Test Drive : รีวิว ทดลองขับ All New Land Rover Defender ตำนานบทใหม่..เอสยูวีสายลุยจากอังกฤษ
- โดย : Autodeft
- 30 มิ.ย. 63 00:00
- 11,150 อ่าน
นั้บตั้งแต่ปี 1948 เป็นต้นมา Land Rover ผลิตรถยนต์ออฟโรด รับใช้ชาวอังกฤษรวมถึงทั่วโลกที่พิศมัยในเรื่องการลุยในเส้นทางโหด วิบาก ด้วยตัวตนดุดัน ถึกทน ตลอดจนขุมพลัง และเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่เทียบชั้นกับเจ้าอื่นๆได้อย่างเต็มรูปแบบจนได้รับฉายาว่า The Best 4x4 By Far
จากรถยนต์รุ่นแรก Land Rover Series 1 โชว์ตัวครั้งแรกในเดือนเมษายน ปี 1948 ที่อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ จนมาถึงรุ่น Series II, Series III เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป Land Rover 90 กับ 110 ถือกำเนิดออกมาในปี 1983 จนมาใช้ชื่อ Land Rover Defender ตั้งแต่ปี 1990 ลากยาวมานานและมีการเปลี่ยนแปลงในด้านการตกแต่งเทคนิคต่างๆ และความแข็งแกร่งในแชสซีส์แบบขั้นบันไดหรือ Ladder Frame ในร่างเดิม และด้วยเหตุในเรื่องความปลอดภัย มาตรฐานการปล่อยไอเสียที่คุมเข้ม ของแต่ละประเทศเป็นสาเหตุให้ Defender เจนแรก มีอันต้องยุติตำนานขาลุยรุ่นเก๋าไปในวัย 68 ปี (ในปี 2016) กับยอดผลิตมากกว่า 2 ล้านคันที่ โรงงาน โซลิฮัลล์ ประเทศอังกฤษ
ช่วงที่เจนแรกได้อำลาตลาดไป Land Rover เปิดตัว Land Rover DC100 Defender Concept ตันแบบรุ่นใหม่ที่ว่ากันว่านี่คือร่างทรงของ All New Land Rover Defender เจเนอเรชั่นที่สอง ตั้งแต่ปี 2015 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2020 ที่งาน Frankfurt Motor Show 2019 โดยมาในสองรูปแบบตัวถังเช่นเดิมทั้งรุ่น 3 ประตู 90 และรุ่น 5 ประตู 110 ในรหัส L663 สำหรับประเทศไทยได้เปิดรับจองอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปีกลาย และได้รับเกียรติ์จากทาง อินช์เคป (ประเทศไทย) ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Jaguar และ Land Rover อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ได้เข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับ ตำนานบทใหม่….ขาลุยสุดแกร่งจากอังกฤษ
สำหรับรุ่นที่ได้ทดลองขับนั้นเป็นรุ่น 5 ประตู SE ซึ่งความหล่อเหลานั้นแทบไม่ต่างจากเวอร์ชั่นต้นแบบ เริ่มกันที่ กระจังหน้าดีไซน์เด่น แนวนอนพร้อมโลโก้ Land Rover ทรงกลมติดตรงมุมซ้าย รับกับไฟหน้า Premium LED พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน signature DRL ลงตัวด้วยฝากระโปรงออกแบบทรงนูนตรงกลาง พร้อมโลโก้ตัวหนังสือ Defender แปะตรงบนฝากระโปรงหน้า กันชนหน้าทรงบึกบึนซ่อนไฟตัดหมอกหน้าดีไซน์เด่นชัด หลังคารถดีไซน์ร่วมสมัยมาพร้อมสีดำเข้ม Black contrast roof ถัดลงมาก็จะพบกับช่องกระจกเล็กๆ ซ้าย-ขวา อีกหนึ่งมรดกตกทอดที่สืบทอดเอกลักษณ์มายาวนานและกลิ่นไอความเป็นขาลุยรุ่นเก๋าจากอังกฤษยังคงอยู่ พร้อมเสา A แนวตั้ง สีเดียวกับตัวรถขลิบสีดำ รวมถึงเสา B ทาด้วยสีดำเข้ม และเสา C กับ D ทาสีเดียวกับตัวรถ ติดตั้งโลโก้ Land Rover กระจกมองข้างแนวตั้งขนาดใหญ่พร้อมไฟเลี้ยวในตัว
