Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Mazda CX-8 2.5 SP โอ่โถงโอฬาร ช่วงล่างดี ระบบความปลอดภัยเจ๋ง
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 5 ก.พ. 63 00:00
- 20,001 อ่าน
ถ้าจะถามหารถอเนกประสงค์แบบ SUV แบบ 7 ที่นั่งในเมืองไทย และใช้งานเครื่องยนต์เบนซินนั้น น่าจะมีอยู่เพียงไม่กี่รุ่นเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้นที่มีความสดใหม่ที่สุดก็คงไม่พ้นต้องมองสายตาไปตกที่ Mazda CX-8 ที่มีข่าวมาว่าจะเข้ามาขายที่เมืองไทยนานหลายเดือนแล้ว ก่อนที่จะมาเป็นจริงได้เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้เอง
Mazda CX-8 เป็นยานยนต์อเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่งที่เปิดตัววางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ท่ามกลางการรอคอยของคนไทยที่อยากได้รถไซส์นี้ แถมมีข่าวเล่าลือกันว่า จะมีการนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกด้วย ยิ่งทำให้คนรอแล้วรออีก และในที่สุดก็เข้ามาจริง ๆ เพิ่มอีก 1 ผู้เล่นในตลาดรถยนต์ใหม่ขนาดนี้เข้ามาอีกรุ่น
แน่นอนอยู่แล้วว่า ทางทีมงาน AUTODEFT เคยได้ลองสัมผัส Mazda CX-8 มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ในรูปแบบของการทดสอบรถยนต์แบบกลุ่ม (ตามไปอ่านได้ที่ Test Drive: รีวิว ทดลองขับ All New Mazda CX-8 อเนกประสงค์ครอบครัว เรียบง่าย หรูหรา ครบครัน คล่องตัว) ซึ่งอาจจะมีบางมุมที่ยังขาดไป โดยเฉพาะรูปแบบการทดสอบการใช้งานในชีวิตประจำวันว่าจะใช้งานได้ดีขนาดไหน วันนี้ผมจึงได้ขอยืมรถยนต์ทดสอบมาจาก มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) อีกครั้ง โดยรอบนี้ได้นำเอา Mazda CX-8 2.5 SP มาทดสอบกัน
ก่อนออกสตาร์ทเครื่องยนต์ เรามารู้จักข้อมูลของตัวรถกันก่อนเลยครับ Mazda CX-8 2.5 SP นั้นเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ SUV ขนาดกลาง รูปแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยขนาดตัวรถนั้นยาว 4,900 มม. กว้าง 1,840 มม. สูง 1,730 มม. ระยะฐานล้อ 2,930 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 200 มม. ถ้าถามว่ากว้างกว่า Mazda CX-5 ไหม ต้องบอกว่าเท่ากันครับ ต่างกันที่ความยาวของตัวรถที่ CX-5 ยาวเพียง 4,550 มม. เท่านั้น ดังนั้นความสูงและฐานล้อก็เลยแตกต่างกันด้วย ส่วนขุมกำลังนั้น ใช้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G 2.5 ลิตร DOHC แถวเรียง 4 สูบเรียง 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual S-VT ไม่มีเทอร์โบ ขับพลังได้สูงสุด 194 แรงม้าที่ 6,000 รอบ และแรงบิดสูงสุด 258 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ ยังคงเป็นเครื่องยนต์ในระดับ Euro 4 อยู่ ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ Skyactiv-Drive 6 สปีด พร้อมโหมด Manual Activematic ที่สับได้ที่คันเกียร์ ไม่มี Paddle Shift เติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้สูงสุดที่ E20
