Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports นิยามของ World Car Design of The Year 2020

  • โดย : พิสน ลีละหุต
  • 21 เม.ย. 63 00:00
  • 17,528 อ่าน

ถอยหลังย้อนกลับไปราว 30 ปีก่อน บ้านของผมได้ถอยรถมือ 2 มาเป็นเจ้าของ 1 คัน เป็นรถกระบะ Mazda Magnum B2200 เอามาใช้งานภายในครอบครัว เอาตามจริงตอนนั้นมีแต่คนถามคุณพ่อผมว่า ทำไม่ถึงเลือกใช้งานมาสด้าล่ะ มันเป็นยี่ห้อที่หาอะไหล่ยาก ขายต่อไม่ได้ราคา และคนไม่นิยมใช้งาน ซึ่งเอาตามจริงช่วงนั้นผมก็คล้อยตามกับคำถามนี้นะ เพราะช่วงนั้น Mazda ยังคงเป็นยี่ห้อรถยนต์ที่ไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายสักเท่าไหร่

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

แต่พอเอาเข้าจริง รถกระบะที่คุณพ่อเลือกซื้อมาดันอึดถึกทนอย่างไม่น่าเชื่อ ปัญหาในการใช้งานมีน้อยมาก ขนาดเป็นรถมือสองยังใช้งานได้แบบไม่ต้องซ่อมบ่อย ไม่ค่อยจุกจิก ใช้งานลากยาวมาได้อีกราว 15 ปี ก่อนที่จะขายทิ้งไปเพราะต้องการเงินมาออกรถใหม่ที่เหมาะกับการใช้งานออฟฟิศของผมมากกว่าเท่านั้นเอง

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

จริงอยู่ว่ามาสด้าช่วงนั้นยังไม่นิยมกันอย่างแพร่หลายเท่าไหร่ จนมาถึงเมื่อปี 2547 กับการเข้ามาวางจำหน่ายของ Mazda 3 ในประเทศไทย นี่คือจุดเปลี่ยนของยี่ห้อมาสด้าเลยจริง ๆ เพราะทำเอาคนในตลาดเริ่มหันมามองยี่ห้อนี้กันมากกว่าเดิม นิยมมากขนาดไหน ก็ถึงขนาดสร้างยอดจองที่รอรถกันข้ามปีเลยทีเดียว

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

ผ่านมาอีกหลายปี กับ 3 โฉมที่วางจำหน่ายไป ทำเอาเราได้เห็นรถยนต์ใหม่ Mazda 3 วิ่งกันเกลื่อนถนนได้ ทำเอามาสด้ากลายเป็นผู้เล่นเบอร์ต้นในตลาดได้ทันที เพราะยอดขายของรุ่นน้องอย่าง Mazda 2 สามารถครองแชมป์ยอดขายรถ Eco Car ได้เลย ส่วน Mazda 3 ก็ถึงเวลาได้ปล่อยตัวโฉมที่ 4 ออกมาเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ทำเอาหลายคนชื่นชมในการออกแบบเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าการันตีได้โดยรางวัลล่าสุด กับรางวัลรถยนต์ที่ออกแบบยอดเยี่ยมแห่งปี WORLD CAR DESIGN OF THE YEAR 2020

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

หลังจากได้เห็นข่าวการรับรางวัลแล้ว ทำเอาผมอดรนทนไม่ได้ ต้องรีบทำเรื่องขอความอนุเคราะห์จาก มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) ในการยืมรถมารีวิว ทดลองขับกันเสียหน่อย โดยรอบนี้ได้นำเอา Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports รถยนต์ใหม่ในรูปแบบ 5 ประตูตัวท็อปสุด มาทำการทดสอบ เพราะถือเป็นรุ่นที่ยอดนิยมมากที่สุดแล้ว

