Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition ตี๋หล่อตัวขาว อัพเกรดเพิ่มความหรู
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 22 พ.ค. 62 00:00
- 18,853 อ่าน
ถ้าพิมพ์ถามวุ้นแปลภาษาของ Google เราก็จะพบได้ว่า คำว่า Elite นั้นแปลว่า “ผู้ลากมากดี” ซึ่งถ้าเราเอาคำนี้ไปพูดกับใคร มันก็จะออกแนวถากถางกันเล็กน้อย แต่เราเชื่อกันได้เต็มที่เลยว่า คำว่า Elite ที่พ่วงท้ายจากรถอเนกประสงค์ค่าตราเพชรอย่าง Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition นั้น มันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นแน่นอน
ผมเป็นคนที่ชอบการดีไซน์ของรถในเครือของมิตซูบิชิมาแต่ไหนแต่ไร รถคันแรกที่ได้ขับ ก็เป็น Mitsubishi Lancer โฉม E-Car เพราะอยากเอามาแต่งเป็น Evolution เอาไว้ขับอวดสาวเล่น ๆ (แต่ตังไม่มี สรุปได้เปลี่ยนท่อเสียงดังอย่างเดียว ที่เหลือเดิมหมดยันขาย) และคันต่อมาก็ยังถอยรถกระบะรุ่นแปลกกว่าชาวบ้านอย่าง Mitsubishi Triton มาอีก โดยจัดเป็นตัวท็อป 3.2 มาเลย อาจจะมีคนค่อนขอดว่าหน้าตาเหมือนปลาดุก แต่อย่างไรผมก็มองว่ามันสวยถูกใจผมอยู่ดี
แต่เมื่อทางมิตซูบิชิ ได้ทำการเปิดตัวรถอเนกประสงค์ตัวล่าสุดอย่าง Mitsubishi Pajero Sport ที่เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ออกมาเมื่อช่วงปี 2016 ผมเห็นแล้วร้อง “ว้าว” เลย เพราะมันถูกปรับหน้าตาใหม่ให้ดูก้้าวไกลไปในอนาคตยุคบุกดาวพลูโตกันเลยทีเดียว ทั้งไฟหน้าที่ถูกทำให้เรียวลง ตัวรถที่จัดองคให้ดูเพรียวลมมากขึ้น ไฟท้ายในรูปแบบที่ออกแบบได้แตกต่างกว่าชาวบ้านลิบลับ (บางคนแซวว่าเป็นรูปไม้เท้าคู่) ทำให้แพลนในใจตัวเองไว้ว่า ถ้าถูกหวยรวยเบอร์เมื่อไหร่ ได้เจอกันที่ลานจอดรถในบ้านแน่ ๆ
ถัดมาอีก 2 ปี มิตซูบิชิมองว่า “เฮ้ย แค่นี้ยังหล่อไม่พอว่ะ เรามาออกรุ่นใหม่ที่มันดูผู้ลากมากดีกว่านี้ดีมั้ย?” (อันนี้เหตุการณ์สมมุติฮะ) ในที่สุดก็ได้ทำการปล่อย Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition ลงสู่ตลาด เพิ่มตัณหาให้กับผมมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะด้วยภาพแรกที่เห็นคือหลังคาดำแสนสะดุดตา ตัดกับสีขาวมุกของตัวรถ ทำให้ยิ่งเกิดความอยากได้ขึ้นมาอีกมาก
เพื่อลดกิเลส เอ้ย ความอยากรู้ว่า เจ้ารถอเนกประสงค์สุดหล่อคันนี้มีชันมีดีอย่างไรบ้าง ในนามของทีมงาน AUTODEFT ก็เลยได้ทำเรื่องเพื่อขอยืมรถมาทดสอบ โดยรอบนี้ได้มาเป็น Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition รถอเนกประสงค์ SUV (หรือจะเรียกเป็น PPV ก็ได้ ไม่ขัดใจกัน) รุ่นตัวท็อปของค่ายตราเพชร ที่ถูกนำมาแต่งองค์ทรงเครื่องกันใหม่ให้กลายเป็นรุ่นพิเศษ เครื่องยนต์ยังคงเป็น MIVEC ดีเซลเทอร์โบ 2.4 ลิตร พละกำลัง 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 430 นิวตันเมตรที่ 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Sport mode และระบบ INC (Idle Neutral Control) G-Sensor ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อทรงประสิทธิภาพด้วยระบบ Super Select 4WD-II นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบล็อกเฟืองท้าย (Rear Differential Lock) ที่ทำงานร่วมกับระบบล็อกเฟืองท้ายกลาง (Center Differential Lock) ซึ่งเป็นระบบที่ติดตั้งในรถอเนกประสงค์ไม่กี่รุ่น
