Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ช่วงล่างดี ขับขี่สบาย ใช้ไฟได้สะดวก
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 10 ก.พ. 64 00:00
- 7,228 อ่าน
ถึงแม้นว่าปี 2563 จะเป็นปีที่พวกเราต้องพบความลำบากในการใช้ชีวิตทั้งนั้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสตัวร้าย Covid-19 จนทุกอย่างต้องหยุดชะงักหมด รวมทั้งการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ด้วย ต่างก็ล่าช้า เลื่อนกันไปไม่รู้กี่รอบ และแน่นอนว่ากระทบไปถึงรถยนต์ใหม่ของค่ายตราเพชรอย่างมิตซูบิชิด้วย
ประเทศไทยน่าจะเป็นประเทศสุดท้ายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่มีการเปิดตัวรถอเนกประสงค์ SUV ที่คนไทยถามหามาเนิ่นนานหลายปีแล้วกับ Mitsubishi Outlander โฉมที่ 3 ที่เริ่มเผยโฉมตั้งแต่ปี 2012 และเริ่มขายในหลายประเทศตั้งแต่ปี 2014 อัพเดทไป 2 รอบในปี 2015 กับ 2018 ก็ยังไม่เข้ามาขายในประเทศไทยสักที จนมีข่าวกับการเปลี่ยนโฉมใหม่เข้าสู่ Generation ที่ 4 ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เข้ามาขายในเมืองไทยเสียที และเป็นตัวล่าสุดที่เป็นแบบเสียบปลั๊กคือ Mitsubishi Outlander PHEV ที่ทางมิตซูบิชิให้เหตุผลที่มาช้าก็คือ อยากให้นำมาผลิตในประเทศไทย ราคารถจะได้ไม่สูงมาก การผลิตในรูปแบบรถเสียบปลั๊กมันก็ไม่ง่าย เลยต้องมีการเตรียมการที่ใช้เวลามากพอสมควร เลยมาช้าไปหน่อย
หลังการเปิดตัวไปได้ไม่นาน พวกเราชาวผู้ทดสอบรถยนต์ก็เกือบจะได้รีวิวกันแบบยาว ๆ อยู่แล้ว (ช่วงแรกได้ขับแบบสั้น ๆ) แต่ดันมาเกิด Covid-19 ระบาดใหม่อีกรอบ เลยต้องเลื่อนกันไปก่อน สุดท้ายแล้ว รอบนี้ก็ได้ทำการรีวิวกันอีกรอบ แต่ถูกตัดระยะให้รวบมาเหลือเพียงวันเดียว เอาวะ ยังดีกว่าไม่ได้ลอง ผมในฐานะทีมงาน AUTODEFT ก็เลยจัดให้เพื่อทุกคนเช่นเดิม
ก่อนเริ่มออกเดินทางเพื่อรีวิวรถ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ที่เป็นตัวท็อป ออพชั่นครบในครั้งนี้ เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าครับ ว่ารถยนต์ใหม่ 2021 คันนี้มีดีอะไรบ้าง โดยรถอเนกประสงค์ SUV คันนี้ เป็นรถไซส์ Compact Crossover SUV แบบ 2 แถว 5 ที่นั่ง ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมวาล์วไอดีแปรผัน ตัวเครื่องยนต์สร้างพลังขับได้สูงสุด 128 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 199 นิวตันเมตร ตัวเครื่องยนต์ได้รับอนุญาติในการขับเคลื่อนล้อหน้าเท่านั้น แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะรถคันนี้ยังมีมอเตอร์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนอีก 2 ตัว คือด้านหน้าที่มีขนาด 82 แรงม้า แรงบิด 137 นิวตันเมตร และด้านหลังขนาด 95 แรงม้า แรงบิด 195 นิวตันเมตร และเมื่อกดคันเร่งให้ใช้พลังงานสูงสุด รถสามารถสร้างพละกำลังได้มากถึง 305 แรงม้า 531 นิวตันเมตร รับพลังงานมาจากแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 13.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง แน่นอนว่ารถคันนี้เป็นรถขับเคลื่อนแบบ AWD ทั้ง 4 ล้อ ควบคุมด้วยระบบ S-AWC หรือ Super All Wheel Control ที่ได้มาจาก Lancer Evolution อันเลื่องชื่อ เอาไว้ช่วยควบคุมรถให้ขับได้ดีและสนุกมากขึ้น ส่วนจะดีขนาดไหน ค่อยมาว่ากัน ส่วนเกียร์นั้น ไม่มี ใช้อัตราทดเดียวของมอเตอร์ไฟฟ้า หรือถ้ามีการเชื่อมต่อคลัทช์เพื่อส่งกำลังลงล้อ ก็มีอัตราทดเดียวเช่นกัน
