Test Drive : รีวิว ทดลองขับ MG ZS Facelift 1.5 X + มาดใหม่…เอสยูวีเล็ก คล่องแคล่วขึ้น สมาร์ทขึ้น ออพชั่นเต็ม
- โดย : Autodeft
- 15 พ.ค. 63 00:00
- 11,069 อ่าน
MG ZS เอสยูวีเล็กสายพันธุ์ยุโรปที่ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากสาวกชาวไทยเพราะด้วยตัวรถที่กะทัดรัด ออพชั่นล้นคัน เทคโนโลยีที่เด่นกว่าและค่าตัวที่จับต้องได้จนมียอดขายอันดับต้นๆจนก้าวมาเป็นผู้นำในตลาดของกลุ่ม เอสยูวีขนาดเล็ก (B-SUV) และความสำเร็จดังกล่าว MG จึงไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาไปสู่ความก้าวล้ำกว่า เหนือกว่าในทุกมิติกับการปรับโฉมครั้งแรกในรอบ 3 ปี สำหรับ MG ZS Facelift โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการเม
รถยนต์ MG ZS รุ่นปรับโฉม ท็อปสุด 1.5 X+ มาในร่างเดิมแต่มีการปรับความหล่อให้เข้มเด่นหรูสไตล์ยุโรป เหมาะกับชีวิตไลฟสไตล์คนเมืองที่แสวงหาความโดดเด่นด้วย กระจังหน้าหกเหลี่ยมดีไซน์ใหม่ ไฟหน้าโคมใหม่ Projector แบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime รูปทรงบูมเมอแรง ในโคมเดียวกันดีไซน์เพรียวลงกว่าเดิม ไฟตัดหมอกหน้าใหม่ออกแบบในกรอบครอบสีดำเข้ม ฝังไปในหลุมซ้าย-ขวา ในชุดกันชนหน้าออกแบบใหม่เน้นความสปอร์ตมากขึ้นพร้อมการ์ดเสริมช่ายล่างกันชนหน้าใหม่ดีไซน์เข้ารูปเน้นโทนสีเข้มมากขึ้นกว่าเดิมจากเดิมจะมีสีเดียวกับตัวรถและสีเงินในชุดการ์ดเสริม
ด้านข้างตกแต่งใหม่ด้วยคิ้วชายล่างประตูสีเงินด้าน ที่เปิดประตูเดิมเป็นสีเดียวกับตัวรถมาเป็นเติมขอบโครเมี่ยมเข้าไปเพิ่มความเท่ไปอีกระดับ พร้อมคิ้วโครเมี่ยมอีกชุดที่กรอบประตู ปรับใหม่ครั้งนี้มีเสน่ห์ขึ้นกับล้ออัลลอย 5 ก้านคู่ดีไซน์ใหม่ที่ไปได้แรงบังดาลใจจากรถญี่ปุ่นรุ่นหนึ่ง แต่งด้วยโทนดำเงินขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางเส้นใหม่ที่ขยายแก้มยางใหญ่ขึ้นเป็น 55 % (จากเดิม 50 %) ด้วยขนาด 215/55 R17 จากค่าย Yokohama Bluearth e70 เข้มกับคิ้วขอบล้อสีดำ ราวหลังคาออกแบบใหม่เล็กลงแต่เพิ่มการบรรทุกสัมภาระที่ดีขึ้น และเสาอากาศครีบฉลามสีดำ ซึ่งคุณจะเห็นสีเสาอากาศสีนี้ในทุกสีของ MG ZS รุ่นปรับโฉม
ด้านท้ายโดดเด่นด้วยฝาท้ายดีไซน์ใหม่รับกับไฟท้าย LED ที่ภายในโคมออกแบบทรงบูมเมอแรง พร้อมโลโก้ MG ขนาดใหญที่กลายที่เปิดฝาท้ายในตัวเสริมดูดียิ่งขึ้นด้วยไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED อีกทั้งยังได้ติดตั้งไฟตัดหมอกหลังไว้ในกันชนหลังดีไซน์ใหม่แบบหลุมฝังภายในด้วยสีดำเข้มแบบเดียวกับกันชนหน้าด้วยดุขึ้นกับลิ้นลปอยแลอร์หลังสีเงินทูโทนปลอดภัยขึ้นด้วย เซนเซอร์กะระยะการถอยหลัง
มิติตัวรถยนต์ B-SUV ค่าย เอ็มจี มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในบางจุดเนื่องจากมีการปรับดีไซน์ภายนอกรวมถึงวิศวกรรมต่างๆเข้าจึงมีมิติดังนี้ เริ่มจากความยาวเพิ่ม 4,324 มม. (เดิม 4,314 มม.) ความกว้างเท่าเดิม 1,809 มม. ความสูงเพิ่มเป็น 1,653 มม. (เดิม 1,624 มม.) ฐานล้อเท่าเดิม 2,585 มม. ระยะต่ำสุดจาพื้นเพิ่มเป็น 170 มม. (เดิม 165 มม.) น้ำหนักรถเพิ่มขึ้น 1,290 กก. (เดิม 1,258 กก.) และความจุถังน้ำมันเท่าเดิม 48 ลิตร