สิ่งพิเศษที่เพิ่มเข้ามาใน Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition นั้น ที่โดดเด่นที่สุด น่าจะเป็นเบาะหนังสีน้ำตาลแบบ Horizontal Stripe ที่ทางมิตซูบิชิบอกว่า เป็นวัสดุสะท้อนความร้อน ไม่เก็บความร้อนเอาไว้ที่ตัวเบาะเมื่อจอดในกลางแดด ใครที่เคยทำแบบนี้คงรู้ดี เพราะเมื่อเข้าไปในรถแล้วนั่งลงไปบนเบาะ ก็ประดุจดั่งนั่งอยู่บนเตาเผาไฟ ร้อนบั้นท้ายจนสะดุ้งทันที แต่เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นในรถอเนกประสงค์คันนี้นั่นเอง เบาะคู่หน้าปรับระดับได้ 8 ทิศทาง ด้วยระบบไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังถูกเสริมความเข้มดุดันด้วยสีดำตลอดรอบคัน ที่เด่นสุดก็คือหลังคาสีดำ ที่ คหสต. คิดว่ามันหล่อมาก กระจังหน้า, ชุดแต่งใต้กันชนหน้า-หลัง, ราวหลังคา, สปอยเลอร์หลัง, ล้อแม็กซ์ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/60R18 ก็เป็นสีดำทั้งนั้น แถมยังเพิ่มชื่อรุ่น “Pajero Sport” ปะเอาไว้ที่ขอบกระโปรงหน้าอีกด้วย (ประดุจเป็นพื้นที่โฆษณา) ทำให้รุ่นพิเศษนี้ เข้มดุดันเอาเป็นอย่างมาก ดีว่าปลายท่อไอเสียยังเป็นสแตนเลสสีเงินอยู่ ถ้าเป็นสีดำด้วยล่ะก็… (ถ้าซื้อ จะเอาไปชุบดำ)
มิติของตัวรถนั้น ขนาด 4,785 x 1,815 x 1,805 (ยาว x กว้าง x สูง) ฐานล้อกว้าง 2,800 มม. ระยะสูงของใต้ท้อง 218 มม. ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,520 มม. ล้อหลัง 1,515 มม. น้ำหนักรถโดยประมาณ 2,095 กิโลกรัม
การออกแบบของ Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition นั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนกับรุ่นปกติแหล่ะครับ อาจจะมีเพิ่มเติมเล็กน้อย พวกสัญลักษณ์ Pajero Sport ในจุดต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้มีผลกับการใช้งานหรือเพิ่มความโดดเด่นได้แบบเตะตาเท่าไหร่หรอก ไฟหน้าเป็นแบบ Projector Bi-LED พร้อมระบบปรับลำแสงอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ Spectrum LED พร้อมระบบน้ำฉีดล้างไฟหน้า ไฟท้ายแบบ Spectrum LED เส้นสายสวยงาม พร้อมไฟเบรกแบบ LED มีเสาอากาศแบบฝังบนกระจกหลัง
