Test Drive : รีวิว ทดลองขับ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé สปอร์ตเอสยูวีตัวหล่อ โหด ดุ แรงไม่ปราณีใคร
- โดย : Autodeft
- 1 มิ.ย. 63 00:00
- 29,944 อ่าน
นับตั้งแต่ Mercedes-Benz เปิดตัวซับแบรนด์ใหม่อย่าง Mercedes-AMG เพื่อแยกทำตลาดอย่างชัดเจน ทำให้สาวกตราดาวเริ่มรู้จักและเริ่มจดจำกันเป็นวงกว้าง ในฐานรถยนต์สมรรถนะสูงหรือเรียกกันง่ายๆนำเอา Mercedes-Benz รุ่นปกติอัพเกรดเพิ่มความแรงความสปอร์ตให้เหนือกว่า เด่นกว่าเจ้าอื่นๆ
ปัจจุบัน Mercedes-AMG มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่เก๋งเล็ก รถสปอร์ต ไปจนถึงรถเอสยูวีทั้งแบบประกอบในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศหนึ่งในนั้นมีเอสยูวีที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี นั่นคือ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupe เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยตั้งแต่กลางปี 2017 โดยเป็นรูปแบบนำเข้าจากต่างประเทศหรือ CBU ในช่วงแรกและหนึ่งปีถัดมาเปิดตัวเวอร์ชั่นประกอบในประเทศไทยหรือ CKD จำหน่ายในราคาที่ถูกลงกว่า สำหรับรุ่นที่นำมารีวิวทดลองขับนี้เป็นรุ่นปรับโฉม (Facelift) ปรับหน้าตาใหม่ดุเข้มกว่ารุ่นเดิม
ภายนอกนำพื้นฐาน Mercedes-Benz GLC Coupe รหัส C253 ตกแต่งใหม่สไตล์ AMG bodystyling รอบคัน ให้เหนือและดี เริ่มที่กระจังหน้าจากเดิมเป็นแบบแนวนอน 1 เส้น พร้อมไส้ในแบบรังผึ้งเป็นแบบดีไซน์ใหม่แนวตั้งโครเมี่ยม 17 ชี่ พร้อมตราโลโก้ดาวสามแฉกขนาดใหญ่ แบบ AMG-specific radiator grill ซ่อนกล้องมองภาพด้านหน้าเอาไว้ ไฟหน้าใหม่แบบ MULTIBEAM LED พร้อมไฟ Daytime แบบ LED ออกแบบใหม่มีขอบในโคมเดียวกัน พร้อมระบบปรับโคมไฟหน้าตามการเลี่ยวของพวงมาลัย ALS (Active Light System) รวมถึงระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ และไฟสูงสว่างไกล 650 เมตร เรียกว่าที่มืดๆสามารถส่องถึงได้ รับกับกันชนหน้าดีไซน์ดุพร้อมช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ เสริมด้วยคิ้วสเกริ์ตใต้กันชนสีเทาอ่อนพร้อมช่องระบายอากาศ 3 จุด
ด้านข้างบ่งบอกความเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงในร่างเอสยูวี แร็คหลังคา จึงไม่มีความจำเป็นในการติดตั้งมาแต่ให้หลังคาซันรูฟเป็นแบบบานเดียวทรงมาตรฐานไร้แบบพาโนรามิคบานใหญ่ยาวแต่สามารถเลื่อนเปิด-ปิดกระดกขึ้นได้ด้วยระบบไฟฟ้า กระจกมองข้างบานใหญ่ติดตั้งไฟเลี้ยว LED ปรับ-พับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมกล้องมองภาพซ้าย-ขวา ใต้กระจกมองข้าง ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ทูโทนดำขนาด 20 นิ้ว พร้อมขนาดยางที่แตกต่างกันขนาด 255/45 R20 สำหรับล้อหน้าและ 285/40 R20 สำหรับล้อหลัง โดยเป็นยางจากค่าย Michelin Latitude Sport 3 (เดิมขนาด 21 นิ้ว พร้อมยาง 255/40 R21 สำหรับล้อหน้า และ 285/35 R21) พร้อมสัญลักษณ์ AMG บนคาลิปเปอร์เบรกหน้าสีเทา โดยบังโคลนหน้าซ้าย-ขวา ติดสัญลักษณ์ BI-Turbo 4 MATIC บ่งบอกว่ารถคันนี้ร้อนแรงด้วยเครื่องเทอร์โบคู่ มีบันไดข้างสเตนเลสดีไซน์สปอร์ตพร้อมปุ่มยางกันลื่นไว้สำหรับการปีน ขี้น-ลง เช็ดรถบนหลังคาให้สะอาดแต่ว่าดีไซน์บันไดข้างที่ยื่นออกมาอาจเป็นตัวขัดจังหวะการเข้าออกไปบ้าง และกรอบกระจกประตูติดตั้งคิ้วโครเมี่ยมเสริมสง่าความหรูขึ้นอีกขึ้น
