Life Test: วันพักผ่อนกับ MG6 ที่ dusitD2 Khao Yai
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 10 ส.ค. 59 00:00
- 11,384 อ่าน
แน่นอนว่า หลังจากที่เราเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานแล้ว ถ้ามีเวลาไม่มาก ก็อยากจะขับรถคู่ใจ ออกไปหาที่นอนพักอย่างที่เราชอบ เอาแบบระยะทางไม่เกิน 300 กม. จะได้ไม่เหนื่อยกับการขับรถมาก กับทริปนี้ก็เช่นกันครับ หลังจากได้ MG6 1.8X Turbo มาลองทดสอบแล้ว ก็อยากหาที่พักผ่อนหย่อนใจซักหน่อย เลยเลือกปลายทางที่ไม่ไกลมากอย่างเขาใหญ่ครับ
ช่วงที่ฝนตกอย่างนี้ การไปพักผ่อนแถวภูเขาดูจะเหมาะกว่าฝั่งทะเลเยอะครับ อย่างน้อยเราก็จะได้มีโอกาสได้เห็นต้นไม้อันเขียวขจียามหลังฝนตก และเมื่อได้รับ MG6 1.8X Turbo ที่ได้รับความอุปการะจากทาง เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) มาให้ทดสอบ ผมก็พล็อตหาเส้นทางเพื่อจะควบตัวแรงคันนี้เพื่อนำไปทดสอบทันที และไปครั้งเดียวต้องเอาให้คุ้ม เลยจะหาที่พักผ่อนไปในทริปเดียวซะเลย เลยขอเลือกเอาสถานที่ ที่ไม่ไกลมากอย่างเขาใหญ่ เพราะที่นี่จะมีที่พักแบบดีๆ วิวสวยๆ ไว้ให้เลือกมากมาย และยังมีเส้นทางที่วิ่งไปวังน้ำเขียว ที่มีทางโค้งค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะก่อนได้เจ้า MG6 1.8X Turbo คันนี้มา เคยได้ยินมาว่ารถ MG ถือว่าทรงตัวดี ของแบบนี้ได้ยินอย่างเดียวไม่พอ เลยต้องขอลองเองว่ามันจะจริงขนาดไหน
สำหรับ MG6 1.8X Turbo ที่ได้มาครั้งนี้ เป็นรุ่น FASTBACK สีแดงสด ที่ทาง MG เรียกว่า Regal Red และมี Sunroof ด้วย สัมผัสด้วยสายตาครั้งแรกแล้วบอกตามตรงว่า ชอบในส่วนของดีไซน์มาก เพราะออกแบบได้ดู “สปอร์ต” พอตัว สะดุดตามากที่สุดกับลายของแม็กซ์อัลลอยขนาด 17 นิ้ว ที่เป็นทูโทนดำเงิน รูปลักษณ์สวยงามสู้แม็กซ์ของที่ขายทั่วไปได้เลย ส่วนด้านท้ายที่เป็นประตู FASTBACK มีความลาดเอียงสวยแบบพอดี เข้ากับหลังคาได้อย่างดี และอีกส่วนที่ชอบคือไฟหน้าแบบ BI-Xenon HID ที่ดูโฉบเฉี่ยว ดูแล้วน่าเกรงขามในยามค่ำคืน เมื่อสัมผัสจากสายตาเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางได้เลยครับ
รถ MG6 1.8X Turbo - FASTBACK คันนี้ ออกจะมีการสตาร์ทที่ไม่ค่อยเหมือนกับชาวบ้านซักเท่าไหร่ เพราะรูปร่างของกุญแจจะเป็นเหมือนแบบ Keyless ที่ใช้กดปุ่ม Push Start ได้เลย แต่กับคันนี้ เราต้องเอากุญแจอันนั้นแหละ เสียบเข้าไปที่ช่องด้านข้างพวกมาลัยแล้วกด รถก็จะติดเครื่องได้ (ครั้งแรกที่ใช้ก็แอบงงนิดหน่อย) หลังจากขับรถออกมา ต้องทำการปรับความรู้สึกเล็กน้อย เพราะรถยนต์ MG6 