Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Honda HR-V e:HEV EL Modulo ร่างแต่งแปลงรองท็อป ที่ได้ความนุ่มกว่า RS
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 26 พ.ค. 65 00:00
- 14,335 อ่าน
รอบที่ทาง Honda เปิดตัวรถใหม่ในรูปแบบรถอเนกประสงค์ SUV อย่าง Honda HR-V ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการอวดออกมาในวันเปิดตัวรวม 2 รุ่นคือ รุ่นบนสุดอย่าง RS กับชุดแต่ง Modulo แล้ว AUTODEFT เองก็ได้ทำการเก็บภาพมาในครั้งนั้นเอามาฝากทุกคนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมเองก็ได้ทำการทดลองขับรุ่นบนอย่าง Honda HR-V e:HEV RS ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการทดสอบรอบก่อน ทั้งในรูปแบบ Group Test กับรีวิวเดี่ยว และก็ถือว่าเป็นรุ่นที่น่าใช้งานอย่างมาก และรู้สึกว่าคุ้มกับราคาขายที่ 1,179,000 บาทอย่างมาก แต่กับรุ่นรองอย่าง EL นั้นยังไม่เคยลองเลย เพราะมีการพูดกันว่านอกจากชุดแต่งที่ต่างกัน อุปกรณ์ต่างกัน ช่วงล่างก็ต่างกันด้วย เพราะมีการใส่ล้อที่เป็นขนาด 17 นิ้ว จึงเซ็ตช่วงล่างต่างกันไป เลยอยากเอามาลองขับดูสักหน่อยว่ามันจะเป็นอย่างไร
แต่เมื่อลองถามไปยังทาง ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ได้รับคำตอบมาว่ารุ่นนี้ตัวรถทดสอบไม่มีแล้ว เอาเป็นตัว Modulo ที่เอารุ่น EL แต่งมารีวิวแทนได้ไหม ก็ต้องได้ครับ เพราะชุด Modulo ที่ใส่มานั้น เป็นชุดแต่งของตัวรถอย่างเดียว ไม่มีการปรับในเรื่องของ Performance เลย
ถ้ามองเจาะไปในส่วนของสเปก จะพบว่ารายละเอียดที่หายไปจากรุ่น RS นั้น ไม่ได้เยอะมากอย่างที่คิด ดังนั้นเราจะมาเริ่มกันที่สิ่งที่หายไปจากรุ่นบนสุดอย่าง RS กันก่อนเลย ดามรายละเอียดนี้
- พวงมาลัยพาวเวอร์ผ่อนแรงด้วยระบบไฟฟ้า EPS แต่ไม่มีระบบแปรผัน VGR แบบรุ่น RS
- ยาง 215/60 R17 เล็กกว่าของ RS ในขนาด 225/50 R18
- ไม่มีหลังคากระจก Panoramic
- ไฟเลี้ยวด้านหน้าไม่มีแบบ LED Sequential
- เบาะไม่มีเดินด้ายแดง
- เบาะนั่งปรับมือทุกที่นั่ง (RS เบาะคนขับปรับไฟฟ้า)
- ไม่มี Wireless Charger
- ไม่มีแผ่นบังสายตาห้องสัมภาระด้านหลัง
- ช่อง USB 2 ตำแหน่ง (RS 4 ตำแหน่ง)
- ลำโพง 6 จุด (RS 8 จุด)
- ไม่มีระบบ Honda Connect
- นี่คือความต่างระหว่างรุ่น EL กับ RS
ทีนี้ รอบนี้เราเอารุ่นที่เป็นชุดแต่ง Modulo มารีวิว ดังนั้นมันจะมีออพชั่นเพิ่มเข้ามาอีก โดยใส่เข้ามาเพิ่มดังนี้
- กระจังหน้าแบบใหม่สีดำเงาดีไซน์คล้ายรังผึ้งพร้อมขอบโครเมียม
- สเกิร์ตรอบคันกับสีเงินออกด้านที่ติดตั้งเข้ากับพื้นชายกันชนหน้าสีดำด้าน รวมไปถึงด้านข้างตัวรถ และด้านท้ายในลักษณะของชิ้นเสริมแยกซ้ายขวา ซึ่งจะแตกต่างกับดีไซน์การตกแต่งของรุ่น RS ที่จะเป็นสีดำเงา
- ชุดแต่งไฟตัดหมอก
- คิ้วกันสาด
- ปลอกท่อไอเสีย
- คิ้วบันไดสแตนเลส LED
- ไฟส่องสว่างที่เท้า
- แป้นเบรกและคันเร่งแบบสปอร์ต
- ป้องกันรอยที่มือจับประตู
- Wireless Charger
- แผ่นกันรอยเบาะหลัง