ภายในห้องโดยสาร ยังคงดีไซน์เดิมตั้งแต่ คอนโซลหน้า แผงประตู และ เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์ทั้งหมดด้วยโทนน้ำตาลอ่อน-ดำที่ดีไซน์โครงเบาะยังเหมือนเดิมแต่งานนี้รักสบายมากขึ้นด้วยเบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้ 6 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า แต่ฝั่งผู้โดยสารยังปรับธรรมดาแบบ 4 ทิศทาง เบาะด้านหลังยังคงเดิมปรับเอนได้มีพื้นที่เหลือเฟือมากและสบาย ไม่ว่าจะ Legroom และ Headroom แถมพับแยกส่วนได้ 60:40 เพิ่มพื้นที่จัดเก็บสัมภาระเมื่อพับเบาะ 1,187 ลิตร (ไม่พับเบาะมีเนื้อที่มากถึง 359 ลิตร) ส่วนออพชั่นเด่นยังมีให้มาเช่นเดิมนั่นคือ หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา มอบความรู้สึกโปร่งสบายกว่าด้วยพื้นที่ซันรูฟมีขนาดมากถึง 90 % ของพื้นที่หลังคาสามารถเปิดประสบการณ์ที่กว้างกว่า รับอากาศได้อย่างสดชื่น
แต่ใน MG ZS รุ่นปรับโฉมรุ่นท็อปสุด X+ มีการเพิ่มฟิจเจอร์ใหม่ๆเข้าไว้ด้วยกันลบจุดอ่อนที่เคยมีมาตั้งแต่รุ่นเดิม เริ่มที่ชุดแผงคอนโซลหน้าจากเดิมใช้สีน้ำตาล-ดำ เปลี่ยนสลับตำแหน่งเป็นสี ดำ-น้ำตาลอ่อน ช่องแอร์สไตล์เจ็ท เทอร์ไบน์ กลมๆยังคงเดิม พร้อมวัสดุหนัง SOFT TOUCH โดดเด่นอย่างประณีตบริเวณคอนโซลหน้าคอนโซลกลางและกล่องคอนโซลกลาง มาตรวัดความเร็วและรอบเครื่องยนต์มาในรูปแบบใหม่เรืองแสงแบบ Digital Multi - Function Display ขนาด 7 นิ้ว พร้อมจอแสดงข้อมูล MID แสดงข้อมูลทั้งเรื่องการขับขี่ ระบบความบันเทิง ในชุดเรือนมาตรวัด พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้านทรงท้ายตัดทรงเดิมหุ้มวัสดุหนังที่จับกระชับควบคุมการทำงานอย่างมั่นใจ พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงกับการทำงานของมาตรวัด บนพวงมาลัย แต่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control กลับให้มาเป็นก้านอยู่ในตำแหน่งใต้ก้านสวิตช์ไฟเลี้ยวด้านซ้ายมือ สร้างความลำบากในการใช้งานเช่นเดิมพร้อมระบบ ASL - Active Speed Limit ระบบจำกัดความเร็ว คอนโซลกลางเปลี่ยนใหม่ด้วยจอสัมผัสขนาดใหญ่ยื่นๆมานิดๆ ขนาด 10 นิ้ว เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ วิทยุ ระบบนำทาง มอบความบันเทิงด้วยลำโพง 6 ตัว แถมเป็นจอควบคุมการทำงานเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติแบบดิจิตอลแถมยังรักสิ่งแวดล้อมด้วย ระบบกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ต่ำลงมาเป็นสวิตช์ควบคุมการทำงานของระบบจอสัมผัสและครื่องปรับอากาศพร้อมปุ่ม Push Start สะดวกในการสตาร์ทรถง่าย และ กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Keyles Entry ดีไซน์ใหม่ล้ำยุคด้วยโทนดำ-แดง ขอบโครเมี่ยม