ด้านท้ายดีไซน์กระจกหลังให้โค้งให้กลมกลืนกับหลังคารถที่ลาดลง พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ถัดลงมาบริเวณบนขอบประตูท้าย ติดตั้งสปอยเลอร์ชิ้นบางๆ Spoiler-lip รับความโค้งอย่างลงตัว ในรุ่นปรับโฉมมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนไฟท้าย LED ใหม่โดยไม่มีเส้นสีขาวแนวยาวอีก พร้อมสัญลักษณาดาวสามแฉกตรงกลางที่เปิดที่เปิดฝากระโปรงท้ายและซ่อนกล้องมองหลังในตัวเมื่อถอยโลโก้จะกระดกขึ้นเอง พร้อมโลโก้ชื่อรุ่น GLC 43 ในด้านขวา และ AMG ในด้านซ้าย รับกับกันชนหลังใหม่ที่มีคิ้วสีเทาอ่อนครอบยาวตลอดทั้งชิ้นแบบ AMG Spoiler-lip เร้าใจ บาดอารมณ์กับ ปลายท่อไอเสีย 2 ท่อ แบบ 4-pipe look และท่อไอเสียแบบ AMG Performance exhaust system ระบบเซ็นเซอร์ช่วยในการนำรถเข้ารวมถึงด้านหน้า ผสานการทำงานกับกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง เพียงการจอดรถไม่ว่าจะจอดรถเข้าซ่องเอาหน้าเข้าหรือท้ายเข้าก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปลดปัญหาการทำให้ตัวรถเป็นรอยจากการขับขี่ที่ผิดพลาดของคุณเอง
ตัวถังรถพื้นฐานเดียวกับ Mercedes-Benz GLC ปกติ (รหัส X253) แต่ผ่าครึ่งคันหน้าออกแบบท้ายใหม่ให้ลาดลงขึ้น แถมเป็นรุ่นปรับโฉมตัวแรง ทำให้ตัวรถมีมิติที่ใหญ่พอสมควร เริ่มที่ ความยาว 4,749 มม. (เดิม 4,727 มม.) ความกว้าง 1,930 มม. ความสูง 1,578 มม. (เดิม 1,586 มม.) ฐานล้อ 2,873 มม. น้ำหนักรถ 1,875 กก. และความจุถังน้ำมัน 66 ลิตร
ภายในดีไซน์เดียวกับรุ่น GLC Coupe แต่มื่อกลายร่างเป็นตัวแรง Mercedes-AMG ความพิเศษจึงแตกต่างแน่นอนเริ่มที่แผงคอนโซลหน้าดีไซน์คุ้นเคยเพราะยกชุดมาจากรุ่น GLC ปกติ และ C-Class พร้อมช่องแอร์ทรงกลม ตกแต่งคอนโซลโทนสีดำสลับลายคาร์บอนสีเข้มมีลาย AMG Carbon-fibre และอลูมีเนียม ตรงคอนโซลกลาง กับแผงประตู พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้านแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มด้วยหนัง Nappa ผสมหนังกลับ ปุ่มการทำงานในพวงมาลัยแบบสีเงินเงาวาว แบบ touch control ใช้งานง่าย พร้อมสวิตช์ ควบคุมการทำงานทั้งระบบล็อกความเร็ว Cruise Control พร้อมฟังก์ชั่นจำกัดความเร็ว และสวิตช์ควบคุมการทำงานเครื่องเสียง ปรับสูงต่ำเข้าออกได้ 4 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า หลังพวงมาลัยด้านซ้ายจะเป็นทั้งก้านไฟเลี้ยวและที่ปัดน้ำฝน และด้านขวาจะเป็นชุดเกียร์อัตโนมัติ มาตรวัดดิจิทัลแบบใหม่ All Digital instrument display ขนาด 12.3 นิ้ว อ่านง่ายขึ้นชัดเจนกว่ามาตรวัดเดิม เด่นด้วยมาตรวัดบอกความเร็ว บอกการทำงานรอบเครื่องยนต์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้จาม ตรงกลางมาพร้อมจอ MID ขนาดใหญ่บอกการทำงานของตัวรถทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นระบบนำทางแสดงชื่อเพลงชื่อคลื่นวิทยุ โทรศัพท์ ฯลฯ บนแผงคอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนังดำเดินด้าย และมี AMG Head-up Display อยู่ฝั่งด้านคนขับไว้สำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่และข้อมูลตตัวรถบนกระจกบังลมหน้า