ตัวรถของ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium นั้น เป็นรถอเนกประสงค์ที่ได้ความแข็งแกร่งถอดแบบออกมาจากรถ SUV อย่าง Mitsubishi Pajero ที่สร้างชื่ออย่างมากมายในอดีต โดยเฉพาะการที่เป็นรถแข่งแรลลี่ลุยทะเลทรายในการแข่งขันสุดโหดอย่าง Dakar มาแล้ว มีมิติตัวรถขนาด 1,800 x 4,695 x 1,710 มม. ฐานล้อกว้าง 2,670 มม. ระยะใต้ท้องรถ 190 มม. ช่วงล่างด้านหน้าใช้แบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังใช้เป็นแบบมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ล้อที่ใส่มาเป็นขนาด 18 นิ้ว รัดมาด้วยยางขนาด 225/55 R18 ระบบห้ามล้อเป็นแบบดิสก์เบรกหมดทั้ง 4 ล้อ ตัวพวงมาลัยนั้นผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า ปรับได้แบบ 4 ทิศทาง
ภายนอกของ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium แน่นอนว่าด้านหน้ายังคงใช้การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายตราเพชรก็คือ Advanced Dynamic Shield เพื่อให้ดูตัวรถมีความกว้างและแข็งแรง บึกบึน ใช้ไฟหน้าแบบโคมคู่ LED Twin Projector ที่มีระบบสามารถปรับระดับสูง - ต่ำให้เองอัตโนมัติ และเปิด-ปิดได้อัตโนมัติ มีแถบไฟ LED Daytime Running Lights เป็นเส้นของด้านล่างเพิ่มความชัดเจนในการขับขี่ช่วงกลางวัน มีระบบฉีดน้ำใส่ไฟหน้าเพื่อทำความสะอาด มีไฟตัดหมอกแบบ LED สีขาวติดอยุ่ด้านล่างภายใต้ขอบสีครีม มีการใช้กรอบโครเมียมแทรกไปตรงจุดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความหรูหรา ด้านไฟท้ายแบบ LED นั้น ไม่ได้เอาทรงไม้เท้ามาจาก Pajero Sport หรือทรงตัว L ของ Xpander มา แต่เป็นการใช้ทรงที่แตกต่างไปจากรถอเนกประสงค์ภายในค่ายตัวเองเลย แต่ภาพโดยรวมแล้วก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมาย ส่วนประตูท้ายนั้นใช้เป็นแบบไฟฟ้า สะดวกดี มือจับประตูเป็นแบบโครเมี่ยม กระจกมองข้างพับไฟฟ้า สีเดียวกับตัวรถ พร้อมฝังไฟเลี้ยวเพื่อความชัดเจนแถมด้วยระบบไล่ฝ้าอีกต่างหาก มีราวหลังคามาให้ด้วย เผื่อจะเอาไปติดแท่นวางของเพิ่มภายหลัง
ภายในของ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium เน้นใช้สีดำเป็นหลัก ทั้งเบาะหนังผสมหนังสังเคราะห์สีดำ เพิ่มความหรูด้วยการเดินด้ายให้เบาะเป็นลาย Diamond Quilting มีการเดินเส้นสีขาวตัดขอบเล็กน้อย คอนโซลหน้าก็เน้นสีดำเป็นหลัก จะมีแทรกบางจุดให้เป็นลายเคฟล่าบ้างบางที่ เพื่อเพิ่มความหรูหราหมาเห่าเข้าไป (ทำไมต้องหมาเห่า) หน้าปัดข้อมูลรถยังคงใช้เป็นแบบเข็ม โดยด้านซ้ายเป็นเข็มเอาไว้บอกสถานะการทำงานของตัวรถว่าอยู่ในโหมดไหน กับด้านขวาที่เป็นเข็มบอกความเร็ว ตรงกลางเป็นหน้าจอดิจิตอลบอกข้อมูลอื่น ๆ เช่น Trip A-B แบตเตอรี่คงเหลือ, ระดับน้ำมันคงเหลือ, โหมดการขับขี่ เป็นต้น ตัวพวงมาลัยเป็นแบบหุ้มหนัง ทรงเดียวกันกับบน Pajero Sport มีปุ่มควบคุม Multi-Switch เอาไว้ให้กดมากมาย มีแป้น Paddle Shift ที่ไม่ได้เอาไว้ให้เปลี่ยนเกียร์ แต่มีไว้ให้แค่ใช้ปรับระดับความหน่วง เพื่อเพิ่มการชาร์จไฟกลับ มีให้เลือกได้ 6 ระดับคือ 0-5 ซึ่งถ้าเราใช้ระดับ 5 ทุกครั้งที่ปล่อยคันเร่ง จะมีการหน่วงสูงสุด แล้วไฟเบรกจะติดขึ้นมาประดุจเราแตะแป้นเบรกเลียเอาไว้ ให้รถค่อย ๆ ลดความเร็วลวอย่างช้า ๆ อ่านดูแล้วอาจจะนึกไปถึงระบบ One Paddle ที่อยู่บน Nissan Kicks e-POWER เลย (เอ่ยได้ ค่ายเครือเดียวกัน) เพียงแต่ว่าบนคันนี้จะไม่ทำงานจนเป็นเบรกจนหยุดนั่นเอง เราต้องกดเบรกด้วยเท้าตัวเองอยู่ดี