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

เริ่มต้นก่อนทำการทดลองขับ เรามาทำความรู้จักข้อมูลเบื้องต้นของ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports กันก่อนดีกว่าครับ โดยรถยนต์ใหม่ 2020 คันนี้ยังคงเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G  2.0 DOHC แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์วแปรผันอัจฉริยะ Dual S-VT ให้กำลังได้สูงสุด 165 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ Skyactive-Drive อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อมแมนนวลโหมด Activematic ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วนตัวรถยังเป็นทรง Fastback 5 ประตู 5 ที่นั่ง มิติตัวรถมีขนาด 4,460 x 1,795 x 1,435 มม. (ยาว x กว้าง x สูง) ฐานล้อกว้าง 2,725 มม. ใต้ท้องสูงจากพื้น 135 มม. น้ำหนักตัวรถราว 1,382 กิโลกรัม

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports เลือกใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังยังคงเลือกใช้แบบคานกึ่งอิสระทอชั่นบีม หลายคนยังคงแปลกใจว่าทำไมทางมาสด้ายังคงเลือกใช้แบบนี้อยู่ ทั้งที่ค่ายอื่นส่วนใหญ่โดยเฉพาะคู่แข่งกันเองเลือกใช้แบบอิสระปีกนกคู่หรือไม่ก็มัลติลิงก์กันหมดแล้ว อันนี้คงต้องมาลองดูว่า ระบบนี้ทางมาสด้าปรับใช้งานได้ดีอย่างไร จนเอาไปสู้กับคู่แข่งได้ ส่วนล้อเลือกใช้ขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมแม็กซ์อัลลอยลาย 10 ก้าน ยางขนาด 215/45 R18 ของ Yokohama ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ โดยจานด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน พวงมาลัยใช้งานแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า และคันเร่งควบคุมด้วยไฟฟ้าเช่นกัน

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

แน่นอนว่า Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports ได้แนวทางการออกแบบมาจากรถต้นแบบ Mazda Kai Concept แบบเต็ม ๆ มันอาจจะไม่ได้งดงามโฉบเฉี่ยวเท่า แต่มันก็เอามาได้เยอะจนแบบ “อื้อหือ” เลย แนวคิด “Less is More” สไตล์ Kodo: Soul of Motion มันคือความสวยงามที่ลงตัวจริง ๆ ผมว่าการออกแบบของมาสด้าเริ่มทำได้ล้ำหน้าไปได้ไกลกว่าคนอื่นแล้ว ซึ่งผู้ออกแบบให้ความสำคัญของความสำคัญกับแสงและเงา ซึ่งเมื่อตกกระทบลงบนพื้นผิวตัวรถทำให้ดูงดงาม มีมิติและมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สามารถสะท้อนอารมณ์ และไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้ กระจังด้านหน้าเป็นตะแกรงที่มีเส้นสายทรง 6 เหลี่ยมเรียงตัวกันเต็มแผงขนาดใหญ่ ไฟหน้าเลือกใช้แบบ LED Projector มีไฟส่องสว่าง Daytime Running Lamp (ก็ไฟ DRL แหล่ะ แต่เขาอยากให้แปลกกว่าชาวบ้าน) แบบ LED เป็นไฟทรงกลมล้อมรอบไฟโคมใหญ่อีกที ไฟท้ายฝังติดทั้งตัวรถและฝาประตูหลัง ใช้เป็นแบบ LED เต็มโคมเช่นกัน มีไฟเบรกดวงที่ 3 ซ่อนอยู่กับสปอยเลอร์ด้านบนขอบกระจก มีปุ่มเปิดประตูท้ายซ่อนอยู่ใต้ตราสัญลักษณ์มาสด้า ปลายท่อคู่แบบแสตนเลส ไอเสียออก 2 ข้างจริง มีปัดน้ำฝนที่ประตูท้ายด้วย