บังโคลนล้อซ้าย-ขวาเสริมเกร่งดว้ยคิ้วระบายอากศแนวตั้งสีดำ ส่งเสริมความโหดขึ้นอีกระดับด้วยซุ้มล้อดีไซน์เหลี่ยมพร้อมล้อและยางที่มีให้เลือกหลายขนาดสำหรับรุ่น SE นั้นกลับได้ล้ออัลลอย 5 ก้านขนาด 20 นิ้ว Style 5094 สีเงิน Gloss Sparkle Silver พร้อมยางขนาด 20 นิ้ว ไฟท้ายแนวตั้งแบบ LED และไฟตัดหมอกหลัง มองชัดทั้งกลางวันและกลางคืน พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ฝาท้ายประตูแบบบานพับด้านข้างและแป้นยึดยางอะไหล่นอกตัวรถที่เป็นเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมไว้ซึ่งถือว่าคลาสสิกและอนุรักษ์นิยมเข้าถึงแก่นแท้ความเป็นออฟโรด
การเปลี่ยนแปลงความทนทรหดจากแชสซีส์ขั้นบันไดหรือ Ladder Frame มาเป็นแบบ Unibody แต่ยังแฝงด้วยความแข็งแกร่งเช่นเดิมพร้อมตัวถังอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ส่งผลให้ตัวรถมีความใหญ่ขึ้นตั้งแต่ความยาว 5,018 มม. ความกว้าง 2,105 มม. ความสูง 1,967 มม. ฐานล้อ 3,022 มม. น้ำหนักรถ 2,323 กก. ความสูงจากใต้ท้องรถ 218 มม. ลุยน้ำได้สูงสุด 900 มม. และความจุถังน้ำมัน 85 ลิตร มีโครงสร้างสำหรับการขับขี่บนเส้นทางขรุขระในระดับโลก ด้วยมุมปะทะ มุมคร่อม และมุมจากที่ 38, 28 และ 40 องศา (ความสูงเมื่อขับขี่บนเส้นทางขรุขระ) ตามลำดับ
ความคลาสสิกยังมีความขลังไม่เสื่อมคลายเฉกเช่นเดียวกับภายในที่ผสมผสานความเก๋ากับความโมเดิร์นเข้าไว้ด้วยกันตั้งแต่แผงคอนโซลดีไซน์แนวนอน ออกแบบช่องแอร์ไว้ขอบบนคอนโซลหน้า ออกแบบมาตรวัดดิจิตอลขนาดใหญ่ จอสัมผัสขนาดใหญ่ เข้าไว้ในระนาบเดียวกันทำให้มองเห็นอย่างชัดเจนและอ่านง่าย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบ 4 ก้าน หุ้มหนังสามารถปรับสูง-ต่ำได้ จอสัมผัสขนาดใหญ่ 10 นิ้วรองรับระบบความบันเทิงได้หหลายรูปแบบถัดลงมาเป็น คอนโซลเกียร์ขนาดเล็กที่จับกระชับมือ ขนาบข้างกับเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวาและหลังแบบ Three Zone Climate Control พร้อมช่องแอร์ด้านหลัง ถัดลงมาจะเป็นกล่องคอนโซลกลางพร้อมที่วางแขนและช่องเสียบ USB ลำโพงคุณภาพจาก Meridian เป็นออพชั่นมาตรฐาน
สำหรับรุ่น SE ที่นำมาทดลองขับครั้งนี้เป็นรุ่น 5 ที่นั่ง มีความสบายโล่งโปร่งจากหลังคารถที่สูงขึ้น 1,032 มม.สำหรับด้านหน้า และ 1,025 มม. สำหรับด้านหลัง สามารถมองเห็นทัศนวิสัยอย่างแจ่มชัด รวมถึงเบาะนั่งคู่หน้าหุ้มหนังแท้ ปรับด้วยระบบไฟฟ้า 12 ทิศทาง พร้อมหมอนรองศรีษะปรับได้ 2 ตำแหน่ง ส่วนเบาะหลังนั่งได้ 3 ที่นั่งปรับพับได้แบบ 40 : 20 : 40 พร้อมที่วางแขนตรงกลาง โดยพื้นที่สัมภาระท้ายมีความจุ 857 ลิตร แต่เมือพับเบาะตอน 2 ลง มีความจุมากขึ้น 1,946 ลิตร พร้อมระบบความปลอดภัย Adaptive Cruise Control และ Rear Pre-Collision Monitor, Rear Traffic Monitor, Clear Exit Monitor, Emergency Braking, Lane Keep Assist, Traffic Sign Recognition, Driver Condition Monitor เป็นต้น