ออพชั่นประจำรถมีครบครันประกอบด้วย กาบบันไดสเตนเลส พร้อมสัญลักษณ์ AMG แบบเรืองแสง ระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 64 สี Ambient Light สร้างบรรยากาศค่ำคืนอันแสนอบอุ่น จอสัมผัสขนาดใหญ่ 10.25 นิ้ว สามารถกดสัมผัสจากจอได้ หรือจาก touchpad ดีไซน์ใหม่แบบแบนราบ ได้ พร้อมระบบมัลติมีเดีย MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Bluetooth) ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) ระบบนำทางระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester รอบคัน เสียงเพลงไพเราะแน่นทุกรายละเอียดของเนื้อเสียง เย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา THERMATIC 2 โซน พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง ม่านบังแดดประตูหลัง ซ้าย-ขวา เข็มขัดนิรภัยเป็นเส้นสีแดง Designo สร้างตัวตนสร้างเอกลักษณ์เด่นให้น่าจดจำมากขึ้น ชุดแป้นคันเร่ง-แป้นเบรก สีเงินแบบสปอร์ต และเบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชั่น Hold ด้วยการเหยียบแป้นเบรกให้ลึกระบบจะทำงานอัตโนมัติและไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรกค้างไว้ แล้วสัญญาณไฟเตือนจะขึ้นคำว่า Hold ทันทีและเมื่อไฟเขียว คุณก็แค่เหยียบคันเร่ง รถจะพร้อมพุ่งทะยานออกไป
เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าแบบทรงสปอร์ต AMG Sport seat คู่หน้าสามารถปรับระดับได้ด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบหน่วยความจำตำแหน่งเบาะ 3 ตำแหน่งหุ้มด้วยหนังแท้สีดำเข้มเดินด้ายแดง DINAMICA microfibre ที่รองขาสามารถยืดไปข้างหน้าได้ เมื่อเข้าไปนั่งตัวเบาะโอบกระชับดี พนักพิงศีรษะยังสามารถปรับได้ด้วยถ้าจะต้องการจะดันหัวหรือหัวลอยและยังมีระบบอุ่นเบาะ เบาะนั่งด้านหลังหุ้มด้วยหนังแท้สีดำเข้มเดินด้ายแดง DINAMICA microfibre สามารถพับได้ทั้ง 1/3: 2/3 ตามความต้องการ สำหรับที่นั่งตอนหลังดูกว้างและเพิ่มความสะดวกในการเข้าหรือออกมากยิ่งขึ้น ด้านพื้นที่หลังคามีความสบายพอสมควรถึงหลังคาลาดลงก็ตาม เพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บของด้านท้ายเพิ่มขึ้นมากถึง 1,400 ลิตร (ไม่พับเบาะจะมีพื้นที่สัมภาระ 500 ลิตร) เมื่อพับเบาะหลังลงจะมีแผ่นปิดที่เก็บสัมภาระท้ายแผ่นรองกันกระแทกบริเวณที่เก็บสัมภาระท้ายรถแบบ metallic และเอาใจสาวกขาช็อปในวันลดราคาตามศูนย์การค้า ด้วยฝากระโปรงท้าย เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบไม่ต้องใช้มือ (HANDS - FREE ACCESS) วิธีการใช้งานเหมือนกับคู่แข่งจากชาติเดียวกัน เพียงแค่แกว่งปลายเท้าไปที่ใต้กันชนหลังด้านซ้ายเซนเซอร์คอยจับสัญญาณการแหย่ปลายเท้าไว้ ฝากระโปรงท้ายจะเปิดด้วยระบบไฟฟ้าทันที เพียงแต่ว่าขอให้ตัวกุญแจรีโมทอยู่กับตัว