เบาะนั่งภายในเป็นแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง เบาะแถว 2 พับได้แบบ 60:40 ส่วนแถวที่ 3 พับได้แบบ 50:50 แผงคอนโซลหน้าเน้นการใช้สีดำเป็นหลัก แล้วตัดขอต่าง ๆ ด้วยสีเงินโครเมียมเพื่อเพิ่มความหรูหรา ระบบปรับอากาศ แบบปรับอุณภูมิอัตโนมัติแยกซ้าย-ขวาได้ มีปุ่มเปิด-ปิดแอร์ที่ด้านหลัง แต่ในที่นั่งแถว 2 ก็สามารถเพิ่ม-ลด หรือปิดพัดลมเองได้ตามความต้องการ แถมยังเพิ่มความไฮโซด้วยการที่มีระบบกรองอากาศ Nanoe (นาโนอิ) หายห่วงเรื่องใช้งานช่วงที่มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไปเลย (ลงรถไปก็ตัวใครตัวมัน) พวงมาลัยปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ส่วนทรงของพวงมาลัยเป็นแบบกลมปกติ หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ ให้สัมผัสที่ดีในระดับหนึ่ง มีแผงปุ่ม Multi-Function ใช้ควบคุมหน้าจอทั้งตัว Infotainment และหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ มีปุ่มที่ใช้ควบคุมการทำงานของ Adaptive Cruise Control ที่คอพวงมาลัยมี Paddle Shift ที่ทำจากแม็กนีเซียมอัลลอย แต่จะแปลกกว่าชาวบ้านหน่อย ที่มันไม่ได้หมุนตามพวงมาลัย จะติดเป็นตำแหน่งตายตัวอยู่ข้างพวงมาลัยเลย โดยวิศวกรผู้ออกแบบของมิตซูบิชิได้ให้เหตุผลว่า เวลาเราหมุนพวงมาลัยป เราจะได้ไม่สับสนว่า ที่เราจะกดไปนั้น เป็น + หรือ - กันแน่ การติดตตั้งแบบตายตัวไว้ จะทำให้เราไม่สับสนแน่นอน (อ่ะ ก็แล้วแต่)
Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition ใช้เทคโนโลยีกุญแจแบบ KOS แต่ไม่สามารถแตะที่จับประตูแล้วปลดล็อคเองได้ ต้องกดปุ่มเพื่อเปิดหรือสั่งล็อกเท่านั้น เครื่องเสียง 2DIN - วิทยุ, ดีวีดี, ซีดี, เอ็มพี 3, จอภาพระบบสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว เชื่อมต่อได้ทั้งผ่านช่อง USB, สาย HDMI และ Bluetooth, มีระบบนำทาง (ไม่มี Apple CarPlay) พร้อมลำโพง 6 ตัว จอภาพแบบ Wide Screen พร้อมเครื่องเล่นดีวีดี และรีโมท สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ติดอยู่บนเพดานช่างหลังเบาะคนขับ โดยในรถจะมีแถมหูฟังอินฟราเรด 2 ชุด เพื่อให้การรับชมหน้าจอที่ตอนหลังไปรบกวนคนขับขี่ได้ (อุปกรณ์ชุดนี้ไม่ได้ลอง หาแผ่น DVD ไม่ได้ 555)
ระบบความปลอดภัยใน Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition นั้นเพียบ ทั้งถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง, ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล Active Stability and Traction Control (ASTC) , ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC), ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว Forward Collision Mitigation (FCM) , ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว Ultrasonic misacceleration Mitigation (UMS), ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW), สัญญาณกะระยะจอด, กล้องมองภาพรอบคัน Multi Around Monitor พร้อมเส้นกะระยะและเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ, เบรกมือไฟฟ้า
ส่วนโหมดการขับเคลื่อนบน Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition นั้น อาจจะดูซับซ้อนกว่าของทั่วไปเล็กน้อย ที่ทางมิตซูบิชิเรียกว่า Super Select 4 WD II โดยตัวแรกนั้นถูกเรียกว่า