ด้านหน้าของ Mazda CX-8 2.5 SP แผงหน้าถอดแบบมาเหมือนรุ่นน้องอย่าง Mazda CX-8 2.5 SP เพียงแต่ว่าแทนที่จะเป็นตะแกรงสไตล์ใหม่แบบเดียวกัน กลับไปเลือกใช้รูปแบบแผงโครเมียมแนวนอนเป็นเส้นพาดขวางตัวรถแทน ไฟหน้าแบบ LED Projector ปรับสูง-ต่ำได้อัตโนมัติ และเป็นระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติด้วย มีไฟส่องสว่าง Daytime Running Light แบบ LED Signature อันเป็นเอกลักษณ์ของทางมาสด้า ไม่มีไฟตัดหมอก ส่วนไฟท้ายเป็นแบบ LED Signature เช่นกัน แต่ไฟเลี้ยวนั้นยังคงใช้บริการเป็นแบบหลอด HID อยู่ มีที่ปัดน้ำฝนที่กระจกท้าย และที่สำคัญคือประตูที่ 5 ด้านหลังเป็นแบบไฟฟ้า ยางใส่มาเป็นขนาด 225/55 R19 ล้อแม็กซ์ 2 โทนลาย 10 ก้าน ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกครบ 4 ล้อ ช่วงล่างด้านหน้าใช้เป็นอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็น อิสระ มัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง
ด้านในของ Mazda CX-8 2.5 SP จะเป็นเบาะหุ้มหนังทุกตำแหน่ง ใช้เป็นหนัง Nappa คุณภาพดีสีแดง (เขาว่าแดงก็แดง แต่ผมมองเป็นน้ำตาลแฮะ) เดินด้วยด้ายสีน้ำตาลเข้ม เบาะหน้าเป็นระบบปรับไฟฟ้าทั้งคู่ แต่ของคนขับปรับได้ 8 ทิศทาง (มีดันหลัง) บันทึกตำแหน่งได้ 2 ตำแหน่ง ส่วนของคนนั่งข้างได้ 6 ทิศทาง แถวที่ 2 พับได้แบบ 60:40 และแถวสุดท้ายพับได้แบบ 50:50 ซึ่งจากการลองพับแถว 3 มันก็เรียบอยู่นะ แต่แถว 2 ดันพับเรียบได้เฉพาะฝั่งที่เป็นแผงใหญ่ ส่วนแผงเล็กที่อยู่ด้านซ้ายนั้นกลับปรับได้แต่เอนไปด้านหน้า (หรือเราปรับไม่เป็นเองหว่า) แผงคอนโซลหน้าออกแบบได้เรียบร้อย ไม่มีอะไรเยอะแยะจนรกตา มีเป็นหน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้วแปะวางไว้ตรงกลางตามแบบฉบับของมาสด้า เชื่อมต่อได้ทั้งระบบมีสาย USB หรือไร้สาย Bluetooth มี Apple CarPlay ไว้ให้ใช้งาน ลำโพงส่งเสียงได้ 6 ตำแหน่ง (เสียงก็ประมาณหนึ่ง ไม่ได้เด่นอะไร)
นอกนั้นก็จะเป็นช่องแอร์ทรง 5 เหลี่ยม ผมชอบนะการออกแบบสไตล์นี้ ไม่รกหูรกตาดี ส่วนที่กดปุ่มได้ก็จะเป็นการควบคุมอุณหภูมิในตัวรถแล้ว แวะมาที่ระบบแอร์แล้วก็บอกเลยว่าการควบคุมนั้นเป็นระบบ Tri-Zone ที่แยกคุมได้ทั้งด้านซ้าย-ขวาและด้านหลัง ซึ่งด้านหลังตรงที่นั่งแถว 2 ก็มีแผงควบคุมสำหรับส่วนของด้านหลังได้แบบอิสระ และทั้งเบาะแถว 1 และ 2 มีระบบอุ่นเบาะให้ด้วย (อย่าไปใช้เลย เมืองไทย) แผงข้างคนขับมีก้านเกียร์อัตโนมัติ มีเกียร์เดินหน้าถอยหลังตามปกติ เพิ่มเติมโหมด M สำหรับการสับเกียร์ขึ้นลงได้ มีปุ่มให้ขยับเลื่อนเปลี่ยนเป็นโหมดสปอร์ตเพิ่มความสนุก เบรกมือเป็นระบบไฟฟ้าแถมด้วยปุ่ม Auto Brake Hold ที่แสนจะดีงาม ส่วนการควบคุมหน้าจอสะดวกมากขึ้นกว่าการเอื้อมไปกดเองที่หน้าจอ สามารถใช้บริการ Center Commander ที่เป็นปุ่มกลมใหญ่ที่หมุนได้ โยกได้ กดได้ เช่นเดียวกับพี่น้องร่วมสายเลือดรุ่นอื่น ส่วนพวงมาลัยหุ้มหนังปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ระบบแรคแอนด์พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า (EPAS) มีปุ่ม Multi-Function ควบคุมเครื่องเสียงกับโทรศัพท์ได้ และด้านขวาเป็นปุ่มควบคุมระบบ Cruise Control ส่วนแผงหน้าปัดผู้ขับขี่ แบ่งเป็นวงกลม 3 ช่อง โดย 2 ช่องซ้ายเป็นแบบเข็มบอกวัดรอบและความเร็ว ส่วนขวาสุดเป็น Digital บอกข้อมูลอื่น ๆ พวก Trip A, B, อัตราความประหยัดอะไรประมาณนั้น มี Head-up Display บอกข้อมูลการขับขี่ที่สำคัญบนกระจกหน้า
ส่วนระบบความปลอดภัย ที่เป็นเรื่องโดดเด่นของค่ายมาสด้าอยู่แล้ว ย่อมมาเต็มแน่ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า Mazda CX-8 2.5 SP ยังไม่ใช่ตัวท็อปของรุ่น เพียงแต่เป็นตัวท็อปของเครื่องยนต์เบนซินเท่านั้น แต่ผมว่ามันก็มาพร้อมใช้งานได้ดีประมาณหนึ่งเลย ทั้งถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, เซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้าและด้านหลัง, ระบบแสดงภาพ 360 องศา. ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน MRCC (Mazda Radar Cruise Control), ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM (Advance Blind Spot Monitoring), ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในมุมอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert), ระบบปรับไฟหน้าตามการเลี้ยวของรถ AFS (Adaptive Front-Lighting System), ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ SBS (Smart Brake Support), ระบบช่วยหยุดรถแบบ Advance (Advance SCBS : Advance Smart City Brake Support), ระบบป้องกันล้อล็อก ABS , ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบช่วยเบรก BA, ระบบควบคุมสเถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC (Dynamic Stability Control), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist) และ ระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน