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

ส่วนด้านในของ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports ตัวเบาะหุ้มหนังสีดำ (ไม่คิดว่าแท้) ฝั่งคนขับปรับแบบไฟฟ้าได้ 10 ทิศทาง พร้อมบันทึกตำแหน่งท่านั่งได้อีก 2 ตำแหน่ง ส่วนฝั่งคนขับก็เป็นไฟฟ้า 10 ทิศทางเช่นกัน แต่ไม่มีบันทึกตำแหน่งเท่านั้นเอง ส่วนเบาะด้านหลังก็หุ้มหนังสีดำเช่นกัน พับได้แบบ 60:40 แผงคอนโซลมีแบ่งครึ่งบนเน้นเป็นวัสดุ Soft Touch มีการเดินด้านเพิ่มความดูดี ครึ่งล่างเป็นวัสดุ PP แบบ Hard Touch  ที่ประตูทั้ง 4 บานก็เช่นกัน ส่วนที่เราสัมผัสบอยครึ่งบนจะเป็น Soft Touch เช่นกัน ตรงกลางคอนโซลมีหน้าจอ Infotainment แบบ Widescreen ขนาด 8.8 นิ้ว ไม่ใช่ระบบสัมผัส เชื่อมต่อได้ทั้งผ่านระบบ Bluetooth และสาย USB รองรับการเล่นไฟล์ได้ทั้งแบบ MP3 และไฟล์ VDO แต่จะดูวีดีโอต้องจอดถึงจะเล่นได้นะ มีระบบ Apple CarPlay เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ iPhone ได้เลย มีช่อง USB ให้เสียบใด้ที่ใต้หน้าจอ 1 ช่องและในช่องเก็บของข้างคนขับอีก 1 ช่อง หน้าจอควบคุมได้ด้วยปุ่ม Center Commander ทรงกลมขนาดใหญ่ที่อยู่แถวคันเกียร์  รอบปุ่มใหญ่มีปุ่ม Shortcut ให้เลือก Media, Home, Navigator และปุ่ม Back ให้กดสะดวกมากขึ้น ส่วนด้านข้างเพิ่มปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง, เปลี่ยนเพลง และปุ่ม Favorite ให้กดเลือกสถานีที่เราบันทึกไว้ได้รวดเร็วกว่าเดิม นอกจากปุ่มเพื่อควบคุม Media กันแล้ว ยังเพิ่มเติมด้วยปุ่มเบรกมือไฟฟ้า, Auto Hold และปุ่มเปลี่ยนโหมดให้เป็น Sport มาด้วย ส่วนคันเกียร์เป็นทรงปกติทั่วไปหุ้มหนัง

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports ใช้พวงมาลัยทรงกลม 3 ก้าน ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง มีปุ่ม Multi-Function ที่ด้านซ้ายใช้คุมเครื่องเสียง, โทรศัพท์ที่เชื่อมต่อกับเลือกการแสดงผลข้อมูลบนหน้าปัดคนขับ ส่วนด้านขวามใช้ควบคุมระบบ Mazda Radar Cruise Control หน้าปัดข้อมูลรถยนต์แบ่งเป็นทรงกลม 3 ช่อง โดยซ้ายและขวาเป็นแบบ Analog ใช้เข็มจริง โดยด้านซ้ายเป็นช่องแสดงรอบเครื่องยนต์ ส่วนขวาสุดเป็นเกจ์ความร้อนกับระดับน้ำมัน ส่วนตรงกลางเป็นระบบ Digital แสดงผลความเร็ว และเปลี่ยนเพิ่มค่าเฉลี่ยการใช้น้ำมันได้ด้วย บนกระจกหน้าช่วยสะท้อนหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Windshield Active Driving Display เครื่องปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ Dual Zone มีช่องแอร์สำหรับคนที่นั่งด้านหลัง

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

ขยับมาที่ระบบความปลอดภัยบน Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports กันบ้าง ขึ้นชื่อว่ามาสด้าแล้ว รับรองว่าจัดเต็มเหนี่ยวมาอย่างแน่นอนตามนี้เลยครับ

- ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง

- กุญแจนิรภัย Immobilizer, สัญญาณกันขโมย, ระบบล็อคและปลดล็อคประตูอัตโนมัติ

- กล้องมองหลัง

- ระบบแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทาง

- ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH

- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน MRCC

- ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า CTS

- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ABSM

- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA

- ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติแบบ Advance SBS

- ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง SBS-RC

- ระบบช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง SBS-R

- ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS

- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LAS

- ระบบป้องกันล้อล็อก 4W-ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบช่วยเบรก BA

- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS

- ระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ DSC

- ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA

- ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน ESS

- G-Vectoring Control Plus

- เบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold

- เซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด ด้านหลัง 6 จุด

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

หลังจากเรารู้ข้อมูลของตัวรถยนต์กันไปครบถ้วนแล้ว เรามาทดลองขับ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports กันเลยดีกว่าครับ สัมผัสแรกหลังจากได้นั่งบนเบาะแล้ว สิ่งที่รู้สึกได้อย่างแรกคือเฮ้ย มันนั่งสบายจัง ผมมีร่างใหญ่ระดับหมีตัวย่อมแต่นั่งได้สบายจริง ตัว Cockpit ของคนขับมันกว้างดีจัง ส่วนที่หลายคันมีปัญหาในเรื่องการวางขวาซ้ายที่ผมมักจะเจอบ่อยก็คือมีการดันของคอนโซลกลาง ที่มักจะขวางการกางขาของผม ทำให้วางเท้าลงบนที่พักได้ไม่ถนัดอยู่เป็นประจำ แต่กับคันนี้มันต่างไป เพราะผมสามารถวางเท้าได้อย่างสบาย เป็นท่านั่งที่ขับได้สบายมาก ท่าขับออกไปทางด้านนอนเล็กน้อย ด้วยการที่ตัวรถไม่ได้มีขนาดสูงมาก เลยทำให้ตำแหน่งในการนั่งอยู่ต่ำกว่าเดิม ส่วนการออกแบบคอนโซลนั้นเน้นเรื่อง “Less is More” อย่างมาก เพราะปุ่มที่ใช้กดเพื่อออกคำสั่งเหลือเอาไว้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น  ก็คือปุ่มควบแอร์เท่านั้น ที่เหลือเอาไว้ในหน้าจอกลางหมดเลย ส่วนปุ่มควบคุมอยู่ด้านข้างคนขับจับได้ง่าย แบ่งเป็นปุ่มใหญ่ใช้หมุนเลือก ขยับซ้ายขวาบนล่างได้ กดเพื่อเลือกได้ เป็นตัวควบคุมหลัก ส่วนด้านข้างมีปุ่มเล็ก ๆ เอาไว้เพิ่ม-ลดเสียง และกด Mute ได้สะดวกขึ้น มีปุ่มเลื่อนเปลี่ยนเพลงด้านข้างเสริมมาอีก เรียกได้ว่าเอาไว้เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น แต่ที่ดูแปลกตาก็คือแผงช่องแอร์ด้านผู้โดยสารข้างหน้า ที่มันดูเหมือนย้อนเวลากลับไปเป็นแผงแอร์รถในยุคก่อนเลย เป็นแผงเหมือนยาว ๆ พาดไปครึ่งของคอนโซลหน้า แต่มีช่องออกจริงแค่ 2 ช่องเท่านั้นนะ สงสัยช่วงนี้จะเน้นแนว Retro กัน

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

วิสัยทัศน์ในการมองของ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports ด้านหน้าก็ดูดีอยู่นะครับ แต่ติดตรงด้านข้างนิดหน่อยตรงที่กระจกบานประตูด้านซ้ายมันก็ค่อนข้างเล็กอยู่แล้ว แต่ดันมีกระจกมองข้างบานใหญ่มาอยู่ตรงมุมกระจกอีก มันเลยทำให้เสา A ที่มันก็มีขนาดพอตัว เสริมตัวลำโพง Tweeter เข้าไปอีก แล้วตำแหน่งผมนั่งมันดันเห็นกระจกมองข้างมาบังเข้าพอดี เลยทำให้มีความรู้สึกว่าเสา A ด้านซ้ายมันใหญ่มาก เวลาจะเลี้ยวขวาทีแล้วต้องมองรถด้านซ้าย มันเลยบังการมองไปเยอะพอสมควร ก็ถือเป็นจุดบอดเล็กน้อยของผมที่ต้องคอยโยกตัวลุกมามากขึ้น ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ด้านขวานั้นไม่มีปัญหาอะไรนะ มองได้ชัดตามปกติ

