Life Test: Ford Ranger Hi-Rider FX4 2.2 AT เกิดมาแกร่งแบบพอดี
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 14 มี.ค. 60 00:00
- 21,276 อ่าน
ทัศนคติในการใช้รถของสังคมปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วพอสมควร เมื่อก่อนสมัยผมยังอ่อนเยาว์ รถกระบะมีไว้สำหรับคนที่ต้องขนของหรือประกอบกิจการที่ต้องใช้รถเพื่อขนส่งอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจากยุคที่รถกระบะมีเฉพาะ 2 ประตู นั่งได้แค่ 2-4 คน บนช่วงล่างแข็งๆที่รองรับการขนของเท่านั้น จนปัจจุบันมีรุ่น 4 ประตูนั่งได้เท่ารถเก๋ง แถมช่วงล่างในบางรุ่นดันนั่งสบายกว่ารถเก๋งบางรุ่นเสียด้วย
ส่วนตัวผมเองก็บอกตรงๆว่ารถยนต์คันแรกที่เลือกซื้อก็เป็นรถกระบะเช่นกัน เพราะที่บ้านมีธุระต้องใช้รถขนของค่อนข้างบ่อยเหมือนกัน เลยมองว่าการเลือกใช้รถกระบะเพื่อใช้งานทั่วไปไม่ใช่เรื่องแปลก แถมในปัจจุบันรถกระบะแต่ละค่ายก็มีรุ่นยิบย่อยให้เลือกเหมาะกับการใช้งานได้ทุกแบบ ทั้ง 2 ประตู 4 ประตู หรือ Open Cab, ขับเคลื่อน 2 หรือ 4 ล้อ, ธรรมดา, ยกสูง หรือเครื่องที่ขนาดต่างๆกัน ดังนั้นคนที่เลือกซื้อรถในปัจจุบันอาจจะต้องทำการบ้านหนักกว่าคนยุคก่อน ที่ต้องหาข้อมูลรถแต่ละคันว่าเหมาะกับการใช้งานตัวเองจริงหรือเปล่า
ล่าสุดตัวผมเองมีภารกิจที่จะต้องเดินทางไปทำงานที่บางแสน แล้วต่อด้วยการไปสักการะรอยพระพุทธบาทที่เขาคิชฌกูฏ จ. จันทบุรี ก็เลยอยากจะลองดูว่า รถกระบะในสมัยนี้ ยังเหมาะกับการใช้งานทั่วๆไปอยู่หรือเปล่า จึงได้ทำการขอความอนุเคราะห์จาก ฟอร์ด ประเทศไทย ขอยืม Ford Ranger Hi-Rider FX4 2.2 AT มาทดสอบใช้งานซัก 2-3 วัน ลองดูว่ามันจะเข้ามาแทนที่การใช้งานของรถเก๋งได้จริงหรือเปล่า
วันแรกที่เราได้พบหน้ากัน สิ่งแรกที่เห็นได้สะดุดตาก่อนเลยก็คือ ดีไซน์ที่ดูดุดัน แข็งแก่งสมสโลแกน “เกิดมาแกร่ง” จริงๆ แต่ก็ไม่ได้แข็งทื่อๆ เหลี่ยมๆ ยังคงเพิ่มความโค้งมนในมุมต่างๆที่ลงตัว ทำให้มันดู “ใหญ่” ตามสไตล์รถอเมริกันได้จริงๆ ได้ล้ออัลลอยรมดำขนาด 18 นิ้ว ยิ่งช่วยเสริมความหล่ออีกไม่น้อย และอีกส่วนที่ทำให้ดูดี แข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นกองคือตัวโรลบาร์ที่อยู่บนตัวกระบะ นอกจากมันทำให้ดูรถแข็งแรงแล้ว โรลบาร์ตัวนี้ยังถูกฝังไปเบรกและไฟส่องกระบะเมื่อเปิดประตูรถไว้อีกด้วย ทั้งสวยและมีประโยชน์จริงๆ หลังจากสัมผัสด้วยสายตาเบื้องต้นแล้ว ก็ออกเดินทางได้เลยครับ
Ford Ranger Hi-Rider FX4 2.2 AT คันนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตร ผลิตกำลังได้ 160 แรงม้า แรงบิด 385 นิวตันเมตร เอาจริงๆมันก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่สำหรับคนที่ต้องการใช้งานแค่ขับทั่วไป ไม่ต้องการอัตราเร่งแบบปรู๊ดปร๊าด มันก็เพียงพอแล้ว หลังจากก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแล้วขับออกมา ก็ตามสไตล์ของ Ford ที่ทำที่นั่งได้สบาย ดูใหญ่ คนตัวใหญ่ๆแบบผมยังนั่งขับได้แบบสบาย อุปกรณ์ก็ให้มาพอประมาณ ทั้งปุ่มควบคุมการทำงานต่างๆบนพวงมาลัย วัสดุต่างๆก็ดูดี แต่อาจจะขัดใจหน่อยก็ตรงหน้าจอของเครื่องเสียง ที่ยังคงเป็นขนาด 4 นิ้วแบบปุ่มกดอยู่ ซึ่งมุมมองผมแล้วราคาค่าตัวขนาดนี้ ทาง Ford น่าจะใส่หน้าจอแบบสัมผัสมาได้แล้ว