คอนโซลเกียร์หุ้มหนังสีดำปะโลโก้ MG จับกระชับขึ้นที่ดูๆไปยกงานดีไซน์มาจาก MG HS ล้อมกรอบคอนโซลเกียร์ด้วยกรอบสีเงินโครเมี่ยมรอบๆคอนโซลเกียร์มีฟังก์ชั่นใหม่ๆมากมายทั้งระบบแสดงการทำงานกล้องรอบคัน 360 องศา ระบบปรับตั้งน้ำหนักพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าตามความเหมาะสมในการขับขี่ ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันหรือ HDC เบรกมือไฟฟ้าแทนเบรกมือคันโยก EPB ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) แบบไม่ต้องเหยียบเบรกค้างป้องกันการไหลของรถโดยไม่ตั้งใจ ที่วางแก้วและสบายขึ้นด้วยกล่องคอนโซลกลางพร้อมที่วางแขนหุ้มด้วยหนังสัมผัส SOFT TOUCH สีน้ำตาลอ่อนสามารถใส่ของกระจุกกระจิกได้ นอกจากนี้ช่องเสียบ USB จากเดิมจะมีแค่ 2 จุด ใต้แผงจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว ยังเพิ่มมาอีก 3 จุด ทั้ง 2 จุด สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง และอีก 1 จุดข้างแผงกระจกมองหลังปรับแสง สำหรับติดกล้องหน้ารถ
สิ่งที่ MG ชูจุดเด่นมาตลอดและเรียกลูกค้าให้มาสนใจเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นด้วยระบบสั่งการทำงานด้วยภาษาไทย ในชื่อว่า i-SMART โดยสามารถสั่งเปิด-ปิด ปรับเพิ่ม-ลด การทำงานทั้งหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา กระจกไฟฟ้าคู่หน้า เครื่องปรับอากาศ เชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างชาญฉลาดสามารถเลือกฟังเพลงได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และสตรีมมิ่ง ระบบค้นหาร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว พร้อมนำทางและรายงานการจราจรแบบ Real Time รวมทั้งการอ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างทันเหตุการณ์ เพียงแค่พูดคำว่า Hello MG แต่เวอร์ชั่นใหม่นี้ตอบสนองการโต้ตอบสั่งการดีขึ้นกว่า พร้อม ระบบ Emergency Call ซึ่งจะมีการโทรและส่งข้อความระบุพิกัดรถไปยังเบอร์โทรที่ได้มีการตั้งค่าไว้เมื่อถุงลมนิรภัยในรถทำงานทำให้การเข้าช่วยเหลือทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตรวจสอบรถของคุณง่ายขึ้น โดยสามารถ ตรวจสอบสถานะรถยนต์และเตือนเมื่อมีสถานะผิดปกติ สั่งการล็อคหรือปลดล็อคประตูรถ ค้นหารถด้วยระบบ Find My Car ช่วยค้นหาศูนย์บริการ รวมถึงการบันทึกการดูแลรักษารถตามระยะ ผ่าน MG Mobile Application
ระบบความปลอดภัยที่จัดว่าเต็มคันไม่แพ้ใครด้วยระบบความปลอดภัย ประกอบด้วย ระบบตรวจสอบความผิดปดติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) ถุงลมนิรภัย 6 จุดรอบคันทั้งคู่หน้า ด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัย เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับพร้อมผ่อนแรงอัตโนมัติ ไฟหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ และกล้องมองภาพรอบคัน โดยจะทำงานผ่านจอสัมผัสที่ความชัดพอไปวัดไปวาได้ถึงไม่ใช้ระบบชัด HD ก็ตาม