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

มาออกเดินทางกันได้แล้วครับ โดยการรีวิว Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports รอบนี้ก็ยังอยู่ในช่วงเมืองถูกจำกัดการเดินทางจาก Covid-19 เช่นเคย ทำให้การรีวิวรอบนี้คือการขับไปขับมาในเมืองกรุงเท่านั้น ตัวเลขอัตราประหยัดเลยเป็นเฉพาะแบบในเมือง (รถน้อยแต่มีรถติดอยู่นะจ๊ะ) ซึ่งเดี๋ยวตอนท้ายเราค่อยมาว่ากัน โดยเรื่องกำลังเครื่องยนต์เมื่อเริ่มขับขี่ ผมว่าอยู่ในอัตราที่ดีเลยนะ ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยการใช้โหมด Normal ก่อนก็ตาม ออกตัวได้ทันใจ กำลังเครื่องมาได้ต่อเนื่อง อาจจะไม่ได้มาแบบพุ่งปรู๊ดปร๊าดแต่มันก็มากพอที่จะพาพุ่งไปสู่ความเร็วสูงได้โดยไม่ยากเย็นอะไร และเมื่อไหร่ที่เปลี่ยนมาเป็นโหมด Sport เครื่องจะทำงานได้กระฉับกระเฉงมากขึ้น คือเครื่องจะทำการปั่นรอบรอเท้าเราเลย และเมื่อกดคันเร่งเครื่องขึ้นไป พอปล่อยคันเร่งก็จะดึงรอรอบสูงเอาไว้ก่อน ไม่ลดลงเร็วเหมือนโหมดปกติ ทำให้เมื่อเรากดคันเร่งตามต่อ รถจะตอบสนองได้ไวขึ้นกว่าเดิมอีกประมาณหนึ่งเลย ส่วนคันเร่งก็ตอบสนองได้เร็วขึ้น เกียร์ทำงานลากยาวมากขึ้นเล็กน้อย เอาเป็นว่าพอเปลี่ยนเข้าโหมด Sport รถจะขับสนุกทันที แถมยังมี Paddle Shift ให้สับเกียร์กันแบบมันสุด แต่มันก็ต้องแลกกับน้ำมันที่กินมากขึ้นตามไปเป็นปกตินะ 

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

สิ่งที่เป็นข้อเด่นของมาสด้า 3 มาแต่ไหนแต่ไร ก็คือเรื่องการควบคุม การเข้าโค้งที่ทำได้ดีเป็นอันดับต้นในกลุ่มเดียวกัน ใน Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports ก็เช่นกัน ที่พวงมาลัยไฟฟ้าทำงานได้อย่างแม่นยำ ช่วงล่างก็ดูแลเรื่องการทรงตัวได้อย่างยอดเยี่ยม การมุดเข้าช่อง เปลี่ยนเลน ทำได้อย่างสนุก และรถไม่มีอาการเสียทรงเมื่อเราเปลี่ยนเลนแบบกะทันหันเลย ยอดเยี่ยมจริง ๆ แถมการเข้าโค้งยังทำได้อย่างดี และชัดเจนที่ระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC-Plus) ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ผมลองเอาซัดเข้าโค้งใหญ่ ด้วยความเร็วระดับ 100 กม./ชม จำนวน 2 รอบ โดยรอบแรกใส่มาเต็มที่แล้วปล่อยคันเร่งก่อนเข้าโค้ง รถเข้าได้แต่ประคองยากพอสมควร แต่เมื่อเข้ารอบ 2 ผมลองเข้าแบบเดิม แต่แตะคันเร่งเข้าไปด้วย ระบบ GVC-Plus จะทำงานทันที จะเห็นได้ชัดเลยว่าเราสามารถควบคุมรถได้ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่คือระบบที่ดีเยี่ยมมากถึงมากที่สุด เหมาะกับการใช้งานแบบสปอร์ตของคนเท้าหนักได้มากถึงมากที่สุด