เมื่อเคลื่อนตัวออกมาขับเคลื่อนในเมืองกรุง สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกำลังของตัวเครื่องมันเพียงพอที่จะใช้ในตัวเมืองอย่างไม่มีข้อสงสัย ช่วงออกตัวอาจจะมีหน่วงบ้างเล็กน้อย แต่สามารถเคลื่อนตัวตามจังหวะสัญญาณไฟได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ทันใจ ก็สามารถเลื่อนขยับมาใช้โหมด S ได้เพื่อเร่งจังหวะออกตัวให้เร้าใจได้มากขึ้นพอสมควร ส่วนเรื่องความนุ่มนวลนั่งสบาย ด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริง ก็ช่วยให้การขึ้นคอสะพานหรือเจอถนนที่ขรุขระในความเร็วไม่สูง ก็นุ่มนวลกว่ารถกระบะทั่วไปไม่ใช่น้อย ถึงแม้มันจะไม่ได้นุ่มมากเท่ารถเก๋งดีๆ แต่ถ้าดูช่วงล่างด้านหลังที่ยังเป็นแบบแหนบซ้อนแล้ว การทำความนุ่มนวลได้ในระดับนี้ถือว่าทำได้ดีพอตัวเลยทีเดียว ส่วนแอร์ก็สามารถสู้กับความร้อนระดับ 38 องศาได้ไม่ยากอะไรกับรถที่ไม่ติดฟิล์มกรองแสง เพียงแค่ต้องปรับระดับให้ดี เพราะแอร์ที่ใส่มาในรุ่นนี้เป็นแบบ Manual ที่ต้องปรับระดับของความเย็นแบบ Scale ไม่ใช่แบบองศาฯ
หลังจากทดลองวิ่งใน กทม. กับสภาพการจราจรที่แสนจะคับคั่งแล้ว ก็ได้เวลาอออกเดินทางไปวิ่งที่ต่างจังหวัดกันบ้างแล้ว ผมใช้เส้นทางบนถนนที่ไม่มีวันทำเสร็จอย่างสุวินทวงศ์ ที่หลายคนทราบกันดีอยู่แล้วว่าช่วงนี้มีการปรับปรุงขยายถนนอยู่เป็นระยะ เจอกับช่วงที่เปลี่ยนความเร็วอยู่บ่อยๆ แถมถนนก็ยังไม่ค่อยเรียบซักเท่าไหร่ แต่ระบบช่วงล่างก็สามารถพาวิ่งผ่านเส้นทางแบบนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา ถึงแม้จะนั่งแถวหลังก็ไม่ทำให้รู้สึกถึงความขรุขระของถนนมากซักเท่าไหร่ ระบบเบรกก็มั่นใจได้ ถึงแม้จะมีจังหวะที่ลดความเร็วหลังเห็นคอสะพานพังๆในระยะสั้นๆ ก็สามารถหยุดเจ้ายักษ์ที่ห้อตะบึงมาได้อย่างทันใจ ไม่มีอาการเป๋ให้เห็นเลย ให้เครดิตระบบกระจายแรงเบรก EBD ที่มีอยู่ไปเต็มๆ
ช่วงวิ่งทางไกล ระหว่างฉะเชิงเทรามุ่งหน้าจันทบุรี สิ่งที่น่าชื่นชมเป็นอย่างมากของ Ford Ranger Hi-Rider FX4 2.2 AT คันนี้คือ ระบบการเก็บเสียงที่ดีเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะอยู่ในช่วงความเร็วระดับ 120-140 กม./ชม. เสียงลมแทบจะไม่เล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารได้เลย จนโดนคนโดยสารด้านข้างทักมาว่า “ทำไมวันนี้ขับรถช้าจัง” เลยทีเดียว ในส่วนการเร่งแซงถ้าอยู่ในโหมดปกติ อาจจะมีอาการรอรอบก่อนนิดหน่อย