ข้อมูลครบถ้วนแล้ว เรามาเริ่มออกเดินทางเลยดีกว่า สัมผัสแรกเมื่อเข้ามาลงนั่งบนเบาะของ Mazda CX-8 2.5 SP มันไม่แตกต่างกับการนั่งบน CX-5 ที่ผมเคยไปทดสอบเมื่อช่วงประมาณ 2 ปีที่แล้วเลย อาจจะมีบ้างที่รู้สึกถึงความสูงที่มากกว่าเล็กน้อย แต่เรื่องอื่นใกล้เคียงกันมาก เพราะเอาจริง ๆ แล้วเขาก็ออกมาในช่วงที่ไม่ห่างกันมากแหล่ะ แล้ว CX-8 เองก็ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนโฉมแต่อย่างใด แต่ที่บอกไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะ เพราะของมันดีอยู่แล้ว ตัวเบาะกระชับตัวได้ดีเลย มุมมองการมองระหว่างขับขี่ก็โล่งโปร่งตาดี ส่วนการนั่งแถว 2 นั้นสบายเลยครับ กว้างโอ่โถงแบบไม่อึดอัดเลย ยิ่งมีแอร์หลังให้ตั้ง 2 ช่อง ยิ่งสบาย แถวสุดท้ายอาจต้องใช้เงื่อนไขเล็กน้อย ต้องเป็นคนตัวเล็กหน่อยถึงจะนั่งได้สบาย ตัวใหญ่อย่างผมล่ะก็ หมดสิทธิ์นั่งเกินชั่วโมงครับ ยกเว้นแต่ว่าจะนอนยาวกินรวบคนเดียวด้านหลังก็พอไหวอยู่ แต่ถ้าเป็นสาวตัวเล็กล่ะก็ สบายครับ ไหวแน่นอน
เครื่องยนต์ใน Mazda CX-8 2.5 SP นั้น ใช้เป็นเครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่าของ CX-5 เล็กน้อย ให้กำลัง 194 ก็จริง แต่ต้องอย่าลืมว่าพอต้องแบกน้ำหนักเพิ่มจากการที่เป็นรถ 5 ที่นั่งเป็น 7 ที่นั่ง ทำให้ดูเหมือนจะแบกน้ำหนักเล็กน้อย (ตัวเปล่า 1,583 กิโลกรัม) ซึ่งจากการขับขี่ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ รถไม่มีบุคลิกวิ่งแบบปรู๊ดปร๊าดได้ ออกตัวไปแบบปกติ แต่ไหลไปความเร็วสูงได้ต่อเนื่อง ก่อนจะเริ่มแผ่วเมื่อพ้นช่วง 130 กม./ชม ไปแล้ว จากนั้นก็จะแผ่วลงเรื่อย ๆ ซึ่งผมทดสอบแล้ว เฆี่ยนไปได้แถว 170 กม./ชม. ยังไม่หมด แต่เริ่มเหนื่อยแล้ว ไม่กล้าฟันธงว่าจะจบที่เท่าไหร่ แต่คาดว่าจะแตะแถว 180 นิด ๆ ส่วนการทดสอบอัตราเร่ง 0-100 เอาแบบตามมาตรวัดเข็มหน้าจอก็ได้ราว 12 วินาที แต่ถ้าจับ V-Box ผมว่าน่าจะได้ราว 14-15 วินาทีนะ เพราะเข็มหน้าจอมมันอ่อนกว่าความเป็นจริงอยู่แล้ว ก็ถือว่าไม่ได้แย่นะ ถึงจะเปลี่ยนมาเป็นโหมด Sport แล้วก็ตาม มันก็ช่วยได้นิดหน่อยนะ แต่ไม่ได้มากจนเห็นความต่างได้ชัดเจน ผมว่าถ้าอยากได้ความแรงกว่านี้ คงต้องขยับขึ้นไปจับตัวเครื่องดีเซลแทนครับ แต่ก็อย่างว่าแหล่ะครับ ซื้อรถไซส์นี้มา มันควรต้องเอามาบริการครอบครัวป่ะ ไม่ได้เอามาซิ่งนะ
แต่ด้วยความที่ไม่กระโชกโฮกฮากของเครื่องยนต์ใน Mazda CX-8 2.5 SP มันกลับแลกมาด้วยความสุขุมนุ่มลึกขับสบายมาแทนที่นะ การออกตัวทำได้นุ่มนวล ไม่ฝืนกำลังเครื่อง ไหลไต่ความเร็วได้สบาย เกียร์ทำงานได้อย่างดีประดุจดั่งตัวเองเป็นแบบ CVT ต่อเนื่องยาวแทบหารอยต่อช่วงเกียร์ไม่เจอ พวงมาลัยคม น้ำหนักกำลังดี ไม่เบาไม่หนักเกินไป ส่วนช่วงล่างเนี่ย สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแน่นมาก วิ่งเร็วแค่ไหน