- 2H-2WD HIGH-RANGE ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อที่เหมาะกับการใช้งานถนนปกติทั่วไป ใช้การขับเคลื่อนเฉพาะ 2 ล้อหลังเท่านั้น ให้อัตราเร่งที่ดี และประหยัดน้ำมัน เพราะกำลังของเครื่องยนต์ทั้งหมด 100% จะถูกส่งไปเฉพาะที่ล้อคู่หลัง
- 4H-4WD HIGH-RANGE เป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เหมาะกับสภาพถนนเปียกลื่นที่ใช้ความเร็ว โดยระบบจะส่งกำลังจะถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปทั้งล้อหน้า 40% และล้อหลัง 60% บนถนนแห้ง และล้อหน้า 50% และล้อหลัง 50% เมื่อถนนเปียกลื่น โดยระบบ Torsen (Torque-Sensitive Type) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนนให้มากขึ้น เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง ในตำแหน่งนี้ระบบจะทำงานแบบระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-time All Wheel Control
- 4HLc-4WD HIGH-RANGE WITH LOCKED TRANSFER จะเป็นระบบที่มีการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 โดยมีระบบ Center Differential Locked ทำหน้าที่ในการส่งกำลังในอัตราส่วนล้อหน้า 50% และล้อหลัง 50% เท่ากันตลอดเวลาสำหรับใช้ในเส้นทางทุรกันดาร แต่ยังสามารถใช้ความเร็วได้บนเส้นทางที่มีพื้นผิวแบบลื่นไถล
- 4LLc-4WD LOW-RANGE WITH LOCKED TRANSFER ตัวระบบส่งกำลังจะถ่ายทอดกำลังเครื่องยนต์ไปยังล้อทั้ง 4 โดยมีระบบ Center Differential Locked ทำหน้าที่ในการส่งกำลังในอัตราส่วน ล้อหน้า 50% และล้อหลัง 50% เท่ากันตลอดเวลา และเกียร์ส่งกำลัง (Transfer Gear Ratio) จะเพิ่มอัตราทดให้สูงขึ้น ช่วยทำให้กำลังการขับเคลื่อนมีมากขึ้น เหมาะสำหรับสภาพเส้นทางที่ทุรกันดารมาก ๆ และมีโคลน หรือเส้นทางแบบมีเนินสลับ และมีความลาดชันมากๆ ใช้ความเร็วต่ำ เน้นส่งแรงบิดไปที่ล้อให้ได้มากที่สุด
ช่วงล่างด้านหน้าของ Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition ใช้เป็นแบบอิสระ แบบดับเบิ้ลวิชโบน คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทรีลิงค์ ทอล์คอาร์ม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรกใช้เป็นดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ
จบการให้ข้อมูลตัวรถที่สำคัญไปจนครบแล้ว เรามาเดินทางทดสอบกันบน Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition เลยดีกว่า หลังจากขึ้นไปนั่งแล้ว สัมผัสของตัวเบาะนั้น ดูจะต่างจากหนังทั่วไปเล็กน้อย มันออกจะฝืดหน่อย แต่มันไม่ร้อนตามที่เขาคุยจริง ๆ (ตอนไปรับยรถ จอดอยู่ท่ามกลางแดดจ้า) วิสัยทัศน์นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย รถมันสูง มองอะไรก็สะดวกอยู่แล้ว ตัวเบาะนั้น โอบกระชับกับตัวผมได้พอดิบพอดี ไม่นิ่ม ไม่แข็งจนเกินไป