Mercedes-Benz SUV Driving Events รวยหรูสู้ออฟโรด ใครว่าทำไม่ได้
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 28 ส.ค. 63 00:00
- 7,572 อ่าน
เชื่อได้เลยว่า ส่วนใหญ่ที่ซื้อรถยนต์ตระกูลหรูระดับค่ายตราดาวสามแฉกอย่าง Mercedes-Benz ก็ต้องหวังเอามาขับเพื่อบริการความรู้สึกตัวเองให้นั่งสบาย, ปลอดภัยสูง และเป็นหน้าเป็นตากับตัวเองได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่จะมีสักกี่คนที่จะเลือกซื้อรถยนต์จากเมืองเบียร์แบรนด์นี้ เอามาลุยป่ากัน
รถของ Mercedes-Benz นั้นมีหลากรุ่นหลายสไตล์ แต่มีรถอยู่กลุ่มหนึ่งก็คือตระกูลรถอเนกประสงค์ หรือศัพท์ทางการว่า Sport Utility Vehicles แปลเป็นไทยได้ว่า รถอเนกประสงค์นั่นเอง ถ้าดูตามอักษร ก็จะเป็นรถที่ขึ้นต้นด้วย GL ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น GLA, GLB, GLC จนไปถึง GLS นั่นเลย ส่วนเลขกับอักษรทิ้งท้ายก็มีแยกย่อยกันไป (ลองไปหาดูกันเอง) แต่ผมมีความเชื่อว่า ส่วนใหญ่แล้ว ตอนซื้อคือเห็นว่ามันใหญ่ ขนคนได้เยอะดี แต่หาได้น้อยคนนักที่จะบอกว่า “เออ มันเอาไปลุยป่าได้นะ” ก็เพราะรถราคามันหลายอยู่ จะเอาไปลุยป่าให้มันเลอะเทอะได้ยังไง
ก็ด้วยความที่คนที่เป็นเจ้าของรถหรูนาม Mercedes-Benz ยังไม่สามารถรีดคุณสมบัติของรถอเนกประสงค์ของเขาได้เต็มที่ ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เลยจัดงาน Mercedes-Benz SUV Driving Events กันขึ้นมา เพื่อให้เห็นกันไปเลยว่า รถอเนกประสงค์ SUV ค่ายนี้ มันก็มีดี ลุยป่า ลุยโคลนได้ดีไม่แพ้รถกระบะหรือรถ PPV ทั่วไปเช่นกัน บางที บางอย่างก็อาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ ทีมงาน AUTODEFT ก็เลยได้รับเกียรติเทียบเชิญมาจากเจ้าภาพ ให้มาได้ทดสอบในครั้งนี้ร่วมกัน (ขอบคุณมากคร้าบบบบ)
กิจกรรม Mercedes-Benz SUV Driving Events รอบนี้ เรามีจุดหมายสำหรับการลุยครั้งนี้ที่ Grand Prix Motor Park ที่จังหวัดกาญจนบุรี (เจ้าของเดียวกับ Motor Show ๆ ๆ ๆ ) มีสนามให้เราทดสอบได้ 3 รูปแบบ คือสถานี Off-Road ที่จัดสภาวะจำลองของอุปสรรคในป่าที่อาจเกิดขึ้นได้จริง เช่นวิ่งผ่านหลุมใหญ่, วิ่งลุยน้ำ, วิ่งขึ้นเขา เป็นต้น สนามต่อมาคือ Cross Country ที่เป็นสนามความเร็วสูงประดุจวิ่งแรลลี่ ที่พื้นเป็นหินกรวดลื่นไถลได้ตลอดทาง และสุดท้ายกับการลุยป่าจริง ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ให้สัมผัสกับบรรยากาศจริงที่จะเจอได้กับการขับลุยป่าทั่วไป เดี๋ยวเราค่อย ๆ ลองกันไปทีละสถานี มาดูกันว่ารถตระกูลหรูนั้น จะลุยได้ขนาดไหน