ขุมพลังสำหรับสิงห์ออฟโรดเมืองผู้ดีรุ่นนี้เป็นรุ่น SE และใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร 240 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 430 นิวตันเมตรที่ 1,400 รอบ/นาที ในรุ่น D240 นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร 200 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิด 430 นิวตันเมตรที่ 1,400 รอบ/นาที ในรุ่น D200 จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD มาพร้อมเกียร์ฝาก 4WD แบบ twin-speed transfer box และยังมีเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบให้เลือก ตั้งแต่ขนาด 2.0 ลิตร 300 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,000 รอบ/นาที ในรุ่น P300 กับเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร 400 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 550 นิวตันเมตรที่ 2,000-5,000 รอบ/นาที พร้อมระบบ Mild Hybrid เสริมในเรื่องความประหยัด ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับและแบตเตอรี่แบบ lithium-ion battery ในรุ่น P400 MHEV
ทุกขนาดเครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดและระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ Terrain Response 2 ที่มีโหมดออฟโรดถึง 6 โหมด เลือกได้ตามเส้นทางที่แตกต่าง ตั้งแต่ โหมดการขับขี่ทางเรียบไฮเวย์ Normal Driving, โหมดลุยน้ำ WADE พร้อมโปรแกรมตรวจสอบความลึกของน้ำตัวใหม่ , โหมดลุยในทางโขดหิน Rock Crawl, โหมดลุยทางโคลนและแอ่งโคลน MUD And Ruts, โหมดลุยทางพื้นหญ้า-กรวด-หิมะ Grass- Gravel- Snow และโหมดลุยพื้นทราย Sand มาพร้อมเกียร์ฝาก 4WD แบบ twin-speed transfer box และ ล็อกเฟืองท้าย Differential Controls
รุ่น SE ที่ทดลองขับนั้นเป็นรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ 240 แรงม้าและสนามที่ทดลองนั้นเรียกได้ว่าครบอรรถรสการขับขี่แบบออฟโรดที่สนามฝึกขับและทดสอบยานพาหนะ ขส.ทบ. อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี โดยลองระบบขับเคลื่อนบางส่วนในระบบ Terrain Response 2 ด่านแรกพบกันสถานี้ขึ้นลงทางชั้นที่มีให้ไต่กันหลายระดับตั้งแต่ระดับ 20,30,45 และ 60 องศา โดยเข้าไปทางลาดชันระดับ 45 องศา สาธิตระบบการทำงานออกตัวบนทางลาดชัน HLA หรือ Hill Launch Assist โดยระบบนี้เมื่ออยู่บนทางลาดชันตัวรถจะถ่วงอยู่ตรงจุดนั้นในช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากที่คุณถอนเท้าจากแป้นเบรก แล้วเมื่อเหยียบคันเร่ง ระบบจะให้เวลาคุณเหยียบเพื่อส่งกำลังให้ตัวรถเคลื่อนที่ต่อไปกันเรื่องรถที่ไหลซึ่งถึงถือว่าเป็นประโยชน์มากสำหรับการปีนไต่ นอกจากนี้ยังมีระบบกล้องรอบคันที่สามารถมองเห็นรอบรถแบบ 360 องศารอบคันได้อย่างสบายๆและยังแสดงองศาการเลี้ยวของล้อคู่หน้าผ่านจอแสดงภาพขนาด 10 นิ้ว แล้วถ้าลงทางลาดชันจะทำอย่างไร ทาง Land Rover ยังมีระบบควบคุมความเร็วลงทางลาดชัน HDC หรือ Hill Descent Control โดยระบบจะจับสัญญาณให้ตัวรถถ่วงเวลาลงทางชันช้าลง โดยลงทางชันระดับ 60 องศา ผลการทำงานจับอาการได้อย่างนุ่มนวล ราบรื่นไม่กระตุก ลงได้อย่างนิ่มๆ นับเป็นรุ่นรถที่มีระบบล้ำยุคจริงๆ