1.8X Turbo - FASTBACK จะวางสวิตซ์ไฟเลี้ยวอยู่ด้านซ้าย คิดว่าน่าจะเป็นการย้ายมาทั้งชุดจากรถที่ผลิตใช้งานในจีน ที่มีพวงมาลัยอยู่ด้านซ้าย เมื่อลองตลาดใหม่ในประเทศไทย ก็เลยยังไม่อยากผลิตชิ้นส่วนใหม่ (เช่นเดียวกับที่เปิดฝากระโปรงก็ยังอยู่ด้ายซ้ายที่เป็นเบาะคนนั่ง) ซึ่งคาดว่าถ้ายอดขายยังเติบโตต่อเนื่อง จะมีการย้ายกลับมาอยู่ด้านขวาเหมือนยี่ห้ออื่นๆแน่นอน
เริ่มต้นการเดินทางจากถนนบางนา-ตราด เข้าเมืองมาทางวิภาวดี-รังสิตเพื่อรับบัดดี้ร่วมเดินทางไปด้วย กับการจราจรวันธรรมดาที่ไม่ธรรมดา สิ่งแรกที่ประทับใจก่อนเลยคือเรื่องการเก็บเสียงในห้องโดยสาร ถือว่าทำได้ดีมากเลยครับ เพราะช่วงที่การจราจรหนาแน่น เสียงจากรถต่างๆหลากชนิดก็รวมตัวกันส่งเสียงเต็มที่ แต่เสียงเหล่านี้เล็ดลอดเข้ามาภายในห้องโดยสารได้น้อยมาก จนทำให้การฟังเพลงแทบไม่มีสิ่งรบกวนได้เลยครับ โดยถ้าพูดถึงเครื่องเสียงแล้ว MG6 1.8X Turbo - FASTBACK จะมาด้วยหน้าจอขนาด 7 นิ้วแบบ Touch Screen รองรับการเชื่อมต่อหลากรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น USB, Bluetooth หรืออ่านจาก CD และที่สำคัญ เครื่องเสียงยังรองรับการบันทึกเพลงลง Hard disk ที่อยู่ภายใน จะได้ไม่ต้องขน CD มาหลายๆแผ่นได้อีกด้วย แต่เสียดายที่เครื่องรองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์ได้ทีละ 3 เครื่อง ถ้ามีบันทึกครบแล้ว จะเชื่อมต่อไม่ได้อีก ต้องลบตัวเก่าออกไปก่อนถึงจะเพิ่มใหม่ได้
อีกระบบอำนวยความสะดวกที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือระบบ Auto Hold ที่จะช่วยให้การขับขี่ในเมืองช่วงรถติดเป็นเรื่องง่ายขึ้น เพียงกดปุ่ม (H) ข้างคันเกียร์ เมื่อขับไปแล้วรถติด เพียงเหยียบเบรกลึกค้างไว้ รถจะทำการเข้าเบรกมือให้โดยอัตโนมัติ เราก็สามารถปล่อยเท้าออกจากเบรกได้โดยรถไม่ไปไหน (ยังคงใส่เกียร์ D อยู่) ถ้ารถขยับ เราก็กดไปที่คันเร่ง ระบบก็จะทำการปลดเบรกมือ รถก็เคลื่อนที่ออกไปได้อย่างปกติ ลดอาการเมื่อยล้าของการเหยียบเบรกได้มากทีเดียว
เนื่องจากผมมีนัดหมายธุระที่เขาใหญ่ไว้ก่อนเที่ยง แต่ตอนที่อยู่แถวดอนเมือง ตอนนั้นเป็นเวลา 10 โมงกว่าแล้ว จึงต้องเร่งทำเวลาด้วยการเปลี่ยนโหมดจากธรรมดา ให้เป็นโหมดสปอร์ตในทันที สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากสายตาคือ หน้าปัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงทันที ให้ความรู้สึกเร่าร้อนอยากส่งแรงไปที่เท้าเต็มที่ และเมื่อกดคันเร่งไป รถก็พุ่งตัวออกไปด้วยความรุนแรงทันที ด้วยเครื่องขนาด 1.8 ลิตร แถม Turbo มาอีก 1 ลูก