ผมได้คิวเริ่มสถานีแรกกับ Thailand 4x4 Academy กันก่อนเลย โดยในสถานีนี้จะถูกแบ่งย่อยเป็น 10 สถานีย่อย ซึ่งผมเองได้โอกาสในการขึ้นขับ รถอเนกประสงค์ SUV พี่ใหญ่ยักษ์สุดอย่าง Mercedes-Benz GLS 350 d 4Matic AMG Premium ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร 286 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic ราคาเบา ๆ แค่ 8,859,000 บาทเท่านั้นเอง (เฮือก) เข้าลุยทดสอบในสถานีนี้ โดยพี่เอ ที่เป็น Instructor ในสถานีนี้ ได้บอกกับผมว่า “ใคร ๆ ก็ไม่ค่อยอยากจับคันนี้เท่าไหร่ เพราะคันมันใหญ่ที่สุดเลย กลัวจะเอาไปลุยได้ยาก แต่บอกได้เลยว่า เขาคิดผิด 555”
มาเริ่มกันสถานีย่อยแรกก่อนเลยกับการลุยหลุมสลับ ซึ่งเส้นทางเป็นทางปูนที่มีหลุมขนาดใหญ่สลับซ้าย-ขวากันไปเรื่อย ๆ ซึ่งผู้ออกแบบตั้งใจให้ล้อมีการลอยขึ้น 1 ล้อเป็นอย่างน้อย บางจังหวะจะมีลอย 2 ล้อ (ถ้าลอย 3 ล้อ แปลว่ารถพัง) เพื่อดูระบบการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อว่าทำงานได้ดีอย่างไร เอาจริงนะ ตอนที่ผมขับอยู่บน GLS มันไม่รู้สึกว่ายากลำบากอะไรเลย ก็เหมือนขับรถตกหลุมทั่วไป ค่อย ๆ กดคันเร่งไปตามสถานการณ์ แต่จากที่ได้ขับตาม GLC ที่นำหน้าอยู่ เห็นได้เลยว่ารถมันล้อลอยขึ้นสูงจริง และจะได้เห็นล้อหมุนกลางอากาศอยู่แวบนึง แล้วรถก็ยังไม่ไปต่อ แต่เมื่อระบบถ่ายกำลังของล้อจับให้ล้อที่ลอยอยู่หยุดหมุน แล้วส่งกำลังไปบนล้อที่ติดพื้รนแทน รถก็วิ่งต่อไปได้โดยไม่ต้องลำบากอะไร ผ่านไปได้อย่างสวยงาม
สถานีย่อยต่อมากับการลุยในบ่อน้ำ สูงประมาณ 50 ซม. ก็ไม่ยากเย็นอะไรนะ โดยเฉพาะคันที่ผมขับมันตัวใหญ่และสูวอยู่แล้ว ผ่านไปได้อย่างงดงาม เอาเป็นว่าน้ำท่วม กทม. สูงระดับครึ่งเมตร ก็ลุยได้อย่างไม่มีปัญหา
ขยับมาต่อกับสถานีวิ่งบนท่อนซุง ที่เรียงรายนอนขวางเส้นทางอยู่แบบนับไม่ถ้วน เพื่อทดสอบระบบการทำงานของช่วงล่าง ว่าจะทำได้นุ่มนวลขนาดไหน ก็สมคำร่ำลือจริง ๆ ว่ารถหรู่ตราดาวสามแฉก Mercedes-Benz ย่อมบริการระดับ Premium ได้อยู่แล้ว ซุงมันก็ไม่ได้จมลึกนะ ถ้าเอารถกระบะมาวิ่งคงหัวโยกคลอนประดุจดั่งฟังเพลง Heavy-Metal ที่รุนแรง แต่ GLS มันดูเป็นเรื่องอนุบาล นุ่มนวลขับง่าย สบายจนถึงสุดเส้นทาง
ต่อมากับสถานีย่อยที่ 4 กับการขับ Slalom บนพื้นเอียง ลองนึกภาพถึงสันเขาแบบหลังคาจั่ว แล้วมีการวางกรวยส้มบนยอด แล้วให้รถเราวิ่งสลับไปมาซ้าย-ขวา แน่นอนว่าจะมีบางจังหวะที่รถจะลอย 2 ล้อแน่นอน แต่ด้วยระบบการจัดการขับเคลื่อน 4 ล้อ 4Matic ที่มาใน Mercedes-Benz มันทำให้เรื่องแบบนี้ดูง่ายดายประดุจปลอกกล้วยใส่เข้าปากช้าง (ปอกทำไม) ขับผ่านไปได้แบบไม่ต้องใช้ทักษะในการขับขี่รถ 4x4 มากเท่าไหร่เลย