หน้าจอกลางของ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium เป็นระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมลำโพง 6 ตำแหน่ง เชื่อมต่อได้ทั้งสาย USB และระบบไร้สาย Bluetooth ตัวระบบปรับอากาศใช้แบบอัตโนมัติแยกโซน ด้านหลังมีช่องแอร์ตรงกลางที่ตรงกล่องใส่ของ แต่ไม่สามารถบังคับอะไรได้ ใต้แผงบังคับแอร์มีทั้งช่องจ่ายไฟแบบ 12V., ปุ่มเปิด-ปิดการทำงานของฝาประตูท้าย, ช่อง USB, ปุ่มปิดการเตือนมุมบอดด้านข้าง, ปุ่มเปิดการทำงานของช่องจ่ายไฟฟ้า 1,500 วัตต์ และปุ่ม Eco Mode เพื่อการขับขี่แบบประหยัด ส่วนแทนเกียร์ที่ไม่ใช่คันเกียร์ แต่มิตซูบิชิเรียกว่า Joystick (แท่งหรรษา #ล้อเล่นนะ ) รูปแบบการใช้งานก็คล้ายกับรถไฟฟ้าเลย มีปุ่มให้เราเลือกโหมดการขับขี่ได้ ทั้งโหมด EV ที่วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน เครื่องยนต์ไม่ติด, โหมด Save เอาไว้ขับขี่ด้วยความประหยัดสูงสุด, โหมด Charge เน้นการปั่นไฟฟ้ากลับไปเก็บในแบตเตอรี่ และโหมด Sport เอาไว้ซิ่งให้เต็มที่ มีปุ่มเลือกระบบการขับเคลื่อน ให้เป็นแบบ Normal กับเส้นทางทั่วไป, Snow กับทางลื่น ทางกรวด, Lock กับการล็อกล้อให้หมุนด้วยกำลังแบบ 50:50 สำหรับเส้นทางขรุขระที่ต้องการกำลังจากแรงบิดสูงสุด และโหมด Sport ที่ใช้เมื่อต้องการความฉับไว ตอบสนองต่อคำสั่งของคันเร่งอย่างรวดเร็ว มีเบรกมือที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold
เบาะแถว 2 ของ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ก็เป็นการหุ้มด้วยหนัง เดินเส้นเป็นลาย Diamond Quilting เฉกเช่นเดียวกับแถวหน้า พับเบาะได้แบบ 60:40 เพิ่มพื้นที่การบรรทุก ตรงกลางที่เป็นกล่องเก็บของ นอกจากมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังแล้ว ยังมีช่องจ่ายไฟทั้งแบบ USB และปลั๊กไฟบ้าน ที่สามารถจ่ายไฟได้มากสุด 1,500 วัตต์อีกด้วย เรียกกได้ว่า นั่งรถไป รีดผ้าไปก็ทำได้ และที่ด้านท้ายในส่วนเก็บสัมภาระ ก็มีปปลั๊กเสียบ 1,500 วัตต์มาเพิ่มให้อีกจุดด้วยเช่นกัน
Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ใส่ระบบความปลอดภัยของทางมิตซูบิชิที่เรียกว่า Advance Safety System มาด้วย มีทั้ง
- ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ ADAPTIVE CRUISE CONTROL (ACC)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว FORWARD COLLISION MITIGATION SYSTEM (FCM)
- ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุ่นแรงและรวดเร็ว ULTRASONIC MISACCELERATION MITIGATION SYSTEM (UMS)
- ระบบปรับระดับไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ AUTO HIGH BEAM (AHB)
- ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน BLIND SPOT WARNING WITH LANE CHANGE ASSIST (BSW WITH LCA)
- ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด REAR CROSS TRAFFIC ALERT (RCTA)
- กล้องมองภาพรอบคัน MULTI AROUND MONITOR