เครื่องยนต์กลไกสำหรับ B-SUV ลูกครึ่งอังกฤษ-จีน ยังคงเดิมด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร รหัส 15S4C VTi – TECH ให้กำลัง 114 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาทที แรงบิด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบ/นาที รองรับเชื้อเพลิงสูงสุด E85 ให้ค่า CO2 ต่ำเพียง 148 กรัม/กม. โดยอัตราสิ้นเปลืองตามข้อมูลโรงงานทำได้ 15.6 กม./ลิตร ระบบส่งกำลังจากเดิมที่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ที่ขึ้นชื่อลือชาว่า อืดไม่กระฉับกระเฉงไม่ตอบสนองทุกช่วงความเร็ว มาครั้งนี้เป็นเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่แบบ CVT (CONTINOUS VARIABLE TRANSMISSION) 8 สปีดที่พัฒนาใหม่จากทาง SAIC Motors พร้อม Manual Mode +/-
สำหรับการทดลองขับครั้งนี้ ทาง MG เลือกเส้นทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยเดินทางไปกลับถึง จ.ฉะเชิงเทรา เส้นอ.บ้านโพธิ์ รวมระยะทางกว่า 108 กม. จากจุดด้อยของรุ่นที่แล้ว ที่บ่นกันสนั่นเมืองว่าเครื่องอืด ไม่ไวไม่ทันใจ ต้นอืดปลายไหล มาครั้งนี้ขุมพลังเดิม แรงม้าแรงบิดเดิมแต่พอมาจับคู่กับเกียร์ลูกใหม่ที่สปีดมากกว่าแบบ CVT สามารถลากตัวรถหนักเกือบ 1.3 ตันเร่งมาเร็วกว่าทันใจกว่า ช่วงต้นที่เคยอืดมาครั้งนี้ค่อนข้างฉับไว เร่งแซงแอบมีลุ้นบ้างว่าจะอืดไหมแต่ผลออกมาน่าพอใจอย่ายิ่งตั้งแต่รอบต้นๆจนลากรอบมาถึง 4,800 รอบ/นาที ช่วงความเร็วกลางๆ 60-90 กม./ชม. ยังสบายๆในการใช้งานอยู่ทุนเดิม แต่พอความเร็วสูงๆตั้งแต่ 100 กม./ชม.เป็นต้นไปไหลลื่นสบายๆ เช่นเดิมทั้งนี้ ผมเองได้จับอัตราเร่งจากตุดหยุดนิ่ง 0-100 กม./ชม. งานนี้ทำผลงานได้ประทับใจขึ้นด้วยตัวเลข 16.75 วินาที และอัตราเร่งแซง 80-120 กม./ชม. ทำได้ 10.00 วินาที ด้านรอบเครื่องในแต่ละช่วงความเร็ว 90-120 กม./ชม. ทำรอบได้ตามลำดับดังนี้ตั้งแต่ 1,600 1,800 2,000 และ 2,100 รอบ/นาที ส่วนการเก็บเสียงทำผลงานได้ดีเยี่ยมตั้งแต่ความเร็วกลางๆจนถึง 140 กม./ชม.
การทำงานของเกียร์ CVT ที่ทำงานด้วยระบบของชุดพลูเลย์ 2 ตัวทำงานสอดคล้องกันผ่านสายพานตามอัตราเร่ง และรอบเครื่องที่ถูกส่งมาจากเครื่องยนต์ ตั้งแต่เกียร์แรกจนถึงเกียร์ 8 ไม่มีอาการกระชากในจังหวะที่อัตราทดเปลี่ยน ตัวรถจะค่อยๆ วิ่งเร็วขึ้นไปอย่างนุ่มนวลไม่สะดุดแถมมี Manual Mode +/- ไว้ใช้สำหรับขึ้น-ลงทางลาดชัน หรือ เร่งแซง ซึ่งตรงนี้ทาง MG แก้ปัญหารถอืดได้ตรงจิตตรงใจคนไทยอย่างสมบูรณ์แบบ
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และแบบทอร์ชั่นบีมสำหรับด้านหลัง ถึงช่วงล่างคงเดิมแต่ยังให้ความนุ่มนวลตลอดการเดินทางแม้สภาพเส้นทางจะราบเรียบหรือมีหลุมบ่อ ขุรขระสลับกันไป ถ้าคนชอบความนุ่ม ยิ่งญาติพี่น้องเป็นที่ถูกใจแน่แท้รวมถึงเกาะถนนมากขึ้นตามสไตล์ MG ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ยางแก้มสูงขึ้น 55 % เพิ่มความมั่นใจในการทรงตัวมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมที่ใช้ยางแก้มเตี้ย 50 % และยังมีระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า EPS ที่สามารถปรับน้ำหนักของพวงมาลัยได้ถึง 3 รูปแบบตามความชอบของผู้ขับขี่ ทั้งแบบในเมือง City, มาตรฐาน Standard และ Sport โดยงานนี้ขอเลือกโหมดมาตรฐาน ตลอดทั้งการขับขี่ กรุงเทพฯ- ฉะเชิงเทรา นั้น ทำผลงานได้ดีในด้านน้ำหนัก ตั้งแต่ช่วงความเร็วต่ำๆ กลางๆ น้ำหนักจะเบาพอสมควรซึ่งเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่พอเข้าความเร็วสูงกลับให้น้ำหนักที่ดี คมทุกโค้ง มั่นใจได้เลยว่าเจ้า B- SUV รุ่นนี้จัดอยู่ในอันดับต้นๆในเรื่องการควบคุมรถแบบหาตัวจับยาก