ตัวรถแทบไม่ขยับดิ้นไปมาเหมือนรถอเนกประสงค์บางรุ่นเลย และเมื่อเข้าโค้งยิ่งชัดเจน เพราะรถอเนกประสงค์ SUV คันนี้มาพร้อมระบบ G-Vectoring Control ที่ช่วยควบคุมล้อให้ทำงานช่วงเข้าโค้งได้สอดคล้องกับการขับขี่ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัว Plus แบบ Mazda 2 และ Mazda 3 แต่มันก็หายห่วงได้ แต่ต้องบอกว่าคงเทียบการเข้าโค้งให้เนียนเหมือนกับรุ่นน้องอย่าง Mazda CX-5 ได้นะ เพราะด้วยความสูงและความยาวของตัวรถ มันย่อมมีอาการมากกว่าอยู่แล้ว ไม่ได้หมายความว่าเข้าโค้งแล้วโยนซะตัวเอียง มันเข้าได้ดีครับ (ถ้าเราคอยแตะคันเร่งให้ระบบ GVC ทำงาน) เพียงแต่ยังแน่นสู้รุ่นน้องแบบ 5 ที่นั่งไม่ได้เท่านั้นเอง
สิ่งหนึ่งที่สังเกตุได้ระหว่างการขับขี่ Mazda CX-8 2.5 SP นั้น ถ้าเป็นการขับคนเดียว มันมีความรู้สึกได้ถึงอาการกระด้างที่ด้านท้ายพอสมควร แต่อาการนี้มันจะเริ่มหายไปทันทีเมื่อมีผู้โดยสารมานั่งที่แถว 2 ด้วย รอบนี้ระหว่างทดสอบ ผมได้มีโอกาสนำสมาชิกในครอบครัวไปอีก 5 คนร่วมโดยสารไปด้วย (ผู้ใหญ่ 4 เด็ก 1) เออ อาการกระด้างหายไปเลยแฮะ มีแต่ความนุ่มนวล ขับสบาย ผมว่ารถคงถูกเซ็ตติ้งมาเผื่อการโดยสารโดยเฉพาะ มันเลยดูพอดีเมื่อยามที่มีน้ำหนักมาเพิ่มที่ด้านหลังนี่เอง แต่ที่แปลกก็คือ อัตรากำลังของเครื่องยนต์กลับไม่ได้หายไปนะ เพราะเจอกับบางคันเข้านี่ แค่เพิ่มมาอีก 3 คนก็เริ่มเห็นอาการแล้ว แต่กับคันนี้ไม่ใช่เลย การออกตัว การเร่งแซงยังใกล้เคียงแบบนั่งคนเดียวมาก อาจจะเป็นเพราะเครื่องบล็อกใหญ่ แรงบิดเยอะ ก็เลยอาจจะทำให้ไม่ได้มีผลกับการแบกน้ำหนักเพิ่มจากนี้ไปอีกแล้ว (มั้ง)
ส่วนอุปกรณ์อื่นทั่วไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรให้ว้าวมานะ เพราะที่ให้มาใน Mazda CX-8 2.5 SP ผมเองได้เห็นจากรุ่นอื่นในแบรนด์ Mazda มาเกือบหมดแล้ว อันนี้ด้วยความเคยชินจนกลายเป็นข้อเสียของตัวผมในฐานะที่เป็นผู้ทดสอบ รีวิวรถยนต์จริง ๆ เพราะอุปกรณ์ที่เขาให้มามันก็เจ๋งหลายอย่างนะ โดยเฉพาะหน้าจอกลาง หรือระบบ Head-up Display ที่มันช่วยให้เราไม่ต้องละสายตามองหน้าปัดเพื่อเช็คความเร็ว แต่มันเห็นจนชินแล้ว เพื่อน ๆ ผู้อ่านที่เคยอ่านตอนผมทดสอบรุ่นก่อน ก็ลองไปอ่านย้อนดูก็ได้ครับ เพราะก่อนหน้านี้ผมยังว้าวอยู่เลย
แต่ของดีเขาไม่ได้โชว์ออกหน้าครับ เพราะระบบที่ซ่อนอยู่ด้านหลังต่างหากที่คือความดีงามของการใช้งาน Mazda CX-8 2.5 SP นอกจากระบบตัวเทพเหนือใครอย่าง G-Vectoring Control ที่ได้พูดไปแล้ว ยังมีที่ผมชอบอีกหลายอย่าง แต่ที่เด่นมาเลยคือระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน MRCC (Mazda Radar Cruise Control) ที่ทำงานได้เนียนกริ๊บ เร่งเครื่อง