ผลิตแรงม้าได้สูงสุดถึง 161 แรงม้า ทำให้ใจกับรถพุ่งออกไปพร้อมกันได้ทันที เส้นทางที่ใช้คือพหลโยธินถึงสระบุรีแล้วเข้าสู่ถนนมิตรภาพ รถวิ่งเยอะพอสมควร แต่ด้วยความรีบเร่งเพื่อให้ทันนัด จึงต้องอาศัยการมุดเข้าไปตามช่องว่างต่างๆ ตรงนี้แหละครับที่จะเห็นได้ชัดเลยว่า การทรงตัวของ MG6 1.8X Turbo - FASTBACK ทำได้ดีมากอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ ถึงจะเปลี่ยนเลนเร็ว ด้วยความเร็วสูงขนาดไหน รถก็ยังทรงตัวอยู่ตามที่เราสั่งได้อย่างดีไม่มีดื้อ แถมเมื่อเจอถนนที่ไม่ค่อยเรียบ แต่รถยังนุ่มนวลไม่สร้างความสะเทือนต่อผู้โดยสารได้ซักเท่าไหร่เลย ต้องบอกว่าในส่วนของการควบคุมนั้น ให้คะแนนเต็มได้เลยครับ
หลังจากไปจนทันนัดเรียบร้อย ก็เดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พักเพื่อทำการพักผ่อนก่อน โดยครั้งนี้ผมเลือกใช้บริการของโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่นานอย่าง dusitD2 Khao Yai โดยโรงแรมนี้อยู่เลยจากหน้าด่านอุทยานฯไปทางเส้นวังน้ำเขียวประมาณ 11 กิโลเมตร จะเจอทางเข้าอยู่ทางขวามือ ลัดเลาะเข้าไปไม่ไกลก็จะเจอโรงแรมนี้แล้วครับ โดยที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาอันเขียวขจี จุดเด่นที่สุดของ dusitD2 Khao Yai ก็คือ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ที่อยู่ในมุมที่เห็นวิวภูเขาของอุทยานฯเขาใหญ่อย่างเต็มตา แถมยังมีโต๊ะนั่งเล่นหรือสังสรรค์อยู่ “ใน” สระว่ายน้ำอีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถนั่งปาร์ตี้ยามค่ำคืนกลางน้ำได้เลยทีเดียว หลังจากนำของเข้าไปเก็บที่ห้องแบบ ดีลักซ์ ขนาด 36 ตรม. ที่ห้องจัดมาแบบหรูหรา โดยห้องที่พักอยู่ จะสามารถเปิดประตูแล้วออกไปสัมผัสกับทุ่งหญ้าเขียวขจี เพื่อรับวิวทิวเขาที่สวยงามได้แบบเย็นตา สนนราคาก็ถือว่าคุ้มค่ามากครับ โดยวันธรรมดาราคาเพียง 2,999++ บาทเท่านั้นครับ
ก่อนออกไปลองรถ MG6 1.8X Turbo - FASTBACK ต่อ ก็ขอแวะเติมพลังด้วยอาหารนานาชาติที่ ห้องอาหาร Musi Grill ภายในโรงแรม dusitD2 Khao Yai ก่อนครับ ซึ่งที่ร้านนี้มีอาหารหลากหลายอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พิซซ่า, Salmon tartare, Guacamole bruschetta หรือผัดไทย ทุกเมนูรสชาติดีหมดครับ หลังจากอิ่มท้องแล้วก็ออกไปทดสอบกันต่อได้แล้วครับ