แต่เนื่องจากเส้นทางที่ใช้เกือบตลอดทางจะเป็นถนนแบ่งเลนทั้งนั้น จึงไม่ต้องเร่งร้อนในการเร่งแซงให้พ้นซักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเลนสวนที่ต้องการความรวดเร็วในการเข้าออกเลนตรงข้าม อาจจะต้องใช้โหมด S บังคับ Manual เข้ามาใช้บ้าง อย่างที่บอกไปแล้วว่าเครื่องระดับ 2.2 ลิตร 160 แรงม้า แบกน้ำหนักตัวขนาดนี้ มันก็แค่พอใช้ได้ในระดับพอเพียง แต่ถ้าอยากปรี๊ดกว่านี้คงต้องขยับขึ้นไปเล่นเครื่อง 3.2 แทน
ช่วงเดินทางระหว่างระยองเข้าสู่จันทบุรี ถนนค่อนข้างโล่งพอสมควร จึงได้ทดสอบการเข้าโค้งว่า เร็วระดับ 120 - 140 กม./ชม. จะพาเข้าโค้งแล้วทำให้คุณนายนั่งข้างตกใจได้บ้างหรือเปล่า ผลที่ออกมาคือตัวรถนิ่งมาก ถึงแม้จะเข้าใส่โค้งที่ไม่กว้างมาก รถก็มีอาการโยนตัวน้อยมาก แถมพวงมาลัยแบบไฟฟ้ายังช่วยให้ทุกการหมุนแม่นยำแถมเบาควบคุมง่ายอีกด้วย สมชื่อกับเป็นรถทางฝั่งอเมริกาจริงๆ สรุปผลคือคนนั่งข้างไม่รู้เรื่องว่าเข้าโค้งเร็วขนาดนี้ นางก็ยังคงหลับต่อไปอย่างไม่รู้เรื่อง เอาเป็นว่าทดสอบเท่านี้พอรู้เรื่องแล้ว ก็ขับตามปกติกันต่อไปก่อนที่นางจะรู้ตัว
เมื่อถึงจุดหมายปลายทางที่วัดพลวง เชิงเขาคิชฌกูฏ ก็จอดรถแล้วขึ้นไปสักการะรอยพระพุทธบาทตามปกติ เมื่อลงมาเห็นว่าบนสันอ่างเก็บน้ำพลวง สามารถเอารถขึ้นไปถ่ายรูปได้ ก็เลยจัดการเอาขึ้นไปอวดความหล่อซักหน่อย ถึงแม้สภาพของรถจะเลอะเทอะอยู่พอสมควร แต่มันก็ไม่สามารถบดบังความหล่อได้เลย (ข้ออ้างของคนไม่ได้ล้างรถ ฮ่าๆๆ) โดยรวมแล้วจากระยะทางกว่า 200 กิโลเมตรที่ผ่านมา Ford Ranger Hi-Rider FX4 2.2 AT มีสมรรถนะที่พอเพียงกับการใช้งานทั่วๆไปแทนรถเก๋งได้สบาย แถมบางโอกาสยังสามารถขนของเยอะๆได้อย่างไม่ลำบากอะไร อันนี้คือข้อได้เปรียบที่ดีกว่ารถเก๋งชัดเจน แต่ถ้ามีเงื่อนไขว่าอยากได้รถที่คล่องตัว จอดง่ายๆ คันนี้ก็ยังไม่ใช่คำตอบของคุณแน่นอนครับ
สุดท้ายกับอัตราการบริโภคน้ำมัน ที่ขับแบบหลากหลายแบบปนเปกัน ทั้งรถติดหนักในเมือง, รถวิ่งได้เรื่อยๆในเมือง, วิ่งยาวความเร็วปกติ และใช้เกียร์ S บนความเร็วสูงๆ สรุปรวมได้ประมาณ 12.3 กิโลเมตร/ลิตร (ถ้าในเมืองล้วนๆอาจจะมีที่ 10) ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่พอใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าเทียบกับหุ่นที่แบกน้ำหนักขนาดนี้ ส่วนราคาค่าตัวอยู่ที่ 929,000 บาท ส่วนตัวมองว่าถ้าดูถึงความสวยงาม, สมรรถนะที่ดี ก็ถือว่าคุ้มค่ากว่าซื้อรถเก๋งบางรุ่นในราคาเดียวกันอยู่ไม่น้อย แต่อาจจะมีจุดขัดใจก็ตรงอุปกรณ์ความสะดวกที่ให้มาในรถอย่างหน้าจอเครื่องเสียงที่ยังเป็นแบบกดปุ่มอยู่ ถ้าให้เป็นหน้าจอสัมผัสซัก 6 นิ้วพร้อมระบบ Apple CarPlay หรือ Android Auto มาด้วย ก็น่าจะเพิ่มความสมบูรณ์ให้ Ford Ranger Hi-Rider FX4 2.2 AT ได้อีกมากเลย
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com