ต่อมาเป็นการทดลองขับในสถานีโคลนและแอ่งโคลน โดยเลือกระบบ MUD And Ruts โดยระบบจะปรับตัวรถให้สูงขึ้น เพื่อสามารถลุยเกาะถนนที่มีสภาพโคลนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อมาเส้นทางเรียบเพื่อพิสูจน์อัตราเร่งความแรง ด้วยตัวรถดังกล่าวให้กำลังสูงถึง 240 แรงม้า แรงบิด 430 นิวตันเมตร โดยทำงานรอบต่ำตั้งแต่ 1,400 รอบ ถึงรถคันนี้จะไม่ได้แรงบิดต่อเนื่องแบบ Flat Torque แต่ก็ให้ความเร้าใจไม่แพ้กันถึงตัวรถจะหนัก 2 ตันต้นๆ ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฟฟ้า EPAS เซ็ตมาแบบให้น้ำหนักปานกลางทั้งในควาเร็วต่ำ กลางและสูง ให้ความคมในการเลี้ยวอย่างมั่นใจ
มาถึงสถานีทดสอบช่วงล่างโดยรถรุ่นนี้เป็นระบบช่วงล่างอิสระมัลติลิงค์ทั้ง 4 ล้อ ควบคุมการทำงานด้วยระบบถุงลมที่สามารถปรับสูงต่ำตัวรถได้โดยอัตโนมัติหรือปรับตามความต้องการของตนเองได้ ด้วยการออกแบบฐานล้อที่ลงตัว 3,022 มม. แม้เจอหนอนถนนขนาดใหญ่มากก็ตามตัวรถไม่มีอาการสะเทือนแต่อย่างใด ขึ้นลงจัมพ์อย่างนุ่มนวลไม่กระแทกแต่อย่างใด มาปิดท้ายกันสนามลงแอ่งน้ำที่มีความลึก 600 มม. แต่ด้วยตัวรถที่สามารถลุยน้ำได้สูงสุด 900 มม. โดยใช้โหมด WADE พร้อมโปรแกรมตรวจสอบความลึกของน้ำ WADE Sensing ผ่านจอสัมผัส 10 นิ้ว จากการทดลองใช้โหมดนี้ ลุยน้ำได้อย่างมั่นใจไร้กังวลว่าน้ำจะเข้าภายในตัวรถหรือไม่งานนี้เทคโนโลยีการขับเคลื่อนมันช่างล้ำหน้าล้ำสมัยอำนวยความสะดวกมากขึ้นแม้เส้นทางจะมีแอ่งน้ำลึกขนาดไหนก็มั่นใจหายห่วง
ถึงจะเป็นการขับในทางออฟโรดแบบสั้นๆแต่ด้วยเทคโนโลยี ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD แบบ Terrain Response 2 สามารถฝ่าอุปสรรคได้อย่างหายห่วง กับขุมพลังดีเซล 2 ลิตร ที่แรงบิดมหาศาลถึง 430 นิวตันเมตร ก็ฝ่าด่านลุยๆโหดๆได้อย่างไม่น่าเชื่อบวกกับตัวรถที่มีความร่วมสมัยกับความคลาสสิกเข้าไว้ในคันเดียวกัน ทำให้สาวกที่ชื่นชอบตำนานขาลุยรุ่นใหม่หมดจากอังกฤษอย่าง Land Rover Defender เจนใหม่นี้มีไว้เป็นเจ้าของสักคันเพื่อใช้ในกิจกรรมสันทนการ กิจกรรมออฟโรด หรือ พาคนรักและครอบครัวไปเที่ยวอย่างมีความสุขในราคาเริ่มต้น 5,400,000 บาทในรุ่น 3 ประตู และ 5,800,000 บาทในรุ่น 5 ประตู (รุ่นทีทดลองขับเป็นรุ่น SE 5 ประตู ดีเซล 240 แรงม้า ราคา 6,400,000 บาท)
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Jaguar และ Land Rover อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ที่เชิญทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมกิจกรรมทดลองขับรถยนต์ All New Land Rover Defender
สิ่งที่ชอบ >>>หน้าตาดุกว่า โหดผสมความสุขุมและคลาสสิกตามแบบฉบับแลนด์โรเวอร์ กระจกบานเล็กบนหลังคา ซ้าย-ขวา สร้างเอกลักษณ์ให้เป็นที่จดจำ ความโปร่งสบายของห้องโดยสารที่กว้างขวางมองเห็นชัดเจน ช่วงล่างนุ่มนวลในทางเรียบแต่หนึบในทางออฟโรดลุยน้ำได้เกือบ 1 เมตร จัดถือว่าสูงสุดในกลุ่มรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยกัน
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ดีไซน์เรียบง่ายอาจดูจืดไปบ้างถ้าหากมีการแต่งเติมอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษเข้าไปช่วยให้ตัวรถมีเสน่ห์มากขึ้น
ชม Gallery Test Drive All New Land Rover Defender ได้ที่นี่ !!
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com