ที่้ทาวแขนอยู่ในตำแหน่งที่วางพักเพื่อแก้เมื่อยได้ดี แผงควบคุมแอร์ ถึงแม้จะเป็นระบบอัตโนมัติ แยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาได้ แต่หน้าตามันดูโบราณไปหน่อยนะ แทบจะยกมาจาก Mitsubishi Mirage ทั้งดุ้น ไม่ค่อยโดนใจเท่าไหร่ ส่วนหัวเกียร์เป็นแบบเหลี่ยม จับได้กระชับมือดี ท่านั่งขับเป็นแบบนั่งจริง ๆ ตัวปุ่มควบคุมแต่ละส่วนก็สามารถเอื้อมไปกดได้ง่าย และอยู่ในตำแหน่งที่ชัดเจน ไม่มีจุดไหนที่จะพลาดไปกดปุ่มอื่นได้
เมื่อออกตัวมา สัมผัสแรกที่ชอบมากก็คือความนุ่มนวลของช่วงล่าง เอาล่ะ เราต้องยอมรับอยู่อย่างว่า ถึงแม้ว่าตัวรถจะถูกออกแบบให้มาเป็นรถครอบครัว แต่ในพื้นฐานการผลิต มันก็คือรถที่ผลิตโดยใช้พื้นฐานมาจากรถกระบะ จะบอกว่าความนุ่มนวลเทียบเท่ารถเก๋ง มันก็คงเป็นไปได้ยาก แต่บอกได้ว่าถ้าเทียบกับบรรดาคู่แข่งด้วยกัน Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition ก็เป็นรถที่มีความนุ่มนวลในลำดับต้น ๆ แน่นอน
กำลังเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร 181 แรงม้านั้น เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปแบบเหลือเฟือ แต่การเซ็ตกำลังของเครื่องยนต์นั้น ไม่ได้ทำมาให้ออกตัวได้ปรู๊ดปร๊าด แต่ออกตัวด้วยความสุภาพ แล้วค่อยปล่อยกำลังเครื่องออกมาเพื่อฉุดรถให้พุ่งเพิ่มความเร็วขึ้นไป แบบไม่ให้หน้าหงาย วิ่งทำความเร็วไปได้ต่อเนื่อง แล้วค่อยไปเหี่ยวแถวช่วงประมาณ 140 กม./ชม. ขึ้นไป แต่ถ้าคุณจะใช้รถสไตล์นี้ คุณจะเอาเร็วแบบมาก ๆ ไปเพื่ออะไรล่ะ ส่วนการทำงานของเกียร์นั้น อาจจะมีบ้างในบางเกียร์ที่มีความรู้สึกถึงรอยต่อ แต่ก็ไม่ได้กระตุกจนหัวทิ่มหน้าหงายอะไรมากมาย
แต่สิ่งหนึ่งที่ส่วนตัวรู้สึกไม่ค่อยถูกใจในการขับขี่ Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition ก็คงต้องเป็นเรื่องของน้ำหนักพวงมาลัย ช่วงความเร็วสูงระดับ 80 กม./ชม. ก็โอเคแหล่ะ แต่ช่วงรถติดในเมือง ที่ต้องหมุนพวงมาลัยเปลี่ยนเลนบ่อย หรือขับรถลขึ้น-ลงอาคารจอดรถ รู้สึกว่าพวงมาลัยน้ำหนักมันตึงมือมาก นานเข้ามันก็เกิดอาการล้าแขนเอาเรื่องได้เหมือนกัน
รอบนี้ผมเอารถไปทดสอบไกลหน่อยครับ จุดหมายปลายทางจะอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ระยะทางการเดินทางในทริปนี้ก็อยู่ที่ราว 2.000 กิโลเมตร มีผู้โดยสารในรถรวมคนขับก็ 7 คน พร้อมสัมภาระอีกมากมาย สิ่งที่ดีงามมากคือช่องว่างด้านท้ายที่เอาไว้เก็บสัมภาระ มันมีที่ว่างมากพอในการวางกระเป๋าเสื้อผ้าของทุกคนได้พอ (กระเป๋าผ้าแบบนิ่ม เลยสามารถปรับรูปทรงให้ไปตามต้องการได้) ส่วนเครื่องใช้อีกเล็กน้อยก็วางไปบนกระเป๋าจนบังกระจกหลัง ทำให้เหลือที่นั่ง 7 ที่เต็ม ๆ ดังนั้นการเดินทางในรอบนี้ จึงได้รับความสะดวกกันไปถ้วนทั่วทุกคนเลย (ยกเว้นคนขับ ยาวเลยจ้า)