สถานีครึ่งทางกับการขึ้นลงทางลาดชัน โดยขึ้น 2 รอบ รอบแรกเป็นการขึ้นทางปูน รอบ 2 กลับมาขึ้นทางหญ้าที่มีความลื่นเป็นพิเศษ โดยสถานีนี้ พี่เอที่เป็น Instructor ให้ทำการปิดระบบ Traction Control เพื่อป้องกันไม่ให้รถตัดการทำงานของเครื่องยนต์เมื่อล้อมีอาการลื่นในช่วงที่กำลังต้องการพลังงานของเครื่องยนต์ช่วงไต่เขา ความยากมันอยู่ตรงที่ช่วงที่เรากำลังไต่เขาที่มีความเอียงระดับ 40 องศา มันจะทำให้เราเห็นแต่ท้องฟ้า ไม่เห็นพื้นที่เราจะวิ่งไปเลย แต่เรื่องนี้ไม่มีปัญหาครับกับ Mercedes-Benz GLS 350 d 4Matic AMG Premium เพราะเราสามารถเปิดดูกล้องหน้าที่ติดอยู่บริเวณกระจังหน้าแทนก็ได้ แค่นี้เราก็เห็นถนนที่เราจะวิ่งไปได้แล้ว ขับรถระดับนี้ อะไรก็ดูง่ายไปหมดเลยเนอะ
เข้าสู่สถานีย่อยที่ 6 กับหินกรวด ทางขรุขระ ก็ไม่มีอะไรมาก เพื่อดูการทำงานของช่วงล่าง และดูแรงบิดว่าทำงานได้ดีขนาดไหน
ขยับต่อเข้าสู่สถานีลุยน้ำอีกครั้ง คราวนี้น้ำสูงประมาณ 60 ซม. ก็ไม่ยากอะไรอีกเช่นกัน ผ่านไปได้อย่างไม่ยากเย็น
สถานีย่อยที่ 8 กับเนินเอียงบนทางโค้งครึ่งวงกลม ดูการบังคับเลี้ยวและช่วงล่าง เราก็ผ่านไปได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
สถานีย่อยรองสุดท้าย ผ่านน้ำตก มาดูการทำงานของระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อมล้างรถไปด้วยในตัว
สุดท้ายกับทางทราย ก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ผ่านฉลุย
จบสถานีแรกไปแล้ว สรุปง่าย ๆ ว่าระบบการทำงานในรูปแบบขับเคลื่อน 4 ล้อของ Mercedes-Benz ทำหน้าที่ของมันได้ดีแบบไม่มีปัญหา แทบไม่ต้องใช้ทักษะในการขับขี่ Off-Road อะไรมากมาย รถมันจะคิดและทำงานแทนเราได้ทุกอย่าง ขอแค่เราควบคุมพวงมาลัย, คันเร่ง และเบรกให้ทำงานได้อย่างเหมาะสมกับสภาพเส้นทาง คุณก็สามารถลุยได้สบายแล้ว แต่ถ้าต้องเข้าไปลุยกันจริง คงต้องประเมินเบื้องต้นด้วยนะครับ ว่าเส้นทางที่จะไปนั้น รถเรามีขีดความสามารถมากพอที่จะไปได้หรือไม่ ต้องอย่าลืมว่า ยางที่ใส่มาในรถเป็นยางแบบ Highway Terrain เหมาะกับการใช้งานในถนนเรียบปกติ โอเคมันอาจจะลุยได้บ้าง แต่ถ้าเส้นทางเป็นเลนเละ ก็คงจะไม่เหมาะ เจอเลนลึกเข้าไป ก็ติดได้อยู่ดี เพราะยางไม่เหมาะ ไม่มีแรงตะกุยดินนั่นเอง (รถแต่ง Off-Road ถึงต้องมี Winch เอาไว้ช่วยดึงรถออกจาหล่มด้วยไง)