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

แต่สิ่งที่รู้สึกไม่ค่อยถูกใจบน Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports เล็กน้อย ก็คือเรื่องความนุ่มนวลของช่วงล่าง ที่มันออกไปทาง “แข็ง” มากไปหน่อย เอาล่ะมันดีขึ้นกว่ามาสด้า 3 โฉมเก่า แต่ส่วนตัวก็ยังมองว่าแข็งมากไปอยู่ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกัน ยิ่งทำให้ยังเป็นคำถามกลับไปอีกครั้งว่า ทำไมทางมาสด้ายังเลือกใช้งานช่วงล่างด้านหลังแบบคานกึ่งอิสระทอชั่นบีมอยู่ ทั้งที่ส่วนใหญ่เปลี่ยนไปใช้แบบอิสระปีกนกคู่ Double Wishbones หรือไม่ก็ Multi-link กันหมดแล้ว เดาเอาว่าทางมาสด้าเองคงมองว่าคนที่เลือกใช้งานรถรุ่นนี้จะออกแนว Sport มากกว่าแนวพ่อบ้าน เลยเลือกเอาช่วงล่างที่ตอบสนองเรื่องการขับขี่แบบสปอร์ตได้ดีกว่าก็เป็นได้นะ พอพ่อบ้านอย่างผมมาขับก็เลยคิดว่ามันแข็งเกินไปนั่นเอง

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

ตัวหน้าปัดข้อมูลการขับขี่ของ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports มันก็ออกในแนว  “Less Is More” เช่นเดียวกัน เพราะเราเลือกการดูข้อมูลไม่ได้มากเท่าไหร่ คือมีแค่ทริป A, ทริป B, ระยะทางรวม, วัดรอบ, ความเร็ว, เกจ์ความร้อน, เกจ์น้ำมัน, อัตราใช้น้ำมันแบบ Real-Time และเราสามารถเลือกช่องกลางให้แสดงผลเรื่องระบบความปลอดภัยกับอัตราค่าเฉลี่ยการใช้น้ำมันได้ มันก็ครบถ้วนเท่าที่จำเป็นแล้ว แต่ที่ประหลาดก็คือมาสด้าดันใจดีให้เกจ์น้ำมันมาให้ถึง 2 แบบ ทั้งในรูปแบบเข็มในช่องวงกลมขวาสุดสไตล์ Analog และแบบ Digital ในขอบช่องกลาง ไม่รู้ว่าให้มาทำไมตั้ง 2 แบบ และที่สำคัญคือทั้ง 2 แบบ บางช่วงแจ้งอัตราคงเหลือไม่เท่ากันซะด้วย อันนี้ยิ่งประหลาดหนักไปใหญ่ เพราะหลังจากผมจบทริปการทดสอบเรียบร้อยแล้ว ผมก็ทำการถ่ายภาพเพื่อบันทึกอัตราการใช้น้ำมันตามปกติ ระดับน้ำมันแบบเข็มเหลือเกินครึ่งถังมาเล็กน้อย แต่ระดับน้ำมันในระบบ Digital กลับเหลือต่ำกว่าครึงถัง สรุปแล้วควรเชื่ออันไหนดี ไม่แน่ใจว่าเป็น Defect เฉพาะคันนี้หรือเปล่านะ อันนี้ขอเก็บเอาไว้เป็นคำถามกับทางมาสด้าต่อไป

