Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Honda Accord 1.5 TURBO EL ที่เพิ่มของเพียบ กับ e:HEV 2.0 TECH เพิ่มนิดหน่อย

หลังจากที่รถซีดานขนาดกลาง Honda Accord ได้ทำการเปิดตัวโฉมใหม่ในรุ่นที่เราเรียกในตลาดรถยนต์ว่าโฉม G10 หรือเจนเนอเรชั่นที่ 10 มาตั้งแต่ปี 2019 (ก่อน Covid-19 1 ปี) และก็ห่างหายการเปลี่ยนแปลงไปเลย เรียกได้ว่าลากยาวมา 2 ปี วันนี้มีการปรับใหม่แล้วแบบ Model Year ที่ตัว Highlight จริง จะอยู่ที่ตัวเริ่มต้นอย่าง Honda Accord 1.5 TURBO EL นั่นเอง

หลังได้รับข่าวการเปิดตัว Honda Accord MY 2021 มาได้ไม่นาน ผมเองในฐานะนักข่าวสายยานยนต์ ก็ได้รับหมายเชิญมาจาก ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) เพื่อเชิญเข้าไปทดสอบรถยนต์ใหม่ 2021 ทั้ง 2 รุ่นเลย โดยให้เวลาในกรทดสอบประมาณ 7 ชั่วโมง (โอย ปกติรุ่นเดียวยังแทบไม่ทัน) ป่ะ ไหน ๆ ก็ได้โอกาสแล้ว เรามาไปทำการรีวิวกันเลยดีกว่าครับ

เริ่มต้นรุ่นแรกกับ Honda Accord 1.5 TURBO EL กันก่อนเลยดีกว่าครับ เพราะถือว่าเป็นรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดเลย สำหรับเรื่องรายละเอียดนั้น ขอเริ่มต้นกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงกันก่อน เพราะที่เหลืออย่างอื่นมันก็เหมือนเดิมเป๊ะ เรามาเริ่มกันที่ภายนอกก่อน สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็จะมีไฟตัดหมอกคู่หน้า จากเดิมที่ไม่มีก็ใส่มาแล้วในรุ่นนี้ โดยเป็นหลอดไฟแบบ LED ส่วนด้านท้ายจากเดิมก็เป็นท่อคู่แหล่ะ แต่รอบนี้เสริมสปอยเลอร์ด้านล่าง กับใส่ปลายท่อแบบสแตนเลสให้เห็นชัดเจนมากขึ้น สวยงามสไตล์สปอร์ตมากกว่าเดิม

เข้าไปข้างในบ้าง สิ่งที่เพิ่มขึ้นมา Honda Accord 1.5 TURBO EL มีหลายอย่างเลย ทั้งช่องชาร์จไร้สาย Wireless Charger, กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ, ม่านบังแดดกระจกข้างของผู้โดยสารแถว 2, กระจกไฟฟ้าขึ้น-ลงอัตโนมัติทั้ง 4 บาน, ระบบ Honda Connect ที่ให้เรารู้ข้อมูลตัวรถผ่านทาง Smart Phone ได้ และที่เป็น Highlight เด็ดสุด คงต้องยกให้ Honda Sensing ที่ใส่มาทุกรุ่นย่อยแล้ว เย้ ๆ ๆ ซึ่งในชุดก็จะมีทั้ง

• ระบบเตือนการชนรถและคนเดินถนนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คัน- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
• ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
• ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)

แต่ชุดนี้ยังไม่มีระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ที่ใส่มาให้ใน Honda Civic รุ่นใหม่ล่าสุดนะ เดาว่าน่าจะยกชุดใหญ่เลยทั้งแนว รวมทั้งตัวท็อปด้วย คงอยากยึดราคาเดิมไว้ เลยยังไม่เพิ่มเข้ามา ของให้มาเยอะแยะมากมายนะ แต่ทำไมไม่ใส่ไฟแต่งหน้าตรงที่บังแดดมาให้สักที เฮ้อ