การเดินทางในรอบนี้ ผมใช้ความเร็วยืนพื้นที่ช่วง 100-140 กม./ชม. สลับกันไปตามจังหวะของปริมาณรถ ต้องบอกว่า Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition มีความโคลงเคลงในช่วงเดินทางน้อยมาก โดยเฉพาะในแถวที่ 3 ที่มักจะเป็นจุดอ่อนของรถประเภท PPV ที่มีความสูงโย่ง ชวนให้คนอาเจียนได้เสมอยามเมื่อคุณเธอนั่งอยู่แถวสุดท้าย แต่รอบนี้จากการสอบถามผู้โดยสารที่ประจำการอยู่ในเบาะแถวสุดท้ายตลอดการเดินทางว่า อาการช่วงท้ายเป็นอย่างไรบ้าง ก็ได้คำตอบมาว่า ก็เฉย ๆ นะ ไม่ต่างกับการนั่งในแถวที่ 2 เท่าไหร่ อาจจะรู้สึกบ้างในช่วงที่เข้าโค้งแรง แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร สรุปว่า เรื่องการนั่งแถวที่ 3 ผ่านไปได้ด้วยดี ส่วนสำหรับคนขับอย่างผมที่ได้ลองแล้ว ตัวรถถือว่าโคลงน้อยจริง ๆ อาจจะมีบ้างถ้าเราเข้าโค้งแคบแรงไปหน่อย ท้ายอาจจะดูโยนบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ได้ไหลไปมากอะไรจนทำให้รถเสียอาการ ถือว่านอกจากการเซ็ตช่วงล่างให้นุ่มนวลได้แล้ว ยังทำให้ตัวรถเกาะถนนได้ดีพอตัวเลย
อีกเรื่องที่คงต้องชมเชยกัน คงเป็นเรื่องของการเก็บเสียง ถ้าความเร็วระดับไม่เกิน 130 กม./ชม. ล่ะก็ เสียงลมที่เข้าห้องโดยสารนั้นน้อยมาก แต่พอเกินนี้ขึ้นไปก็จะเริ่มมีเสียงลมเล็ดลอดดังเข้ามาเรื่อย ๆ เรียกว่ายิ่งเร็วยิ่งดัง แต่ส่วนตัวก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เพราะปกติรถที่มีความสูงโย่งขนาดนี้ ต้านลมมากกว่ารถเก๋งเตี้ยติดติน ทำได้ขนาดนี้ถือว่าดีแล้วครับ แต่มันก็มีส่วนที่ไม่ชอบอยู่เหมือนกัน กับเรื่อง Paddle Shift ที่อยู่บนคอพวงมาลัยนี่แหล่ะ มันไม่หมุนตามพวงมาลัย (สาเหตุบอกไปแล้ว ย้อนขึ้นไปอ่านดู) คือมันมีบางจังหวะที่ผมจะใช้ลดเกียร์ลงในช่วงลงเขา แล้วมันเป็นจังหวะที่ต้อหมุนพวงมาลัยพอดี แต่มือเรามันต้องจับแน่นเพื่อประคองรถให้อยู่ตรงเส้นทาง มันเลยทำให้เราไม่สะดวกในการลดเกียร์ด้วยวิธีนี้ ไม่รู้สินะ ยังไงผมว่า ผมก็ยังชอบแบบที่ตัวแป้นหมุนตามพวงมาลัยมากกว่านะ
รอบนี้ ผมพยายามใช้งานให้เหมือนคนปกติทั่วไป เติมน้ำมันเต็มถังไปทั้งหมด 3 รอบ เป็นดีเซลปกติ ได้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 9.4, 9.8 และ 9.5 กิโลเมตร/ลิตร ตามลำดับ ผมถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ ครับ ไม่ได้ประหยัด หรือไม่ได้เปลืองแต่อย่างใด ด้วยความที่บรรทุกคนเยอะด้วย และมีการจอดติดเครื่องบ้างเป็นครั้งคราวตามประสาคนเดินทางออกต่างจังหวัด ลองกดบ้างตามจังหวะรถที่อำนวย ไม่แตกต่างกับคู่แข่งสักเท่าไหร่
Mitsubishi Pajero Sport GT-Premium 4WD Elite Edition มีค่าตัวอยู่ที่ 1,574,000 บาท ถือเป็นราคาในระดับกลาง ถ้าเปรียบเทียบกันในตลาดนี้ ถ้าใครที่มีครอบครัว ชอบเดินทางต่างจังหวัด มีจังหวะลุยบ้างตามจังหวะของชีวิต ชอบความสะดวกสบาย ชอบสีดำ ไม่ได้ต้องการความปรู๊ดปร๊าดในชีวิต รถคันนี้จะตอบโจทย์ชีวิตคุณได้มาก และตอบโจทย์ได้อย่างดีเลยครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com