- แผ่นบังสายตาห้องสัมภาระ
- แผงครอบกันรอยขอบห้องสัมภาระ
- แผ่นม่านบังแดดสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
- พรมปูพื้น
นี่คือทั้งหมดที่เพิ่มเติมมาในรถคันนี้
ส่วนอื่น ๆ นั้น จะเหมือนกันทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นขุมพลัง เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ให้พลังได้สูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 127 นิวตันเมตร รองรับน้ำมันได้สูงสุดระดับ E20 ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้พลังงานได้สูงสุด 131 แรงม้า 253 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์แบบ E-CVT ไม่ได้มีการระบุกำลังสูงสุดเมื่อผสานกำลังกัน แต่วิศวกรให้ดูกำลังสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าได้เลย รวมทั้งตัวแบตเตอรี่ Lithium-ion ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่ามีความจุเท่าไหร่ แต่ก็คาดว่าน่าจะมีขนาดเท่ากับของ Honda City e:HEV นั่นก็คือขนาด 1.0 กิโลวัตต์ชั่วโมงนั่นเอง
ภายในนั้น ก็จะมีอุปกรณ์ให้ใช้งานได้คล้ายกับรุ่น RS เลย ไม่ว่าจะเป็นคอนโซลออกแบบมาให้ดูเรียบง่ายเป็นเส้นตรงจากซ้ายไปขวา เพื่อให้ตัวรถนั้นดูกว้างขวางมากขึ้น ไม่มีปุ่มให้กดเยอะอะไร เน้นเอาไปใส่ในตัวหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto เสียมากกว่า เครื่องเสียงส่งเสียงผ่านลำโพง 6 ตำแหน่ง ปุ่มที่มีให้จะเฉพาะที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นปุ่มควบคุมอุณหภูมิ, ปุ่มไฟ Hazard หรือปุ่มบนหน้าจอพวกเรียกเมนูหรือเพิ่ม-ลดเสียงเท่านั้นเอง ส่วนแอร์นั้นเป็นระบบอัตโนมัติ แต่ไม่แยกโซนซ้าย-ขวา
พวงมาลัยเป็นแบบทรงกลม ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง หุ้มหนังสีดำสัมผัสดี มีวัสดุ Piano Black เป็นก้านเงางามด้านล่าง มีปุ่ม Muti-Function ที่เอาไว้ควบคุมหน้าจอและระบบความปลอดภัยได้ด้วยการกดปุ่ม หน้าจอข้อมูลการขับขี่ ด้านขวายังเลือกใช้งานเป็นแบบเข็ม แต่ด้านซ้านเป็นแบบหน้าจอ TFT ขนาด 7 นิ้ว บอกข้อมูลได้เยอะแยะมากมาย สาธยายไม่หมด ตัวปรับลมของช่องแอร์ด้านข้างที่ติดกับประตู มีลูกบิดให้หมุนได้ 3 ตำแหน่ง โดยมีการเปิดและปิดเหมือนรถทั่วไป แต่พิเศษมากขึ้นด้วยตำแหน่ง ระบบ Air Diffusion System โดยช่องปรับอากาศได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ มอบทิศทางลมที่หมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ กระจายลมได้อย่างเหมาะสม ทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร
คันเกียร์ของรถยนต์ใหม่ 2022 All-New Honda HR-V e:HEV EL เกียร์แบบ E-CVT ยังคงเป็นก้านยื่นยาวขึ้นมาหุ้มด้วยหนังเหมือนกับรุ่นอื่น ๆ ของฮอนด้า แต่ด้วยความที่รถคันนี้เป็นรถระบบ Hybrid จึงไม่มีการเล่นเกียร์แบบสปอร์ตได้ จึงมีให้มาเฉพาะเกียร์ B เผื่อเอาไว้ใช้งานในช่วงต้องลงเขาเท่านั้น ขยับมาอีกหน่อย จะมีปุ่มให้เลือกรูปแบบการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น