ความปลอดภัยของรถคันนี้มีทั้งระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกันชนหน้า คำนวณระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้าที่สัมพันธ์กับความเร็วของรถในขณะนั้น และ ลดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติรวมทั้งช่วยเบรกด้วยระดับแรงเบรกประมาณ 50% ของแรงเบรกปกติ เพื่อรักษาระยะห่างตามที่ผู้ขับขี่กำหนด โดยระบบนี้สามารถตั้งค่าความเร็วของรถที่ผู้ขับขี่ต้องการได้ตั้งแต่ความเร็วที่ 0-200 กม./ชม. โดยทำงานร่วมกับ Cruise Control ระบบ Blind Spot Assist ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนกับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์คันอื่นที่อยู่ในจุดอับสายตา ระบบ Attention Assist ช่วยเตือนความเมื่อยล้าในการขับขี่ระยะทางยาวๆ ระบบ Evasive Steering Assist ระบบช่วยหลบหลีกการชนจากด้านหน้า ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ Active Parking Assist ทั้งการจอดแบบขนานและการจอดแบบเข้าซอง โดยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา จะแสดงภาพบริเวณรอบกันชนในจอแสดงผล รวมถึงภาพจากมุมสูง จึงช่วยให้เห็นสิ่งกีดขวางรอบคันรถ ระบบ Active Brake Assist ช่วยหลีกเลี่ยงการชนกับรถยนต์คันอื่น หรือคนเดินถนนในบริเวณทางแยก โดยสัญญาณเรดาร์ที่ติดอยู่บริเวณกันชนด้านหน้า และกล้อง MPC จะตรวจจับเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการชน และจะส่งเสียงเตือนคุณให้เบรก หากคุณตอบสนอง ระบบจะช่วยเพิ่มกำลังเบรกไปจนเต็มประสิทธิภาพและระบแจ้งแรงดันลมยางและแสดงสถานะลมยาง
เครื่องยนต์ประจำกายของสปอร์ตอสรูร้ายในร่างเอสยูวีจากเมืองสตุ๊ตการ์ทเป็นเครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ Bi-Turbo มีจุดเด่นในเรื่องระบบแรงดันเสริมท่อสำหรับนำอากาศของชุดเทอร์โบ (boost pressure) ในรหัสเครื่อง M276 ขนาด 3.0 ลิตร ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,996 cc. แต่เพื่อรับความใหม่ของตัวรถจึงพัฒนาให้มีความแรงมากขึ้นถึง 390 แรงม้าที่ 5,500- 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 520 นิวตันเมตรที่ 1,800-5,000 รอบ/นาที (เดิม 367 แรงม้าที่ 5,500-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตรที่ 2,500-4,500 รอบ/นาที)
ข้อมูลโรงงาน ปล่อย CO2 ที่ 228 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองทำได้ 10.0 กม./ลิตร ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. พรัอมระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด AMG SPEEDSHIFT TCT 9G สนุกสุดๆกับ ระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Steering - wheel Gearshift Paddles) เร้าใจด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AMG Performance 4MATIC พร้อมเทคโนโลยีระบบ Dynamic Select ที่มีโหมด การขับขี่ 5 แบบ คือ Eco แบบโหมดประหยัดน้ำมัน, Individual รูปแบบการขับขี่ที่ผู้ขับขี่กำหนดไว้ได้, Comfort แบบโหมดขับขี่สะดวกสบายเหมือนขับรถซาลูน, Sport และ Sport+ เน้นการเพิ่มความเร้าใจให้กับการขับขี่ มากยิ่งขึ้น