ข้อมูลที่เพิ่มเติมมาก็ครบละ เรามาย้อนสเปกคร่าว ๆ ของ Honda Accord 1.5 TURBO EL กันอีกสักหน่อยดีกว่า โดยขุมพลังที่ยัดใส่เข้ามาในซีดานขนาดกลางเจนที่ 10 คันนี้ เป็นเครืองยนต์เดิม ก็คือเครื่องยนต์รหัส L15BG แบบเบนซิน 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบเรียง 16 วาล์ว VTEC Turbo หัวฉีด Multi-Point PGM-FI ขับพลังได้สูงขึ้นเป็น 190 แรงม้าที่ 5,500 รอบ แรงบิดสูงสุด 243 นิวตันเมตรที่ 1,500-5,500 รอบ รองรับการใช้เชื้อเพลิง E85 ส่วนการขับเคลื่อนนั้น ยังคงเลือกใช้งานในส่วนของเกียร์ CVT ตัวเกียร์สามารถเล่นเปลี่ยนสปีดได้ 7 ระดับ  ผ่านการขยับปลายนิ้วไปที่ปุ่ม Paddle Shift ที่อยู่บนคอพวงมาลัย เสียดายที่ไม่มีเกียร์ให้เราสับได้ที่คันเกียร์ พวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้า ที่สามารถปรับแรงได้ตามความเร็วของตัวรถ

ขนาดของตัวรถมีขนาด 4,894 x 1,862 x 1,450 มม. (ยาวxกว้างxสูง) ตัวฐานล้อกว้าง 2,890 มม. ใต้ท้องสูงจากพื้น 131.3 มม. ช่วงล่างด้านหล้าเลือกใช้แบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ มัลติลิงค์ อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ใส่ล้อมาเป็นขนาด 17 นิ้ว ล้อแม็กซ์อัลลอยสีเงินปัดเงา ลายตามรูปละกัน บอกไม่ถูก รัดมาด้วยยางขนาด 225/50 R17 และแน่นอนว่า ระบบห้ามล้อเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ

รูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร มีเพิ่มตามที่บอกไปแล้วเท่านั้น ขอข้ามไปเลยแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลาอ่าน ส่วนภายในคงต้องย้อนรำลึกกันหน่อย จะได้พอมองภาพออกว่าอุปกรณ์มีอะไรบ้าง เริ่มจากเบาะหนังแบบหนังแท้ผสมหนังสังเคราะห์ ด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมปรับดันหลังอีก 4 ทิศทาง บันทึกได้ 2 ตำแหน่ง ด้านคนนั่งปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง คอนโซลเป็นพลาสติกลายหนัง แทรกด้วยลายไม้ ตรงกลางแทรกด้วยหน้าจอ Infotainment แบบ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อทั้งแบบมีสายและไร้สาย มีระบบ Apple CarPlay ลำโพงให้มา 8 ตำแหน่ง แต่ยังอยู่ในระดับธรรมดาไม่อลังการเหมือนตัวท็อป หน้าจอข้อมูลการขับขี่เป็นดิจิตอลขนาด 7 นิ้วแบบ TFT วางอยู่ด้านซ้ายของหน้าปัด ส่วนด้านขวายังคงเป็นแบบเข็ม พวงมาลัยหุ้มหนังทรงกลม ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง มีปุ่ม Multi-Function เอาไว้ให้ใช้ควบคุมหน้าจอบนด้านซ้าย ส่วนด้านขวาเอาไว้ควบคุมระบบ ACC

เครื่องปรับอากาศบน Honda Accord 1.5 TURBO EL เป็นแบบอัตโนมัติ แยกโซนซ้าย-ขวาได้ ตรงส่วนบริวารรอบคันเกียร์ก็จะมีปุ่มโหมดการขับขี่ทั้ง Sport และ ECON ให้เลือกใช้งานได้ ข้าง ๆ เป็นที่วางแก้วน้ำ 2 ช่อง มีปุ่มเบรกมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold ให้ใช้งานด้วย ข้ามไปเบาะหลังก็ใช้วัสดุแบบเดียวกันกับด้านหน้า มีช่องแอร์เอาไว้ให้ใช้งาน ส่วนม่านบังแดดกับช่องชาร์จ USB ที่เพิ่มมาก็บอกไปแล้ว

ระบบความปลอดภัย ที่มีอยู่บน Honda Accord 1.5 TURBO EL นอกจาก Honda Sensing ที่เพิ่มขึ้นมาแล้ว ก็จะมีทั้ง

• ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
• ระบบป้องกันล้อล็อกและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD)
• ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
• ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (AHA)
• ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
• ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)(7)
• สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
• ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
• กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ

ข้อมูลน่าจะเพียงพอแล้ว เรามาออกเดินทางเพื่อรีวิวรถยนต์ใหม่ 2021 คันนี้กันเลยดีกว่าครับ เรื่องท่านั่งมันก็ดีงามตามเดิมอยู่แล้ว เพราะด้วยไซส์รถที่เป็นขนาดซีดานกลาง ก็ทำให้มีพื้นที่ในห้องโดยสารที่เยอะกว่าไซส์ Compact อยู่แล้ว แถมเบาะนั่งไฟฟ้า ยังเลื่อนถอยหลังเมื่อเราดับเครื่อง และจะเลื่อนกลับไปยังตำแหน่งที่เราบันทึกเอาไว้เมื่อเราสตาร์ทรถ ทำให้เราเข้า-ออกที่นั่งด้านคนขับได้ง่ายมากขึ้น ระบบนี้ใส่มาทุกรุ่นนะ ไม่ต้องห่วง แต่มันจะขยับไปที่ตำแหน่งบันทึก 1 อยู่เสมอนะ