- ECON Mode - โหมดการขับขี่แบบประหยัด พร้อมปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กับการขับขี่เพื่ออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น ตามรูปแบบการขับขี่
- Normal Mode - โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป
- Sport Mode - โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต ที่ช่วยปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้พร้อมตอบสนองการเร่งได้ดียิ่งขึ้น เพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ
ขยับมาอีกนิดก็จะเป็นปุ่ม Hill Descent Control: HDC หรือระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของวงการรถอเนกประสงค์ SUV ในประเทศไทยเลย เพราะส่วนใหญ่แล้วระบบนี้จะมาเฉพาะบนรถกระบะรูปแบบ 4x4 หรือรถอเนกประสงค์ PPV เท่านั้น ขยับลงมาอีกนิดคือปุ่มเบรกมือไฟฟ้าและ Auto Hold
ด้านหลังนั้น มีช่องแอร์เพื่อกระจายความเย็นส่งตรงของผู้โดยสารตอนหลัง ความอรรถประโยชน์นั้นอยู่ที่เบาะหลัง ที่สามารถพับได้แบบแบ่ง 60:40 แล้วใช้งานได้หลากหลาย เพราะมันสามารถยกในส่วนตัวเบาะรองก้นให้ยกขึ้นมาได้ด้วย รูปแบบการพับของทางฮอนด้าจึงแบ่งเป็น
- Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับลงแนวราบได้เรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย
- Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
- Tall Mode: ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ที่โดดเด่นของ ฮอนด้า ที่สามารถพับเบาะด้านหลังขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง ซึ่งมีเพียงฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ รุ่นเดียวในเซกเมนต์ที่สามารถพับเบาะในโหมดนี้ได้
ส่วนระบบความปลอดภัยนั้นจัดเต็มไม่แพ้ตัวท็อป โดยเฉพาะระบบ Honda Sensing ที่ใส่มาในทุกรุ่นย่อยเลย ไม่ว่าจะเป็น
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) ระบบช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็วเมื่อมีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือคนเดินถนนที่อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง รวมถึงมีการสั่นเตือนของพวงมาลัยในกรณีรถสวนทาง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW) ระบบจะใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF) ระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยมีกล้องตรวจจับรถคันหน้าเพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ระบบที่ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ตามรถคันหน้า
แต่เท่านี้ยังน้อยไป ยังมีระบบความปลอดภัยเพิ่มเติมอีกหลานอย่าง ดังนี้
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
- กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