ถึงเครื่องยนต์รหัส M276 V6 เทอร์โบคู่ เคยประจำการในรุ่น C43 ทั้งคูเป้และซีดานมาแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ในร่างรถเอสยูวีหลังคาลาดลงแบกน้ำหนัก 1.8 ตัน พร้อมพัฒนาความแรงใหม่ 390 แรงม้า พาไปสู่ความหรรษาในการขับขี่ เพียงแค่กดปุ่มสตาร์ท เสียงเครื่องกระหึ่มและท่อเพิ่มความเร้าใจเข้ามาสู่โสตประสาททันที เร่งคันเร่งลองเสียงไป 1 รอบ มันช่างเร้าใจให้ความอยากที่จะกดคันเร่งแรงทันทีเมื่อออกตัวกดคันเร่งนิดเดียวพุ่งออกตัวอย่างทันใจ ตอบสนองว่องไว โดยรอบมาตั้งแต่รอบต่ำ 1,800 รอบ/นาที ไปถึงปลายทางได้อย่างทันท่วงทีถ้าหากในช่วงถนนโล่งๆว่างๆ ซัดได้เต็มที่เต็มกำลัง อยากเพิ่มอรรถรสในการฟังเสียงท่อยังมีปุ่มปรับแต่งเสียงสังเคราะห์ข้างๆ Touchpad หรือ AMG Performance exhaust system ให้ ยิ่งมีโหมดการขับขี่ถึง 5 โหมด เร้าใจทุกโหมดแต่ถ้าจะให้ดีที่สุดสำหรับคนเท้าขวาหนักแนะนำโหมด Sport และ Sport+ ความเร้าใจมีมากขึ้นกว่าโหมดอื่นๆ รอบเครื่องยนต์ในช่วงความเร็ว 90 -120 กม./ชม. ทำผลงานสูงสุดไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที ด้วยรอบตั้งแต่ 1,450 1,500 1,700 และ 1,800 รอบ/นาที ตามลำดับ พละกำลัง 390 แรงม้า ทำให้โหมด Performance Test มีเรื่องต้องให้ตกตะลึงด้วยการทะยานจากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. ทำได้ 6.55 วินาที และ 80-120 กม./ชม. ทำได้ 5.30 วินาที ด้วยสภาพอากาศ สภาพถนนที่ทดสอบอัตราเร่งอาจมีส่วนทำให้ตัวเลขไม่ตรงกับที่โรงงานแจ้งไว้ โดย 0-100 กม./ชม. ทำได้ 4.9 วินาที
การเก็บเสียงตั้งแต่ความเร็วช่วง 70 กม./ชม. เป็นธรรมชาติของรถแรงที่จะต้องมีเสียงคำรามของเครื่องยนต์และท่อไอเสียดังขึ้นมาเพื่อเร่งเร้าผู้ขับขี่เกิดความคึกอยากขับเร็วขึ้นมาทันที แต่ความเงียบไม่ว่าเสียงลมปะทะ, เสียงจากพื้นถนน ให้ความเงียบที่ดี ยังสามารถพูดคุยกับผู้โดยสาร ฟังเพลง ระหว่างเดินทางได้อย่างสบายๆ
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดสิงสถิตย์อยู่ในสปอร์ตเอสยูวีตัวแรงที่ตำแหน่งคันเกียร์ดันไปอยู่คอพวงมาลัย เปลี่ยนเกียร์ไวขึ้นตั้งแต่เกียร์แรกยันไปถึงเกียร์ 9 ทำงานได้อย่างไร้รอยต่อไม่กระตุก แต่ถ้าอยากขับสนุกก็มี Paddle Shift หลังพวงมาลัย กดเพิ่มอรรถรถในการขับขี่อย่างสนุกสนาน รวมถึงถ้าอยากขับแบบเกียร์ธรรมดาสามารถกดปุ่ม M ข้างๆปุ่ม touchpad ได้
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มาอยู่ในรถคันนี้เน้นการใช้งานทางเรียบเสียเป็นส่วนใหญ่ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจึงเป็นแบบตลอดเวลา AMG Performance 4MATIC มั่นใจในการเข้าโค้งแม่นยำและเปลี่ยนเลนสามารถทำได้กระฉับกระเฉงอย่างเต็มที่พร้อมสารพัดตัวช่วยที่ทำงานร่วมกับระบบ 4MATIC ทั้งระบบควบคุมการทรงตัว (ESP) ระบบควบคุมความเร็วขณะขึ้นทางลาดชัน Hill-Start Assistant แต่ไม่มีระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent Control ซึ่งรถยนต์ระดับนี้สมควรต้องมีและบอกไปครั้งหนึ่งแล้วตอนขับ Mercedes-Benz GLC 250 d แต่ระบบเบรก ระยะการเหยียบเบรกเมือเหยียบแป้นเบรกไป 20 % ระบบทำงานหยุดได้อย่างฉับไว