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

เรื่องระบบความปลอดภัยนั้นหายห่วงครับ เพราะ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports นั้นจัดมาให้เต็มที่อยู่แล้ว แต่ระบบส่วนใหญ่คงไม่ต้องเทสนะครับ เพราะมันสุ่มเสี่ยงกับการเกิดอันตรายเหลือเกิน แต่สิ่งที่ทดสอบได้คือระบบ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน MRCC (Mazda Radar Cruise Control) โดยเมื่อเราตั้งค่าความเร็วไปแล้ว รถก็จะวิ่งไปด้วยความเร็วที่เราตั้งเอาไว้ แต่ถ้ามีรถอยู่ด้านหน้า รถจะทำการปรับความเร็วให้เท่ากับคันข้างหน้าทันที และรักษาระยะห่างให้ความเหมาะสมกับความปลอดภัย หลังจากที่ได้ลองแล้วก็ถือว่าทำงานได้ดีประมาณหนึ่งนะครับ แต่ผมว่ามันมีการเร่งและเบรกที่ไม่ค่อยสม่ำเสมอกันสักเท่าไหร่ บางครั้งก็ทำได้เนียนเหลือเกิน แต่บางครั้งมันก็เร่งจนเร็วเกินไป เบรกแรงเกินไป แต่ก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมายจนเกินรับได้ ก็ถือว่าทำงานได้ดีระดับหนึ่งนะ เสียดายอย่างที่ระบบ MRCC จะทำงานได้ถึงแค่ความเร็วประมาณ 30 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้นเอง พอต่ำกว่านั้นระบบจะตัดการทำงาน ถ้าทำงานได้จนถึงรถหยุดเลยก็น่าจะดีนะ

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

สำหรับอัตราเร่ง 0-100 ของ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports นั้น ผมได้ลองใช้การจับเวลาของแอพ iBolid 0-100 บน iPhone มาใช้งานทดสอบรวมไปทั้งหมด 4 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรกใช้โหมดธรรมดา ส่วน 2 ครั้งหลังเป็นโหมด Sport ได้ออกมาดังนี้ครับ

- โหมด Normal

ครั้งที่ 1 = 10.37 วินาที

ครั้งที่ 2 = 11.23 วินาที

เฉลี่ย = 10.8 วินาที

- โหมด Sport

ครั้งที่ 1 = 10.83 วินาที

ครั้งที่ 2 = 11.02 วินาที

เฉลี่ย = 10.92 วินาที

เอาจริงแล้วผมว่าการใช้โหมด Normal และโหมด Sport มันไม่ได้ให้อัตราเร่ง 0-100 ที่แตกต่างกันนะ เพราะมันดูเหมือนจะทำงานในรูปแบบเดียวกันเมื่อเรากดคันเร่งเต็ม รถจะรู้อยู่แล้วว่าเราต้องการกำลังของเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ มันเลยจัดการปล่อยพลังออกมาเต็ม ถึงแม้เราจะใช้โหมดไหนก็ตาม

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

สิ่งที่ชอบสุดบน Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports ก็คือเรื่องของเครื่องเสียงของ Bose พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง นี่มันคือความสุนทรีย์ในการขับรถเป็นอย่างมาก มันให้เสียงมาครบทุกย่านจริง ๆ ไพเราะเสนาะหูตลอด ยิ่งเชื่อมต่อหน้าจอด้วย Apple CarPlay แล้วเปิดฟังเพลงผ่านแอพพวก JOOX หรือ Spotify ยิ่งเพราะมากยิ่งขึ้นไปอีก นี่สิคือเครื่องเสียงที่สร้างความสุขในการเดินทางได้อย่างแท้จริง ขอชื่นชม

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

การนั่งด้านหน้าของ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports มันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มันดีงามตามที่ผมอธิบายไปแล้วช่วงต้นการรีวิวรถยนต์ แต่ด้านหลังล่ะ มันจะเป็นอย่างไร เพราะจุดนี้มักจะเป็นจุดเสียเปรียบคู่แข่งมาแต่ไหนแต่ไร ผมลองเข้าไปนั่งดูแล้วมันก็ดูแคบกว่าทั่วไปจริง ๆ ถามว่านั่งได้ไหม นั่งได้ครับ หัวไม่ติด (แต่เหลือน้อย) ขายังพอเหลือให้ยืดได้เล็กน้อย ตัวใหญ่นั่ง 2 คนน่าจะเริ่มอึดอัด พอเหลือได้แค่เด็กตัวน้อยนั่งกลางเท่านั้นเอง แต่ต้องเข้าใจครับว่ารถถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานในรูปแบบสปอร์ตเป็นหลัก เน้นกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นขาซิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่มันจะออกมาทรงนี้ ดังนั้นใครที่เป็นครอบครัวใหญ่ระดับ 5 คน ผมว่าคงต้องขนไปลองนั่งกันทุกคนที่โชว์รูมนะ ถ้าต้องการใช้งานรถยนต์ใหม่รุ่นนี้จริง ๆ