นอกจากนี้ ก็ยังมีระบบความปลอดภัยอื่น ๆ อีกด้วย ทั้ง
- ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง
- ระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก (ABS)
- ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD)
- ระบบเสริมแรงเบรก (BA)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA)
ข้อมูลเบื้องต้นของ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium น่าจะครบถ้วนแล้ว เรามาเริ่มออกเดินทางเพื่อรีวิวกันเลยดีกว่า ก่อนอื่นต้องมาเริ่มทำความเข้าใจกันก่อนว่า รถอเนกประสงค์ SUV คันนี้ นอกจากจะได้ความแข็งแกร่งของ Pajero, ได้ระบบขับขี่ S-AWC มาจาก Lancer Evolution แล้ว ยังได้ระบบการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ามาจาก MiEV Evolution III รถแข่งพลังงานไฟฟ้าด้วย รวมทั้งต้องไม่ลืมว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของโลกที่ทำการจำหน่ายต่อบุคคลทั่วไปอย่างเป็นทางการ ก็คือ Mitsubishi i-MiEV นั่นเอง ซึ่งขายมาตั้งแต่ปี 2009 แต่ต้องเข้าใจว่าในช่วงนั้นความนิยมในด้านรถไฟฟ้ายังน้อย เลยทำให้มียอดขายรวมประมาณ 50,000 คันเท่านั้น แล้วก้พับโครงการรถไฟฟ้าไป รอบนี้เลยกลับมาเป็นรถเสียบปลั๊กแบบ Plug-in Hybrid หรือ PHEV แทน โดยตัวรถนั้น สามารถวิ่งได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบ EV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว, Series Hybrid ที่ใช้เครื่องยนต์ในการปั่นไฟอย่างเดียว แล้วขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า, Parallel Hybrid ใช้ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ส่วนระบบที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์อย่างเดียวนั้นไม่มี เพราะสุดท้ายแล้วก็จะมีมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยอยู่ดี ซึ่งถ้าดูตามสเปกแล้ว รถ PHEV คันนี้จะวิ่งด้วยระบบไฟฟ้าอย่างเดียวแบบเครื่องยนต์ไม่ติดได้สูงสุด 55 กิโลเมตร
ก่อนออกเดินทางในรูปแบบ Group Test ครั้งนี้ของ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ทางมิตซูบิชิอยากจะอวดจุดเด่นที่ไม่มีในตลาดเลย ก็คือปลั๊กไฟฟ้าแบบไฟบ้าน ที่สามารถปล่อยไฟได้สูงสุดถึง 1,500 กิโลวัตต์ ใครนึกไม่ออกว่า กำลังไฟขนาดนี้ใช้ทำอะไรได้บ้าง ตัวอย่างเช่น เตารีดแบบไม่ใช่ไอน้ำ กินกำลังไฟราว 1,000 - 1,300 วัตต์, เครื่องดูดฝุ่นตัวเล็กประมาณ 1,000 - 1,500 วัตต์, เครื่องปิ้งขนมปัง 600-1,000 วัตต์ พวกนี้สามารถเสียบปลั๊กบนรถแล้วใช้งานได้เลย ดังนั้นเราก็เลยมาลองเสียบปลั๊กเตาไฟฟ้า ปิ้งหมูกระทะกินยามเช้าซะเลย ซึ่งมันก็ใช้งานได้จริงนะ ร้อนเร็วเหมือนเสียบกับไฟบ้านทั่วไป ลองจินตนาการดูว่า ถ้าเราออกไปแคมป์ปิ้งตามป่าเขาที่ไร้ปลั๊กไฟ เราก็เตรียมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น เช่น หลอดไฟ, พัดลม, โทรทัศน์, เครื่องเล่น DVD, เครื่องเล่นเกม Play Station 5 ติดเอาไปด้วย แล้วเสียบปลั๊กไฟใช้งานได้เลย มันจะสะดวกขนาดไหน (ส่วนทำกับข้าว ใช้เตาแก๊สพกพาหรือเตาถ่านเถอะ สะดวกกว่า) เท่านั้นยังไม่พอ ตัวรถยังสามารถเปิดแอร์นอนได้อีกด้วย ซึ่งถ้าเรามีไฟในรถเต็มเปี่ยม 13.