพราะงานก่อสร้างทางอยู่บ้าง กำลังเครื่องนั้น มันสามารถตอบสนองได้ดีแหล่ะครับ แต่การทำงานของเกียร์ใหม่ตัวนี้ อาจจะมี Feeling แปลกไปจากตัวก่อนอยุ่หน่อย ตรงที่เมื่อเรากดคันเร่งไปเต็มที่ ตัวระบบจะดึงไม่ให้รถพุ่งออกไปทันที จะค่อยปล่อยกำลังออกมา แล้วไหลเพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อย ๆ ถึงระดับ 160 กม./ชม. ได้อย่างสบาย เพียงแค่มันไม่ได้กระชากหลังติดเบาะเท่านั้นเอง ดังนั้นขาซิ่งที่ชอบแรก G เยอะ ๆ ช่วงกดคันเร่ง อาจจะไม่ชอบกันเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนจะพารถพุ่งเข้าช่องไปไม่ได้ แต่จริง ๆ แล้ว มันก็ไปได้เหมือนกัน
อีกส่วนที่ต้องชมก็คือเรื่องของเบรก เพราะกดเบรกช่วงที่ต้องการลดความเร็วมาก ๆ สามารถหยุดรถได้ดีและนิ่งกว่าเดิม ความดีความชอบนี้ั มาจากการที่เพิ่มขนาดของตัวจานเบรกให้ใหญ่ขึ้นนั่นเอง ส่วนการเก็บเสียงนั้น ทำได้ดีเลิศ ถึงแม้จะขึ้นความเร็วไปถึงระดับ 120 กม./ชม. เสียงลมเข้าห้องโดยสารน้อยมาก ดังนั้นถ้าใครมาขับ Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT แล้ว คงต้องคอยหันมองหน้าปัดบอกความเร็วกันสักหน่อย เพราะคุณอาจจะเพลินกดกันความเร็วเกิน จนอาจจะมีใบสั่งส่งมาถึงบ้านก็ได้นะ อันนี้บอกเอาไว้ก่อน
วิ่งต่อมาจนถึงตีนดอยอินทนนท์ ความนี้ต้องวิ่งขึ้นเขา เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางตรงโครงการดอยหลวงอินทนนท์ เพื่อที่จะแวะรับประทานอาหารกลางวันกันก่อน เส้นทางช่วงนี้ยังคงเป็นแบบ On-Road อยู่ แต่จะเริ่มเป็นทางเลนสวน แล้วขึ้นเขา แถมยังคดเคี้ยวในระดับหนึ่งอีกด้วย แต่เรื่องการเข้าโค้งเนี่ย ผมว่า Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT ไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ทุกโค้งนี่สามารถใส่ได้อย่างเต็มที่ ถึงแม้จะเป็นโค้งแคบก็ตาม พวงมาลัยแม่นพอตัว ถึงแม้จะยังคงใช้งานแบบไฮโดรลิกผ่อนแรงอยู่ก็ตาม ส่วนกำลังเครื่องช่วงตอนขึ้นเขาที่สูงที่สุดในประเทสไทย สบายมาก แรงบิดสุงสุดระดับ 430 นิวตันเมตร พาตัวรถไต่เขากันได้อย่างสบาย ไม่ต้องลุ้นอะไรเลย แม้กระทั่งการเร่งแซงบนเนินขึ้นก็ตาม สุดท้ายก็เดินทางหมดกะแรก รอบต่อไปต้องเปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสารบ้างแล้ว
เส้นทางต่อไป คือเดินทางออกจากโครงการดอยหลวงอินทนนท์ แล้ววิ่งไปทางแม่แจ่ม ก่อนที่จะตัดเข้าเส้นทางออฟโรด ที่อ้อมหลังดอยอินทนนท์ไปลงที่แถวอำเภอแม่วาง โดยช่วงนี้ จะมีพลขับเป็นน้องภณ Pantip garage ผมเองนั่งอยู่ด้านหลัง สัมผัสแรกที่รู้สึกได้ก็คือ การนั่งยังคงเป็น 1 ในรถกระบะ 4 ประตู ที่นั่งด้านหลังได้สบายมากที่สุด เพราะมีช่วงเอียงค่อนข้างจะมากกว่าคู่แข่ง สิ่งที่เพิ่มเติมมา ช่วยให้สบายมากยิ่งขึ้น ก็คือแอร์หลัง ที่ใช้การดูดลมจากทางด้านหน้า เพื่อเอามาเป่าที่ด้านหลัง สามารถควบคุมการเปิด-ปิด และความแรงลมได้เองเลย ทำให้รู้สึกสบายตัวมากกว่าการรอไอเย้นให้ลอยจากด้านหน้ามาด้านหลัง (หลักการเดียวกันกับของ Xpander) แต่บานพับเพื่อหันทิศทางลม อาจจะไม่คุ้นตาเหมือนกับรุ่นอื่นทั่วไป แต่หลักการทำงานเหมือนกันแน่นอนครับ