ขยับมากับสถานีต่อมาในสนามแบบ Motocross เส้นทางยาว 3 กม. เป็นทางดินที่มีหินก้อนเล็ก-ใหญ่เรียงรายอยู่ตลอดเส้นทาง เพื่อมาดู Performance ของ Mercedes-Benz ว่ามีมากขนาดไหน โดยสถานีนี้เราจะได้ลองกันรวม 2 รุ่น ทั้งในรูปแบบขับเคลื่อนล้อหน้าอย่าง Mercedes-Benz GLB 200 Progressive ที่ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร 4 สูบ 163 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7G-DTC ราคา 2,860,000 บาท และอีกรุ่นเป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังอย่าง Mercedes-Benz GLC 200 d ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ 194 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic ในราคา 3,239,000 บาท เพื่อมาดูว่า การขับขี่ในเส้นทางแบบนี้ ระหว่างรถขับหย้ากับขับหลัง แบบไหนจะควบคุมได้ง่ายกว่าและขับสนุกกว่า และเพื่อเพิ่มความมันให้มากขึ้น สถานีนี้เราจะปิดระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ หรือ ESP เพื่อดูอาการตัวรถว่าจะเป็นอย่างไร (หมุนก็คือหมุน)
เริ่มตัวแรกกับ Mercedes-Benz GLB 200 Progressive กันก่อนเลย ต้องอธิบายว่า การขับขี่บนเส้นทางนี้ ถ้าขับด้วยความเร็วที่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป แล้วปิดระบบตัวช่วย มันจะลื่นมากครับ รถพร้อมที่จะหมุน หลุดนอกเส้นทางได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงเข้าโค้งที่พร้อมจะไหลออกข้างได้ตลอดเวลา ซึ่งถ้าจะขับเร็ว ต้องใช้ทักษะในการขับเป็นอย่างมาก ไม่แนะนำให้ไปลองกันเองบนถนนสาธารณะทั่วไปนะครับ อันตรายมาก แต่ถ้าอยากสนุกให้มาที่สนามนี้ รับรองว่าปลอดภัยแน่นอนครับ เข้าเรื่องกันต่อดีกว่า เส้นทางนี้ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร มีทางโค้งแบบ U-Turn ประมาณ 4-5 จุด และโค้งหักศอกอีกประมาณ 1 จุด นอกนั้นจะเป็นทางตรงและทางโค้งกว้างอีกหลายจุด ผมก็ควบรถอเนกประสงค์ SUV ขับไปตามเส้นทาง ความเร็วทางตรงกดได้เป็นกด ทางโค้ง U-Turn จะเหลือประมาณ 30 กม./ชม. หักศอกประมาณ 40 กม./ชม. โค้งกว้างก็เยอะกว่านี้ประมาณหนึ่ง ขับยากประมาณหนึ่งเลยครับ รถพร้อมที่จะไหลออกข้างได้ตลอดเวลา แต่ด้วยความที่เป็นรถขับหน้า ผมว่าการเข้าโค้งอะไรมันควบคุมได้ง่ายกว่า แต่ถ้าควบคุมไม่ดีและใช้คันเร่งไม่เหมาะช่วงเข้าโค้ง อาการหน้าดื้อจะมาง่ายมาก เพราะพื้นกรวดมันพร้อมจะพาล้อไถลออกนอกทางได้ตลอดเวลา แต่สนุกจริง ๆ ครับกับการได้ขับในสนามแบบนี้ ด้วยรถที่หรูขนาดนี้ ถ้าเป็นรถตัวเองคงไม่เอารถมาลุยขนาดนี้แน่นอน เสียดาย 555