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เราจะเปิดแอร์นอนได้ราว 8-10 ชั่วโมงเลยนะ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วเปิดได้สัก 4-5 ชั่วโมงก็ฟินแล้ว ส่วนการคำนวนเพื่อใช้ไฟฟ้านั้น ตัวรถจะยอมให้ใช้ไฟฟ้าได้เพียง 10 กิโลวัตต์ชั่วโมงเท่านั้น เพราะต้องเอาส่วนที่เหลือเก็บไว้หล่อเลี้ยงระบบไฟฟ้าสำหรับการขับเคลื่อนและติดเครื่องยนต์ด้วย ถ้าเราใช้เกินปั๊บ เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาเองเพื่อปั่นไฟให้เราใช้อีก โดยจากการทดสอบในห้องแล็บที่มิตซูบิชิแจ้งเป็นข้อมูลไว้ ตัวเครื่องยนต์สามารถปั่นไฟจากกำลังไฟหมดจนถึงเต็ม 90% จะใช้น้ำมันที่ราว 3.8 ลิตรเท่านั้นเอง
กินอิ่มแล้ว ก็เริ่มมาออกเดินทางกันเลยดีกว่า ภาพแรกที่เข้าไปนั่ง Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ก็ทำให้นึกถึงการขับ Pajero Sport ในทันที เพราะการออกแบบใกล้เคียงกันมาก โดยเฉพาะพวงมาลัยที่ถอดกันออกมาเลย ตัวเบาะก็นั่งได้สบาย ห้องโดยสารไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้เล็กเกินไป ไม่อึดอัดเวลาขับ มุมมองก็กว้างขวางดี ไม่ได้มีจุดไหนที่โดนบังจนดูอะไรไม่ได้ การวางปุ่มบนคอนโซลกลางก็วางไว้แบบกดได้ไม่ยาก และมีให้กดเฉพาะเท่าที่จำเป็น ที่เหลือก็ไปสั่งในหน้าจอ Infotainment เอา สัมผัสในส่วนที่เป็นประตูกับคอนโซลหน้า ก็มีส่วนที่เป็น Soft Touch อยู่เยอะ สบายมือดี มีกล่องกลางเอาไว้ให้เท้าแขนซ้ายได้ สบายเลย
ช่วงแรกในการทดลองขับ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium เราเริ่มด้วยการเดินทางภายในเมืองด้วยโหมด EV กันก่อน ซึ่งจุดหมายแรกจะมีระยะทางประมาณ 43 กิโลเมตร จากแถบทะเลสาปเมืองทองธานี ไปยังแถวถนนอุทยาน ไฟเกือบเต็ม เพราะมีการดึงไฟไปเสียบเตาหมูกระทะเล็กน้อย ถึงตรงนี้เกิดเจอความไม่ถูกใจอย่างแรกเข้าแล้ว เพราะตัวสเกลที่บอกพลังงานไฟฟ้าคงเหลือ ดันเป็นเพียงขีด ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีบ่งบอกเอาไว้เป็นเปอร์เซ็นต์ ทำเอารู้สึกขัดใจขึ้นมาทันที เพราะเราเองก็อยากรู้ว่ามันเหลือกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีบอกว่าเหลือวิ่งได้กี่กิโลเมตรก็ตาม แต่ถ้าใส่มาด้วย ก็คงดีไม่น้อยนะครับ
เมื่อเริ่มออกตัว ก็ลองแตะคันเร่งไปเบา ๆ ตัวรถ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ก็วิ่งออกไปได้แบบปกติ แน่นอนว่ามันวิ่งด้วยโหมด EV ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า มันก็จะได้แรงหมุนของล้อช่วงแรกที่ดีกว่าเครื่องยนต์ปกติ แต่อย่างเพิ่งเอาตัวเลข 305 แรงม้ามาหลอกตาคุณนะครับ เพราะเวลาวิ่งโหมดนี้จะวิ่งด้วยมอเตอร์กำลัง 82 แรงม้าจากด้านหน้า + 95 แรงม้าจากด้านหลังเท่านั้น มันก็คล้ายกับการขับรถขนาด 177 แรงม้า ที่ต้องแบกน้ำหนักรถประมาณเกือบ 2 ตัน (บวกน้ำหนักผมกับสัมภาระไปก็เกิน 2 ตัน) มันก็จะออกตัวได้ดีประมาณหนึ่ง แต่ไม่ได้อารมณ์ของการกระชากแบบรถไฟฟ้า มันจะไหลออกตัวไปแบบผู้ดี ด้วยช่วงแรกที่เราต้องลองประคองให้วิ่งไปถึงปลายทางด้วยไฟฟ้าให้ได้ ก็เลยยังไม่ได้ลองอะไรมาก ขับไปตามสไตล์ขับในชีวิตประจำวัน ค่อย ๆ ไหล ค่อย ๆ กดให้วิ่งไปตามทาง ไม่รีบร้อนอะไร