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

หลังจากการเดินทางทดลองขับ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports ไปแล้วระยะหนึ่ง ในเมืองล้วน ๆ ระยะทางที่ประมาณ 235 กิโลเมตร หน้าจอแจ้งอัตราสิ้นเปลืองเอาไว้ที่ 9.3 กิโลเมตร/ลิตร ถือเป็นอัตราที่ระดับกลาง ๆ นะ แต่ต้องบอกว่าอัตรานี้เป็นการขับรวมทั้งแบบทั่วไป (เป็นส่วนใหญ่) มีเทส 0-100 ไปอีก 4 รอบ วิ่งโหมด Sport ไปอีกราว 30% กดเร่งเร็วสูงอีก 3-4 ครั้ง วิ่งมุดไปอีกพอประมาณ ก็ลองพิจารณาดูนะครับว่ามันเยอะเกินไปสำหรับคุณหรือเปล่า แต่ผมเชื่อเอาเองว่า ถ้าขับปกติตามมนุษย์ส่วนใหญ่เขาใช้กัน ก็น่าจะประมาณ 9.5 กิโลเมตร/ลิตรขึ้นไปได้นะ

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

อยู่ด้วยกันกับ Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports ประมาณ 1 สัปดาห์ สรุปความชอบ-ไม่ชอบส่วนตัวดังนี้ครับ

ชอบ

- เครื่องเสียง Bose พร้อมลำโพง 12 ตัวคือความสุขสุดยอดของการขับขี่ เสียงนวลแน่นมาก

- ตำแหน่งคนขับคือท่านั่งที่งดงาม นั่งสบาย ขับสบาย

- ช่วงล่างแน่นหนึบ พวงมาลัยคมขับสนุกทุกเส้นทาง

- ระบบ GVC-Plus คือระดับเทพ เข้าโค้งเนียนกริ๊บ ควบคุมง่ายแม้จะเข้าด้วยความเร็ว (ต้องแตะคันเร่งเอาไว้ด้วยนะ)

ไม่ชอบ

- ช่วงล่างดูแข็งไปนิด กระดอนไปหน่อย

- เสา A ด้านซ้ายถูกบังเยอะไปหน่อย

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports ชื่อบอกอยู่แล้วว่าเป็นแนวสปอร์ต ดังนั้นกลุ่มเป้าหลายหลักคงเป็นแนววัยรุ่นวัยเรียนมหาวิทยาลัยที่คุณพ่อ-คุณแม่พอจะมีกำลังเงินซื้อให้ได้ หรือวัยทำงานใหม่ หรือวัยเพิ่งสร้างครอบครัวแต่ใจยังอยากซิ่งอยู่เป็นหลัก ผมว่าเหมาะมากที่จะใช้รถยนต์ใหม่คันนี้เลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนมีครอบครัว มีลูกจะใช้ไม่ได้นะ เอาเป็นว่ามีลูก 2 คนรวมแล้ว 4 คน ก็ยังคงโอเคอยู่ โดยมีการตั้งราคาจำหน่ายเอาไว้ที่ 1,198,000 บาท ก็ถือเป็นราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยาก ใครชอบรถที่รูปแบบการขับขี่สไตล์สปอร์ต ระบบความปลอดภัยครบเครื่อง แถมยังการันตีการออกแบบด้วยรางวัล WORLD CAR DESIGN OF THE YEAR 2020 อีกต่างหาก Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports จะเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์ได้อย่างดีเลยครับ

Mazda 3 Fastback 2.0 SP Sports

ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