หลังจากออกจากที่พัก ผมเดินทางมุ่งหน้าไปทางวังน้ำเขียว โดยมีจุดหมายปลายทางทีอ่างเก็บน้ำบ้านสันกำแพง เป็นอ่างเก็บน้ำเล็กๆที่รองรับน้ำจากลำน้ำลำพระเพลิง ไว้ให้ชาวบ้านในชุมชนได้ใช้ในยามแล้ง และยังเป็นแหล่งพันธุ์ปลาให้ชาวบ้านสามารถทำประมงได้นิดหน่อยอีกด้วย เหมาะจะใช้เป็นที่พักผ่อนได้อย่างดี ซึ่งถ้าใครเคยใช้เส้นทางนี้จะทราบดีว่า ถนนจะค่อนข้างแคบ และมีโค้งเยอะ รวมทั้งมีเนินเล็กๆให้ไต่กันอยู่ตลอดทาง แต่จากการได้ใช้ความเร็วประมาณ 100-120 กม./ชม. ถือว่า MG6 1.8X Turbo - FASTBACK ทำการเข้าโค้งได้ดีมากจริงๆครับ ไม่มีอาการเหวี่ยง, ดื้อ หรือหลุดให้เห็นในทุกช่วงความเร็ว แม้บางโค้งจะเป็นโค้งแคบก็ตาม รวมทั้งอัตราเร่งที่มาอย่างสม่ำเสมอ เติมคันเร่งเมื่อไหร่ก็เร่งได้ดังใจ แถมยังเปลี่ยนเกียร์ได้สนุกเต็มที่กับ Paddle Shift ที่พวงมาลัย หรือถ้าไม่ถนัด ก็สามารถเปลี่ยนที่คันเกียร์โดยตรงก็ได้ครับ
ภาพรวมการใช้งานของ MG6 1.8X Turbo - FASTBACK คันนี้ ต้องบอกว่าเป็นรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ เพราะรถนุ่มนวลทรงตัวดี นั่งสบาย จนน่าจะเอาไปทำรถสำหรับผู้บริหารได้ และเครื่องยนต์ก็เร่งได้สะใจ จากเครื่อง 1.8 ลิตร +Turbo ที่พร้อมจะกระชากออกตัวเต็มที่ได้อย่างใจ เหมาะกับขาซิ่งเท้าหนักได้สบาย แต่อาจจะมีอีกบางจุดที่ดูแล้วยังขัดใจอยู่อย่างเช่นก้านไฟเลี้ยวที่อยู่ด้านซ้าย, จุดเปิดฝากระโปรงอยู่ด้านคนนั่ง, ระบบเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ที่จำกัดได้เพียงแค่ 3 เครื่อง หรือแม้กระทั่งระบบแผนที่ I GO ที่ต้องกดแล้วรอเพื่อทำการ Setup ด้วยตัวเองทุกครั้งก่อนใช้งาน แต่ถ้าเทียบกับออพชั่นการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยที่ใส่มามากมาย อาทิ ABS, EBD, EBA (ระบบเสริมแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์), CBC (ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง), BDC (ระบบทำความสะอาดจานเบรกอัจฉริยะ) และอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งระบบที่ผมชอบมากคือ CORNERING LIGHT ไฟส่องสว่างด้านข้าง ที่เมื่อเราหมุนพวงมาลัยยามค่ำคืนไปข้างไหน จะมีไฟส่องด้านข้างนั้นให้สว่างมากขึ้น เพื่อทัศนวิสัยที่ดีขึ้นด้วยครับ ก็ถือว่าพอจะมองข้ามจุดที่ขัดใจไปได้ ส่วนอัตราการบริโภคน้ำมันนั้น ผมทดสอบด้วย E20 ทุกถัง สรุปคร่าวๆได้ 8.5 กม./ลิตรในเมือง และ 11 กม./ลิตรนอกเมือง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะด้วยเครื่องที่ใหญ่และยังมี Turbo มาด้วย เท่านี้ก็รับได้ครับ สนนราคาของ MG6 1.8X Turbo - FASTBACK อยู่ที่ 1,138,000 บาท ถ้าเทียบกับสิ่งที่ได้มาในรถคันนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียวครับ
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com