อารมณ์แรกที่ได้ขับขี่ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium เพื่อทำการรีวิวมาระยะหนึ่ง สิ่งที่โดนใจมากคือช่วงล่างที่นุ่มสบายจริง ๆ มันนุ่มแบบไม่ย้วย เข้าตามโค้งในความเร็วปกติก็ไม่เหวี่ยง ขับง่าย เปลี่ยนเลนกระทันหันในความเร็วปานกลางก็ควบคุมได้ง่าย พวงมาลัยคือความดีงาม คม และให้น้ำหนักที่กำลังดี ขับง่ายมาก เดินทางในช่วงเมือง แบบสบาย รถไม่มีเสียงดัง เพราะวิ่งด้วยไฟฟ้าอยู่ สรุปแล้วเดินทางถึงปลายทาง 43 กิโลเมตร ยังเหลือให้วิ่งได้อีก 2 กิโลเมตร (อย่าลืมว่ามีเสียบปลั๊กไฟปิ้งหมูกระทะไปอีก 30 นาที) สรุปแล้วระยะทางอาจจะไม่ถึงที่เคลมเอาไว้คือ 55 กิโลเมตร แต่ได้เท่านี้ก็ถือว่าดีแล้วครับ (ลืมบอกว่า ช่วงนี้ผมเปิดระดับการหน่วงเอาไว้ที่ 4 ไม่อยากเปิด 5 เพราะไม่อยากให้ไฟเบรกติดตอนถอนคันเร่ง กลัวรถข้างหลังรำคาญ ก็คงได้ไฟกลับมาบ้างเล็กน้อย)
ช่วงถัดมา เราจะเดินทางไปแถวพระราม 3 กับ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ด้วยโหมด Normal บ้าง โหมดนี้ตัวรถจะทำการสลับกันระหว่างระบบไฟฟ้ากับเครื่องยนต์เอาเอง การเดินทางรอบนี้ส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในเมืองเช่นเคย แต่จะมีแรงเพิ่มในการเหยียบคันเร่งมากขึ้น เพื่อดูอัตราการตอบสนองของรถว่าดีขนาดไหน จากที่ขับดูแล้วเหลือบมอง Monitor บนหน้าจอที่แสดงผลการใช้พลังงานอยู่ จะเห็นเลยว่า เครื่องยนต์จะติดบ่อยในช่วงนี้ แต่จะติดขึ้นมาเพื่อทำการปั่นไฟเท่านั้น มีเพียงแค่บางจังหวะที่กดคันเร่งแบบเร็วและลึก ก็จะมีการส่งพลังจากเครื่องยนต์ลงที่ล้อหน้าเป็นครั้งคราว รถก็จะวิ่งได้มีกำลังมากขึ้น แต่มันจะมาในช่วงที่รถลอยตัวแล้วนะ ช่วงออกตัวเราจะเห็นแค่มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานพารถวิ่งเท่านั้นเอง เห็นการทำงานช่วงนี้แล้วบอกได้เลยว่า รถจะทำงานในรูปแบบ Series Hybrid เป็นหลัก (ใครไม่เข้าใจ ระบบนี้ก็คือระบบ e-POWER ของนิสสันนั่นเอง) ไม่ค่อยได้ทำงานในระบบ Parallel Hybrid สักเท่าไหร่ ซึ่งทางทีมงานของมิตซูบิชิบอกว่า การขับเคลื่อนด้วยระบบนี้ จะช่วยให้เราใช้น้ำมันได้น้อยลง เพราะไม่ต้องส่งพลังแบบแรงบิดเยอะไปช่วยหมุนล้อ ทำแค่ปั่นไฟฟ้าอย่างเดียวจะมีการใช้น้ำมันน้อยลง ช่วยประหยัดได้มากขึ้น
ช่วงที่ 3 กับ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ในรอบนี้ เราต้องมุ่งหน้าไปถนนรังสิต-นครนายก แล้วแวะตรงจุดหมายแถวคลอง 3 โดยใช้เส้นทางบนทางด่วน ออกไปต่อที่วงแหวนรอบนอก โดยช่วงนี้เราจะกดโหมด Charge เพื่อให้รถปั่นไฟกลับไปเก็บที่แบตเตอรี่ให้มากที่สุด เพื่อที่จะต้องเอาไปใช้ในช่วง Off-Road ในสถานีสุดท้าย ช่วงนี้เรามีโอกาสได้ทดสอบความเร็วกันเล็กน้อย โดยช่วงที่รถเริ่มปั่นไฟได้เกินกว่า 50% แล้ว ผมลองกดเต็มเท้าเพื่อลองอัตราเร่งช่วงลอยตัว เริ่มจากความเร็ว 80 กม./ชม. กดไล่ยาวไปจบที่ 170 กม./ชม. นี่คือช่วงที่รถได้แสดงพละกำลังทั้งหมดได้อย่างดี เพราะมันเร่งได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด ขึ้นได้เร็วเกินคาด ช่วงกดจะเห็นได้เลยว่าทุกสรรพกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่ว่าเครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้า ต่างก็ยัดลงล้อทั้งหมด ไฟวิ่งไปเก็บที่แบตเตอรี่แทบไม่มี นี่คือช่วงที่แรงทั้งมหด 305 แรงม้า มาถ่ายทอดได้ก็ช่วงเวลาแบบนี้นั่นเอง