อีกอย่างที่ชอบคือ ในส่วนของช่อง USB ที่เอาไว้ให้ชาร์จโทรศัพท์มือถือได้ แถมยังมีช่องเพื่อเอาไว้วางโทรศัพท์ได้อีก เรียกว่า เอาใจคนนั่งหลังอย่างเต็มที่ และกำลังไฟที่จ่ายมา ก็แรงมากพอที่จะชาร์จไฟจากต่ำกว่า 50% ของโทรศัพท์ผม (iPhone8Plus) ให้เต็มได้ในระยะเวลาเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จากการนั่งข้างหลังก็คือ อาการกระเด้ง ที่ดูจะกระด้างมากกว่าตัวโฉมแรก ที่ผมเป็นเจ้าของมาก่อนเล็กน้อย ตอนแรกเราคุยกันในรถว่า จะมาจากการที่สูบยางแข็งเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อแวะปั๊มเพื่อเช็คดู แรงดันยางก็อยู่ที่ 35 PSI ก็ถือว่าอยู่ในอัตราปกติของรถกระบะนะ ซึ่งจากการสอบถามกับทางวิศวกรของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทยแล้ว ก็ได้คำตอบกลับมาว่า จริง ๆ แล้วในรุ่นนี้ มีการปรับค่าแหนับตัวบนสุดให้มีค่า K น้อยลง และปรับขนาดของโช๊คให้ตัวใหญ่ขึ้นแล้ว ไม่น่าจะทำให้ตัวรถมีอาการกระด้างไปมากขึ้นกว่าเดิม แต่ข้อมูลที่แจ้ง ก็คือเปลี่ยนจากตัวรุ่นปี 2018 นั่นเอง แต่ที่ผมสัมผัสก็คือ ตัวรุ่นโฉมแรกปี 2005 เลย แต่มันก็อาจจะมาจากที่เราวิ่งในเส้นทางที่ขรุขระมากกว่าทั่วไปก็ได้ อันนี้เอาไว้ชวนคิด
ส่วนเรื่องการเข้าโค้ง ที่ช่วงนี้ต้องเจอกับเส้นทางที่เป็นทางโค้งเยอะมาก แบบโค้งตัว U ลงเขาก็เยอะ ไม่มีปัญหาครับ การโยนตัวของด้านท้าย ที่เราอาจจะเจอได้เมื่อเรานั่งแถว 2 พบว่าแทบไม่เจอเลยครับ นั่งได้แบบไม่ต้องเอียงไปเอียงมามากมาย ถึงแม้ขบวนจะพาเข้าแต่ละโค้งแบบไม่ละเมียดละมัยเลย (ไม่เกรงใจคนนั่งหลังเลย) ซึ่งต้องยอมรับว่า การเข้าโค้งของ Mitsubishi Triton นั้น ยังคงไว้ใจได้ตั้งแต่โฉมแรก จนถึงตัวล่าสุดจริง ๆ
หลังจากเวียนหัวไปบนเขากันมากพอแล้ว ก็ถึงคิวที่ Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT จะต้องลงลุยในเส้นทาง Off-Road กันบ้างได้แล้ว เส้นทางไม่ถึงกับต้องใช้ 4L ครับ สามารถหมุนปุ่มให้ทำงานขับเคลื่อนแบบ 4H ได้เลย เราจะได้ลองระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล รวมถึงการควบคุมรถฝ่าอุปสรรคอย่างเหนือชั้น ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เทคโนโลยี Super Select 4WD II ที่เลือกการทำงานของล้อให้โดยอัตโนมัติ และยังได้ลองกล้องมองภาพรอบคัน ที่ใช้กล้อง 4 ตัวจับภาพรอบคันพร้อมภาพมุมสูงที่แสดงสิ่งกีดขวางรอบคัน เพราะในเส้นทางจะมีบางช่วงเป็นเส้นทางดินถล่ม ถนนแทบจะเหลือเพียงพอดีคัน ต้องเปิดกล้องเพื่อดูให้ปลอดภัยตลอดเส้นทาง เส้นทางนี้ทั้งขรุขระ และไต่ขึ้นเขา แต่กำลังเครื่องรถกระบะที่เรานั่งนั้นเหลือเฟือ ไม่ต้องลุ้นว่าจะผ่านไหม รถจะไปได้ไหม ทุกอย่าง ผ่านไปด้วยดี กับลำไส้ที่กองไปรวมกันอยุ่ที่เดียวแล้ว
เมื่อผ่านเส้นทางออฟโรดไปแล้ว ก็ลงมาถึงตัว อ. แม่วาง ซึ่งเป็นเส้นทางออนโรดปกติ เราก็เดินทางกลับกันสู่ที่พักกันอย่างชิว ๆ จบการทดสอบวันนี้อย่างสบายใจ ไร้ปัญหาหรืออุปสรรคในการเดินทาง
ถ้าถามว่า Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT ตัวล่าสุดนี้ แตกต่างกับตัวโฉมแรกตัวท็อปมากไหม ก็ถือว่ามากพอสมควรครับ ทั้งเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า ทั้งเรื่องความปลอดภัยและความสะดวกสบาย กำลังเครื่องที่ตอบสนองได้ดีกว่า การทำงานของเกียร์ที่ทำได้นุ่มนวลและต่อเนื่องมากกว่า แต่ตัวเก่าให้ Feeling ในการออกตัว หรือการย่ำคันเร่งได้สนุกกว่า และด้านหลังรู้สึกว่านั่งได้สบายกว่า แต่การออกแบบนั้น ผมให้ตัวล่าสุดชนะเลิศเลย เพราะดูเหนือชั้นกว่าตัวเก่ามากมาย (สำหรับผม คือสวยที่สุดในตลาดรถกระบะปัจจุบันเลย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคลครับ)
Mitsubishi Triton Double Cab 4WD 2.4 GT Premium 6AT มีราคาจำหน่ายเอาไว้ที่ 1,099,000 บาท ถือเป็นราคาที่จับต้องได้ เมื่อเทียบกันกับตัวท็อปที่อยู่ในตลาด กับรถที่เราสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ สามารถเอาไว้ขนของเยอะ ๆ ได้ เอาไปลุยทางแบบ Adventure ได้ ผมว่า คุ้มค่ากับการเป็นเจ้าของอย่างมากเลยครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com