ระบบช่วงล่างออกแบบพิเศษช่วงล่างถุงลม AMG RIDE CONTROL+ air suspension Based on AIR BODY CONTROL ปรับแต่งแบบ AMG sports ให้ความแข็งกระด้างไม่แต่น่าเกลียดซับแรงกระแทกจากพื้นถนนได้เป็นอย่างดี เปลี่ยนเข้าเลนใหม่ทำได้อย่างมั่นคง ไม่มีอาการโยน ตามสไตล์รถที่มีจุดศูนย์ถ่วงสูงสมรรถนะแรง รวมถึงยางแก้มเตี้ยที่เพิ่มมาอีก 5% ทั้งล้อหน้และล้อหลัง เพิ่มความมั่นใจมากขึ้นในการซับแรงกระแทก ระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้าปรับน้ำหนักตามความเร็วรถเป็นจุดเด่นที่ชื่นชอบเพราะเซ็ตพวงมาลัยได้แม่นยำ ควบคุมง่าย น้ำหนักเบาในช่วงขับขี่ในเมืองและจะหนักขึ้นในความเร็วสูงๆเมื่อมาผนวกกับช่วงล่างถุงลมกลับทำงานได้ดีแม่นยำแบบน่าทึ่ง
ปิดท้ายด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจากโปรแกรม Save Mode ทำได้ 11.32 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 61 กม.จัดน้ำมันเต็มถังจากปั๊มแถว ถ.พัฒนาการ กรุงเทพฯ 5.39 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง การใช้งานในเมืองได้ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ 5.46 กม./ลิตร โดยที่ได้ตัวเลขมาขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบ สตาร์ท-ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะ “Eco Start/Stop” โดยระบบจะดับเครื่องยนต์เฉพาะเมื่อรถหยุดการเคลื่อนที่เมื่อรถหยุดไฟแดงนานสุด 1 นาที ช่วงการทำงานนั้น บรรดาเครื่องปรับอากาศกับวิทยุเครื่องเสียงยังทำงานตามปกติ แต่ถ้าไม่ปรารถนาที่จะใช้ถ้าหากรำคาญว่าตัวรถเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับในชั่วขณะระบบนี้ก็สามารถกดปุ่มยกเลิกระบบได้เช่นกัน
ด้วยราคา 5 ล้านทอนพันนึง (4,990,000 บาท) กับหน้าใหม่ที่หล่อเหลาทำให้เป็นที่สนใจในระดับหนึ่ง ภายในอัพเกรดความสปอร์ตมากขึ้นการตกแต่งการจัดวางฟังก์ชั่นที่คุ้นเคยรวมถึงการตกแต่งโทนเข้มดำ เดินด้าย ตอบโจทย์ความสปอร์ตในตัว เข็มขัดนิรภัยเส้นสีแดงสร้างจุดเด่นขึ้นมาทันที เครื่องเสียง Burmester เสียงดีเป็นทุนเดิม รวมถึงมาตรวัดดิจิทัลใหม่ที่ปรับการทำงานให้ง่ายขึ้น เครื่องยนต์ 3 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ สร้างจุดเด่นหลังติดเบาะขึ้นมาทันที ด้วยพลังใหม่ 390 แรงม้า แถมเป็นรถประกอบในไทย จึงน่าสนใจมากขึ้นสำหรับ สปอร์ตเอสยูวีตัวแรง อย่าง Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupe
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupe มารีวิวทดลองขับครั้งนี้
สิ่งที่ชอบ >>> หน้าใหม่ดูดีขึ้น เข้มขึ้น ภายในตกแต่งใหม่ใช้งานง่ายขึ้น เครื่องเสียง Burmester® surround sound system ให้เสียงที่ดีไม่ต้องเติมแต่งอีกต่อไป เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบคู่ V6 ตอบสนองที่คล่องแคล่วกว่า พวงมาลัยที่คมช่วงล่างแข็งตามนิสัยรถแรง
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> กระจังหน้าลายซี่ๆแนวตั้งทำให้ความน่าเกรงขามลดลงไป บันไดข้างเป็นอุปสรรคในการขึ้นลงรถ
ชม Gallery Test Drive Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupeได้ที่นี่ !!
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com