ขับไปขับมา แบตเตอรี่บน Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ก็มาถึงจุดที่เกือบเต็ม แล้วเราก็เห็นว่าหน้าจอบอกว่าเราสามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าได้อีก 43 กิโลเมตร แล้วก็ไม่วิ่งขึ้นไปมากกว่านี้แล้ว ช่วงจบงานที่มี Q&A เลยลองสอบถามกับทางทีมงานมิตซูบิชิดูว่า ทำไมมันไม่วิ่งขึ้นไปมากกว่านี้ ได้คำตอบมาว่า มันจะตัดไม่ให้ชาร์จเพิ่มไปมากกว่านี้ได้ เพื่อป้องกันการเสื่อมของแบตเตอรี่ มีวิธีเดียวที่ทำให้แบตเตอรี่เต็ม 100% ได้ คือการชาร์จช้าแบบ AC เท่านั้น ถ้าใช้ชาร์จเร็วหรือชาร์จจากเครื่องยนต์ จะชาร์จได้มากสุดที่ 90% เท่านั้น เพื่อให้แบตเตอรี่อยู่กับเราให้นานที่สุดนั่นเอง
เมื่อแบตเตอรี่อยู่ในจุดที่ไม่สามารถไปได้มากกว่านี้แล้ว เรามาลองดูกันหน่อยว่า แล้วถ้าวิ่งด้วยโหมด EV Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium จะวิ่งได้เร็วสุดที่เท่าไหร่ ก่อนที่จะมีเครื่องยนต์เข้ามาช่วยเสริมกำลัง จากที่ลองกดไล่ดูแบบให้ขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมลองไปจนถึงช่วงประมาณ 140 กม./ชม. เครื่องยนต์ก็ยังไม่ติดนะ ซึ่งจากการสอบถามมา ปกติแล้วจะวิ่งได้ที่ประมาณ 135 กม./ชม. แล้วเครื่องยนต์จะติดขึ้นมาช่วยทำงาน แต่ผมทำได้เกินไปเล็กน้อย ก็ถือว่าทำได้ดีเลยนะ เพราะถ้าถามผม วิ่งได้ถึง 120 กม./ชม. ก็เกินพอแล้ว แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือตัวระยะทางที่วิ่งได้นี่ร่วงทันตาเห็น เอาเป็นว่าถ้าอยากวิ่งได้ไกล ก็วิ่งในความเร็วปกติทั่วไปแหล่ะ เวิร์คสุดแล้ว
ช่วงวิ่งทางไกล สิ่งที่เจออีกอย่างก็คือ ช่วงล่างของ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium นั้นนิ่งมาก ขนาดวิ่งเร็วสุดระดับ 170 กม./ชม. ยังไม่รู้สึกถึงความปลิวเลย แต่สิ่งที่แปลกคือ ความเร็วระดับ 110-130 กม./ชม. ดันกลับมีเสียงลมลอดเข้ามาข้างหูแถวร่องกระจกหน้าต่าง มันไม่ได้ดังมาก แต่มันน่ารำคาญ ที่แปลกคือพอพ้นช่วงนี้ไป เสียงลมดันหายไป เลยสงสัยว่าลมมันคงถูกรีดออกไปทิศทางอื่นมั้ง มันเลยทำให้เสียงหายไป
หลังจากผ่านช่วงชาร์จไฟให้ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium จนเกือบเต็มแล้ว เราก็มาถึงบททดสอบสุดท้ายกับการขับแบบ Off-Road แบบเล็ก ๆ กันเสียหน่อย โดยรอบนี้การขับขี่จะคล้ายกับการทดสอบรอบก่อนแบบสั้น ๆ บนถนนปูนคอนกรีตราดน้ำยาล้างจาน (หาดูได้ที่ YouTube ของ AUTODEFT) ก็คือมีการทดสอบอัตราเร่ง, การเข้าโค้ง, การวนวงกลม เพื่อที่จะดูระบบการขับขี่ Super All Wheel Control ว่ามันดีและเจ๋งขนาดไหน แต่รอบนี้จะขึ้นไปวิ่งบนทางกรวดแทน และเป็นกรวดลูกเล็ก ก็ยิ่งลื่นขึ้นไปอีก โดยเราจะทดสอบกันรวม 3 รอบ โดยรอบแรกเราจะเริ่มกันที่โหมด Normal กันก่อน สถานีแรกกับการทดสอบอัตราเร่ง เมื่อกดลงไปแล้ว คือมันพุ่งครับ แต่พุ่งแบบไม่ใช่ 305 แรงม้า ไม่พุ่งแบบหลังติดเบาะเท่าไหร่ อันนี้อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า ยังไงช่วงออกตัว รถจะใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้ามาก่อน แล้วตัวพลังงานจากเครื่องยนต์จะมาเชื่อมต่อกับล้อหลังจากที่รถเคลื่อนตัวไปแล้ว ทำให้เราจะออกตัวได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ แต่มันจะพุ่งเร็วขึ้นเมื่อรถเริ่มถึงแถว 60 กม./ชม.