- ระบบป้องกันล้อล็อกและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD)
- ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
- ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (AHA)
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
- ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็วรถ (Auto Door Lock by Speed)
- ระบบกุญแจนิรภัย IMMOBILIZER พร้อมสัญญาณกันขโมย
- สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
ข้อมูลของ Honda HR-V e:HEV Modulo ก็น่าจะครบถ้วนแล้ว เรามาว่ากันถึงเรื่องการขับขี่กันเลยดีกว่า เอาเป็นว่าการขับขี่โดยรวม ก็ใกล้เคียงกับรุ่น RS นั่นแหล่ะ โดยสรุปการขับขี่ที่ออกมาไม่ต่างกันเท่าไหร่ ก็คือเรื่องพื้นที่ห้องโดยสาร ที่รอบนี้ฮอนด้าออกแบบมาให้ตัวรถดูกว้างมากขึ้นพอตัวเลย โดยเฉพาะที่นั่งด้านหลังที่ Head room เหลือเยอะมากกว่าเดิมพอตัว ด้วยความที่ถูกออกแบบให้การลาดลงนั้นลดน้อยลง หน้าต่างกว้างขึ้น เลยทำให้ตัวรถนั้นดูกว้าขึ้นไปได้ในทันที อย่างที่บอกไปแล้วว่ารอบนี้คุณพี่เขามาเอาใจเอนเอียงมาทางด้านครอบครัวมากขึ้น ลดความวัยรุ่นลงไปพอสมควร รถเลยดูใหญ่ขึ้นประมาณหนึ่งเลย แต่สิ่งที่หายไปก็คือกระจกขนาดใหญ่บนหลังคา ที่ทำให้ความรู้สึกโปร่งโล่งนั้นหายไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเย็นบนหัวที่ไม่ต้องมีแดดมาเผาหัวเราตลอดเวลายามที่เราขับขี่ช่วงแดดแรงจัด ต้องยอมรับกันว่าผ้าม่านบังหลังคือด้านหน้าหรือ Sun Shade ด้านหลังยังทำหน้าที่ในการกันความร้อนได้ไม่ดีเท่าหลังคาปกติอยู่แล้ว อันนี้ก็แล้วแต่ว่าชอบกันแบบไหน แต่ที่สำคัญคือ ผมไม่ต้องรำคาญในการติดเข้า-ดึงออกของแผ่นหลังคาอีกต่อไปแล้ว
ส่วนเรื่องเครื่องยนต์นั้น มันก็ได้ความรู้สึกในการขับขี่ที่แทบจะไม่ต่างกับคู่แข่งที่เคลมเอาไว้ว่าได้สูงสุดถึง 190 แรงม้าจริง ๆ ช่วงต้นดูสนุกสนาน กดคันเร่งแล้ว รถแทบจะพุ่งตามเท้าไปเลย ให้อารมณ์แบบเดียวกับการใช้รถไฟฟ้าได้ประมาณหนึ่ง แต่มันจะมาถึงแค่ช่วงกลาง แต่พอเข้าช่วงเร็วปลายหลังร้อยก็จะเริ่มแผ่ว ประเมินว่ามาจากการที่ไฟเริ่มจะหมด จึงมีการดึงกำลังจากเครื่องยนต์มาใช้แทน แล้วกำลังเครื่องยนต์มันก็ไม่มากเท่ามอเตอร์ไฟฟ้า เราถึงรู้สึกได้ว่ามีอาการขึ้นได้ช้าลงนั่นเอง แต่เชื่อผมเถอะ เวลาคุณขับในเมืองแล้ว มันสนุกกว่าการขับรถน้ำมันล้วนอย่างแน่นอน และถ้าเราเคารพกฎจราจร ในการขับด้วยความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม เราก็ใช้งานรถใหม่คันนี้ได้อย่างไม่มีอะไรอึดอัดแน่นอน
สิ่งที่เริ่มแตกต่างของ Honda HR-V e:HEV Modulo ที่เป็นการนำเอาตัวรุ่น EL มาตกแต่งเพิ่มก็คือ ช่วงล่างนั่นเอง เนื่องจากตัวนี้ใส่ยางขนาด 17 นิ้วมาให้ แก้มยางก็เลยมีความ “หนา” มากกว่ารุ่น RS ที่ใช้ขนาด 18 นิ้ว ดังนั้นสิ่งที่ได้มาก่อนเลยก็คือเรื่องของความนุ่มนวลช่วงความเร็วต่ำ ที่มีมากกว่าประมาณหนึ่ง แต่จะเสียในเรื่องความนิ่งและความเกาะถนนในการเข้าโค้ง รู้สึกได้เลยว่าสู้รุ่น RS ไม่ได้ และที่ต่างกันอย่างชัดเจนก็คือเรื่องของพวงมาลัย ที่รุ่นนี้ไม่มีระบบ VGR ที่มันสามารถปรับอัตราทด (ไม่ใช่ปรับความหนืด) ให้สอดคล้องกับความเร็วและการขับขี่ได้ เช่นช่วงเข้าโค้ง รถจะปรับอัตราทดให้หมุนพวงมาลัยน้อยลงเพื่อให้เข้าโค้งได้ง่ายขึ้น หรือถ้าเราขับเร็ว พวงมาลัยจะปรับอัตราทดให้หมุนพวงมาลัยมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงในการหมุนพวงมาลัยมากเกินไป เป็นต้น ซึ่งมันทำให้ความแม่นยำในการใช้งานสู้ตัว RS ไม่ได้เลย ขับไม่สนุกเท่า แต่ถ้าพูดถึงความเป็นจริงถ้าคุณเปลี่ยนจากรถรุ่นอื่นที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้วลงมาขับคันนี้เลย ก็คงไม่รู้สึกอะไรมาก เพราะคงมีไม่กี่รุ่นในประเทศไทยที่มีระบบนี้ (หมายถึงรถในระดับ Mass นะ) แต่ผมดันเอามาลองไม่ห่างกันมาก ก็เลยพอจับความรู้สึกได้พอสมควร
แต่สิ่งที่เจอแล้วไม่ชอบเหมือนกัน ก็คือเรื่องของเสียงที่พุ่งออกมาจากพื้น ที่รู้สึกว่ามันออกจะดังเกินไปหน่อย เสียงลมจากกระจกน่ะมีเข้าน้อย แต่เจอเสียงพื้นเข้าไปนี่แทบจะกลบทุกอย่างเลย แถมเสียงเครื่องยนต์ก็ดังพอสมควร เวลาเราต้องการใช้พลังงานเพื่อเปลี่ยนความเร็ว เครื่องจะทำงานเหมือนตัวเองเป็นเครื่องปั่นไฟ ไม่ได้ทำหน้าที่ในการส่งพลังไปที่ล้อ ดูมันจะวิ่งรอบสูง ครางเสียงดังเกินหน้าที่ไปนิด อันนี้ต้องลองขับเองถึงจะได้ยิน
มาถึงเรื่องอัตราประหยัดกันบ้างดีกว่า โดยรอบนี้เทสเยอะหน่อยครับ เริ่มจากการใช้งานในเมือง ที่รอบนี้ใช้งานรถเยอะมากจริง ๆ ระดับ 566 กิโลเมตร ก็เจอการจราจรครบทุกรูปแบบทั้งรถติดมาก, ติดน้อย, วิ่งไหล กับวิ่งเร็วได้ จอดนิ่งบ้างประปราย ได้อัตราประหยัดมาที่ 18.3 กิโลเมตร/ลิตร ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีนะ แต่ว่ารอบก่อนได้เยอะกว่านี้ (21.7 กิโลเมตร/ลิตร)
ส่วนการวิ่งทดสอบนอกเมือง ผมเอาวิ่งไปแถวเขาใหญ่ วนแถวนั้นเล็กน้อยแล้ววิ่งกลับ ได้ระยะทางประมาณ 254 กิโลเมตร รถหนาแน่นบางช่วง แต่ส่วนใหญ่จะวิ่งเร็วได้ ก็ได้อัตราประหยัดมาที่ 17.4 กิโลเมตร/ลิตร มากกว่าครั้งก่อนเช่นกัน (19.4 กิโลเมตร/ลิตร)
ถ้ามาดูกันเรื่องของราคา All-New Honda HR-V e:HEV EL นั้น ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,079,000 บาท แต่คันที่นำมาทดสอบเป็นสีขาวแพลทินัมมุก ก็ต้องเพิ่มเงินไปอีก 10,000 บาท แต่ถ้าจะเพิ่มชุดแต่ง Modulo แบบเต็มชุด ก็จ่ายเงินเพิ่มตามรายการไป อยู่ที่ประมาณ 90,000 บาท (ตรวจสอบราคาโดยละเอียดที่ https://hondaaccess.co.th/pricelist/HRV_eHEV.pdf) ถ้าถามผมว่าชุดแต่งนี้ดีไหม ส่วนตัวผมเองไม่ชอบในส่วนของกระจังหน้าอย่างเดียว ผมว่าของ EL สวยอยู่แล้ว แต่ชิ้นอื่น ๆ น่าเพิ่มหลายรายการ พวก Wireless Charger, สเกิร์ตรอบคัน, แผ่นบังสายตาห้องสัมภาระ, กันสาด, ไฟตัดหมอก เป็นต้น แถมยังได้ความประหยัดจากเครื่องยนต์ในระบบ e:HEV อีกต่างหาก หล่อแถมประหยัดในคราวเดียวกันเลย
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com