ระบบห้ามล้อยังคงเดิมทั้งระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก EBA ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยที่คอยประสานทำงานกันเป็นหนึ่งเดียว หรือ SYNCHRONIZE PROTECTION SYSTEM ที่มีทั้งหมด 12 ฟังก์ชั่น เอาเข้าจริง เวลาเหยียบเบรกเบรกลึกขึ้นสั้นขึ้นกว่ารุ่นที่แล้ว ด้วยระยะการเหยียบเบรกราว 30 % และไม่ทื่อเหมือนคู่แข่งจากญี่ปุ่นที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี
การปรับเปลี่ยนหน้าตาใหม่ รวมถึงปรับเปลี่ยนระบบส่งกำลังใหม่ครั้งนี้ทำให้สาวกที่ชื่นชอบรถยนต์ค่ายนี้ เพิ่มคะแนนเทใจจับจองเป็นเจ้าของมากขึ้น ระบบเกียร์ CVT ลูกใหม่ที่ตัดต่อกำลังอย่างนุ่มนวล ผนวกกับเครื่องเดิม 114 แรงม้า สร้างจุดเด่นขึ้นมาทันที สร้างความแรงติดจรวดอย่างทันตา ไหลทั้งต้นทั้งปลาย ช่วงล่างนุ่มไม่ดีดหมือนเดิม เกาะถนนมากขึ้นกับยางขนาดใหม่ รวมถึงออพชั่นที่เทหน้าตักเข่นเดิมไม่ว่าจะเป็นหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา เครื่องเล่นจอสัมผัส ขนาดใหม่ 10 นิ้ว พร้อมกล้องรอบคัน สั่งการควบคุมการใช้งานของด้วยเสียงภาษาไทย ห้องโดยสารด้านหลังที่สบายกว่า นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมาทันที
และด้วยราคา 799,000 บาท (เพิ่มจากเดิมมา 10,000 บาท) แลกกับออพชั่นจากโรงงานล้นคันแบบนี้ คุณเองก็มีความสุขกับการได้เป็นเจ้าของ B-SUV สายพันธุ์ยุโรปที่ตรงจุดการใช้งานสำหรับคนเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ กับ MG ZS Facelift 1.5 X+
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถยนต์ MG ZS Facelift 1.5 X+
สิ่งที่ชอบ >>>หน้าตาสไตล์ยุโรปมากขึ้น ถึงดีไซน์อาจหยิบยืมมาจากคู่แข่งบ้างค่ายรถยุโรปบ้าง ออพชั่นครบครันจนคู่แข่งอิจฉาห้องโดยสารกว้าง มีหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามิก ช่องเสียบ USB ที่ให้มากกว่า จอสัมผัลใหญ่ 10 นิ้ว เล่นเพลงออนไลน์ได้ไม่ต้องพึ่ง USB ช่วงล่างเด่นที่การเข้าโค้งแม่นยำ ให้ความนุ่มนวลเทียบเท่าเจ้าตลาด เกียร์ลูกใหม่ 8 สปีด CVT ลบจุดบอดได้อย่างดีในเรื่องเร่งแซง และความฉับไวในการทำความเร็ว
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ควรย้ายตำแหน่ง Cruise Control ไปอยู่ในวงพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ควรปรับตำแหน่งแป้นคันเร่งให้ห่างจากแป้นเบรก เพราะอาจเกิดการเข้าใจผิดเหยียบแป้นคันเร่งกะแป้นเบรกพร้อมกันจนเกิดอุบัติเหตุ
ชม Gallery Test Drive New MG ZS 1.5 X+ ได้ที่นี่ !!
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com