หมด 2 รอบไปแล้วกับรถขับเคลื่อนล้อหน้าอย่าง Mercedes-Benz GLB 200 Progressive เรามาขับอีก 2 รอบบน Mercedes-Benz GLC 200 d ที่เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังกันบ้างดีกว่า ครั้งนี้เห็นความแตกต่างเลยครับ เพราะการที่พละกำลังส่งไปที่ล้อหลัง ทำให้เกิดอาการ Oversteer หรือท้ายปัดได้ง่ายกว่าอย่างมาก ถ้าเผลอกดคันเร่งเร็วและแรงเกินไป ท้ายนี่พร้อมไหลออกด้านข้างและพาหมุนได้ตลอดเวลา (อย่าลืมว่าเราปิดระบบ ESP กันอยู่นะครับ) ดังนั้นการควบคุมจะยากมากกว่ารถขับหน้า แต่ความสนุกนี่ x3 เลยครับ เพราะทางได้ขับรถที่มีอาการท้ายไหลออกข้างอยู่ทุกโค้ง คือความมันที่หาไม่ได้อีกแล้ว ยากกว่าแต่มันกว่าแน่นอน หลังจบการทดสอบสถานีนี้ ขอชื่นชมในความใจถึงของทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เลยครับ ว่าการที่ยอมเอารถราคาระดับนี้มาให้บรรดาสื่อเท้าหนักอย่างพวกเราได้มาทดสอบกันในรูปแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะมั่นใจในตัวรถ ก็คงออกแนวบ้าท้าให้ลองแล้วล่ะครับ
สุดท้ายกับสถานี 4x4 Adventure กับเส้นทางธรรมชาติระยะทาง 4.5 กิโลเมตร ที่เป็นทางดินแคบ ๆ ล้อมรอบไปด้วยทุ่งหญ้าและต้นไม้ มีการไต่เนินและลงหลุมกันเป็นระยะ โดยใช้บริการ Mercedes-Benz GLC 300 e 4Matic AMG Dynamic ที่ใช้ขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบ พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังได้สูงสุด 320 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9G-Tronic ในราคาค่าตัว 3,749,000 บาท ที่พาเราวิ่งผ่านเส้นทางวันนี้ได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องมาตื่นเต้นกับอะไร ควบคุมพวงมาลัยกับใช้คันเร่งให้เหมาะกับเส้นทางก็เป็นพอ ใจจริงก็อยากให้ช่วงนั้นฝนตกหนักสักหน่อยนะ จะได้มีอะไรตื่นเต้นเข้ามาในช่วงทดสอบนั้นดูบ้าง 555 (คนดูแลคงไม่คิดเช่นนี้)
จบครบการทดสอบในกิจกรรม Mercedes-Benz SUV Driving Events เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สรุปเอากันง่าย ๆ เลยว่า รถในระดับ Mercedes-Benz กลุ่ม SUV อเนกประสงค์ ที่เรามองแล้วว่ามันคือรถหรู สง่างาม มีความเป็นผู้ดีในยามขับขี่ ในเวลาที่ต้องการเอาไปลุย มันก็ทำได้ดีไม่แพ้รถ 4x4 ทั่วไปเลย ถ้ามองในแง่ความสบายในการลุย จะดีกว่าด้วยซ้ำ ด้วยช่วงล่างระดับเทพที่นุ่มนวล จะช่วยให้การลุยป่าไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ตอนนี้ขึ้นอยู่กับ “ใจ” ของเจ้าของรถแล้ว ว่าพร้อมจะเอารถราคาระดับนี้ พร้อมออกไปหาประสบการณ์รูปแบบใหม่กันได้หรือยัง
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com