ขึ้นไป เดาเอาว่าถ้าเทส 0-100 น่าจะเกิน 10 วินาทีแต่ถ้าเทส 80-120 น่าจะดีไม่แพ้ใคร จากนั้นก็สาดเบา ๆ เข้าโค้ง รถควบคุมง่ายมาก ไม่มีอาการหลุด ท้ายไหลให้เห็นเลย อานิสงค์ของระบบ S-AWC จริง ๆ ที่การควบคุมของทั้ง 4 ล้อนั้นจะอิสระต่อกัน มันจะหมุนด้วยความเร็วที่ต่างกันได้ด้วยการจับของเบรกด้วยความรวดเร็ว เพื่อให้รถสามารถทรงตัวอยู่ในเส้นทางได้อย่างปลอดภัย ขนาดทางที่เป็นกรวด รถสามารถไหลได้ง่ายกว่าถนนแบบอื่น รถยังวิ่งอยู่ในทางได้อย่างที่ประดุจเรามีฝีมือขั้นเทพเลย และเมื่อเข้าสู่โค้งวงกลม รถก็เกาะอยู่กับวงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
ขยับมารอบที่ 2 ของการลุย Off-Road บน Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium ที่รอบนี้จะเปลี่ยนเป็นโหมด Sport ที่จะมีการตอบสนองของคันเร่งที่เร็วขึ้น อัตราเร่งช่วงแรกผมว่าไม่ได้ต่างเยอะจนเห็นได้ชัด ยังสุภาพช่วงออกตัวเหมือนกัน เพียงแค่การตอบสนองของคันเร่งมันดีกว่าเดิมเท่านั้นเอง ส่วนการขับขี่ การเกาะถนน ยังคงดีเช่นเคย จนถึงรอบสุดท้าย เรามาลองในโหมด Lock ดูบ้าง โดยโหมดนี้ล้อจะทำการถ่ายกำลังลงล้อที่ 50:50 เพื่อให้ส่งกำลังสู่ล้อได้มากที่สุด ออกตัวก็เหมือนเดิม แต่ความสนุกมาเริ่มเมื่อเข้าโค้งแรกนี่แหล่ะ เพราะท้ายมันปัดเมื่อผ่านครึ่งโค้ง แล้วก็ดึงกลับมาให้อยู่ในทาง พร้อมเสียงหัวเราะของ Instructor ที่นั่งไปด้วยว่า “สนุกไหมพี่” เออ สนุกสิคร้าบ ใส่โค้งต่อมาก็ยังปัดอีก ก่อนที่จะสาดเข้าสู่โค้งวงกลม นี่คือความมันเลย เพราะท้ายมันไหล แต่ไม่ไปไกลเกินกว่าควบคุม สนุกเมามันกับการขับมาก แต่เสียดายที่หมดรอบเสียก่อน (อยากกระจองอแงเล่นอีกรอบ) สุดท้ายแล้วโหมดนี้คือขับสนุกสุด แต่มันก็เสี่ยงมากที่สุดเช่นกัน อยากให้ทุกคนได้ลองแบบนี้บ้าง แต่คงต้องซื้อแล้วไปลองกันเองนะ ฮ่า
จบทริป 1 วันของการรีวิวรถ Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium พอจะสรุปใจความได้ดังนี้
ชอบ
- ช่วงล่างคือความดีงาม นุ่ม หนึบ ขับสบาย
- พวงมาลัยน้ำหนักดี มีความคมสูง
- ระบบการจัดการไฟฟ้าขณะขับขี่ที่ฉลาดจริง เน้นความประหยัดสูงสุด
- ระบบ S-AWC ขั้นเทพ ทำงานดี ทำงานไว ไร้ข้อกังวล
ไม่ชอบ
- เสียงลมที่ดังช่วง 110-130 กม./ชม ที่ขอบกระจกประตู
- น่าจะมีบอกจำนวนเปอร์เซ็นต์แบตคงเหลือ โชว์บนหน้าจอหลักก็ได้เนอะ
ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า Mitsubishi Outlander PHEV GT-Premium กำลังจะกลายเป็นรถตกรุ่นไปเร็ว ๆ นี้ กับการมาของโฉมใหม่ในระดับโลก แต่ทางมิตซูบิชิเองก็ให้เหตุผลว่า ไม่ต้องห่วงกันไป เพราะรุ่นที่จะเปิดตัวใหม่เร็ว ๆ นี้จะมีเฉพาะรุ่นที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างเดียว ยังไม่มีรุ่น PHEV และน่าจะไม่ออกมาในเร็ว ๆ นี้ด้วย อ่ะ ก็ว่ากันไป แต่ถ้าไม่คิดมากอะไร กับราคา 1,749,000 บาท ผมว่ามันก็คุ้มค่าอยู่นะ ถึงแม้ว่ามันออกจะดูสูงไปนิด แต่ถ้าได้มาทั้งระบบการจัดการพลังงานไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสุดฉลาด, มีปลั๊กไฟที่ไม่มีรถคันไหนปล่อยไฟได้แรงขนาดนี้ (แบบออกจากโรงงาน), ระบบขับเคลื่อน S-AWC ที่ช่วยให้เราขับขี่ได้อย่างมั่นใจ, ลุยได้ประมาณหนึ่ง เท่านี้ก็คงคุ้มค่าแล้วครับถ้าคุณเอาไปใช้จริง แต่ถ้าซื้อไปแล้ววิ่งแต่ในเมืองอย่างเดียว คันนี้ก็คงไม่คุ้มค่ากับคุณแน่นอน เสียดายออพชั่นที่มีแต่คุณไม่ยอมใช้
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com