กดเบรกประดุจดั่งคนขับรถที่ขับรถให้เจ้านายระดับบอสใหญ่วงการธุรกิจใหญ่มานานแล้วกว่า 30 ปี ช่วงจังหวะต้องลดความเร็วตามคันหน้าก็กดเบรกนุ่มนวลไร้ซึ่งอาการหัวทิ่ม พอรถหนีออกไปจากช่องทางจนด้านหน้าโล่ง ก็ไม่ได้เร่งกระทืบคันเร่งเพื่อไปให้ถึงความเร็วที่กำหนดให้เร็วที่สุด แต่จะค่อย ๆ แตะคันเร่งให้พุ่งออกไปอย่างเนียนใจ ระยะห่างระหว่างคันหน้ากับรถเราก็เท่าประดุจมีเชือกผูกต่อจากคันหน้าเลย ถือเป็นอะไรที่ดีงาม เสียดายที่ระบบไม่ทำงานจนถึงเบรก ตัดระบบการทำงานเมื่อต่ำกว่า 30 กม./ชม. เสียก่อน ไม่งั้นเจ๋งกว่านี้อีก ส่วนอีกอย่างที่ชอบคือมี Auto Brake Hold มาให้ด้วย ระบบนี้ช่วยลดความเมื่อยยามต้องขับรถในเมืองได้อย่างดี อีกตัวที่ชอบเช่นกันคือกล้องแบบ 360 องศา มันช่วยการถอยหลังเข้าเทียบ, เข้าจอดทำได้สะดวกสุด ส่วนระบบอื่นเช่นถุงลมนิรภัยพวกนี้ไม่ต้องลองเนอะ
ขยับมาที่อัตราสิ้นเปลืองกันบ้างดีกว่า รอบนี้ผมเอา Mazda CX-8 2.5 SP มาใช้งานประมาณ 1 สัปดาห์ วิ่งในเมืองตกประมาณ 321.5 กิโลเมตร มีทั้งลองกด 0-100 ไป 1 รอบ กดเร่งลองความแรงบ้าง วิ่งแถบรถติดมาก ติดปานกลาง พอวิ่งได้ วิ่งได้ดี เรียกว่าผสมทุกรูปแบบเช่นเดียวกับการทดสอบคันอื่น หน้าจอแจ้งอัตราสิ้นเปลืองที่ 7.5 กิโลเมตร/ลิตร หูย เอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ ขนาดมีเปิดใช้งานระบบ i-Stop ไปด้วยนะ (ทดสอบด้วย แก๊สโซฮออล์ 95 ตลอดทาง) ส่วนทางไกลลองเอาไปวิ่งเล่นแถบมอเตอร์เวย์ประมาณ 96 กิโลเมตร ขับแบบใช้งานจริงเลย แต่ประคองไม่ให้เลย 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ออกมาที่ 12 กิโลเมตร/ลิตร ก็ถือว่าอยู่ในระดับปานกลางนะ
สรุปรวมทั้งหมดของการทดสอบ Mazda CX-8 2.5 SP ได้ดังนี้ครับ
ชอบ
- ขนาดของตัวรถนั่งได้สบายทั้งแถว 1 และ 2 ถึงแม้แถว 3 จะเล็กไปนิด แต่ก็พอนั่งได้ ไม่แพ้ระดับ PPV เลย
- การทรงตัวที่ดี โดยเฉพาะตอนเข้าโค้งจากระบบ GVC
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน MRCC (Mazda Radar Cruise Control) ทำงานเนียนมาก
ไม่ชอบ
- อัตราบริโภคน้ำมันในเมืองเยอะไปหน่อย
- เครื่องไม่ปราดเปรียวเท่าที่หวัง
สำหรับผม Mazda CX-8 2.5 SP คือรถของครอบครัวนะ เพราะมันคือรถที่มีความโอโถง นั่งสบาย ขับง่าย ความปลอดภัยระดับดีมาก ถึงมันจะมีอัตราการบริโภคน้ำมันที่มากไปหน่อยยามอยู่ในเมือง แต่แลกกับความสบายที่มอบให้กับภรรยา, เด็กน้อย หรือคุณพ่อคุณแม่ของคุณเอง ผมว่าก็คุ้มค่าอยู่ครับ ในราคาค่าตัวที่ 1.699 ล้านบาท อยู่ในช่วงราคาที่ดีเลย ของแบบนี้ไม่ลองเองไม่รู้ เชื่อได้ว่าถ้าหารถอเนกประสงค์ SUV เครื่องยนต์เบนซินอยู่ คันนี้คือตัวเลือกที่ตัดทิ้งได้ยากแน่นอนครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com