ในเรื่องของ Performance นั้น ไม่ต่างจากตัวเดิมที่เปิดตัวมาในปี 2019 เลย เพราะการเปลี่ยนครั้งนี้มันเป็นการเพิ่มออพชั่นกับอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่าง Honda Sensing เท่านั้น ดังนั้นการขับขี่ก็คือเหมือนเดิม การตอบสนองของเครื่องยนต์ดี มีชะงักเล็กน้อยรอกำลังเครื่องช่วงประมาณ 60-90 กม./ชม. พอหลุดช่วงนี้ไปได้ก็ไหลยาวไปยันเกือบ 160 กม./ชม.แล้วค่อยช้าลง แต่ยังไหลไปจนจบที่ 200 กม./ชม. ได้ ช่วงล่างแน่นดี แต่มีความเป็นสปอร์ตอยู่ เลยอาจมีกระดอนบนสะพานเล็กน้อย ขับเร็วรถนิ่ง พวงมาลัยน้ำหนักดีทั้งช่วงช้าและเร็ว (เหมือนมีปรับน้ำหนักให้มากขึ้นช่วงความเร็วสูง หนืดมากกว่าตัวที่เทสตอนเปิดตัว) เก็บเสียงดี

แน่นอนว่า อุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาในรอบนี้ ผมว่าส่วนใหญ่เป็นประโยชน์ในการใช้งานเกือบทั้งนั้น (จะมีก็แต่ปลายท่อไอเสียด้านหลังที่ได้แต่เรื่องเท่ห์) ดีงามสุดต้องเป็นระบบ Honda Sensing อย่างแน่นอน มันช่วยให้การขับขี่นั้นสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น ที่ใช้งานบ่อยสุดก็น่าจะเป็นระบบ LKAS ที่พวงมาลัยจะช่วยเราหมุนไปตามเส้นจราจรได้ด้วย ช่วยลดความเมื่อยล้าได้มากเลยเวลาขับแบบเคลื่อนตัวได้ยาว ๆ ต่อมากับระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ ที่จะเตือนและดึงพวงมาลัยกลับเมื่อเราย่ำเส้นตลอดทาง (แอบรำคาญเล็กน้อย) และตัวที่ผมชอบมากสุดคือ ACC ที่เวลาใช้ในเมือง ก็ตั้งเอาไว้เลย ปล่อยให้รถควบคุมคันเร่งกับเบรกเอง ไม่เมื่อยดี เวลารถติดแล้วได้ไฟเขียว กดปุ่ม Resume แล้วก็ไปต่อได้เลย สบาย สุดท้ายกับ ระบบเตือนการชนรถและคนเดินถนนพร้อมระบบช่วยเบรก ที่เตือนไวดีเหมือนกัน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้เยอะเลย ส่วน AHB ไม่ได้ลองนะ เพราะได้มาเทสช่วงกลางวัน

แต่ถ้าเอาไปเทียบกับของ All-New Honda Civic ที่เพิ่งเปิดตัวไปแล้ว ผมว่าระบบ LKAS กับ RDM มันทำงานได้ไม่ชัดเจนเท่านะ ของ Civic ทำได้แรงกว่าพอตัว อันนี้ข้ามเรื่องที่ไม่มีระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ไปนะ ผมว่าตัวที่อยู่ใน Civic น่าจะเป็นการปรับปรุงแล้ว แต่ใน Honda Accord น่าจะยังเป็นเวอร์ชั่นเดิมนะ

รอบนี้ไม่มีเวลาลองเยอะ มีเวลาคันละประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น เลยจัดการลองวิ่งในเมืองกับนอกเมืองแบบสั้น ๆ ให้พอเห็นระดับการใช้น้ำมัน และก็ได้ลอง 0-100 อีก 3 รอบ เพื่อให้เห็นอัตราเร่ง เรามาเริ่มกันที่ 0-100 ก่อนเลยดีกว่า รอบนี้ซวยจัด ช่วงที่จะทดสอบ ฝนดันตกหนักลงมาเยอะพอตัว (รอดูในคลิปเร็ว ๆ นี้จะเห็นว่าขนาดไหน) ผมเลยพยายามหาช่วงที่ไม่มีรถคันอื่นร่วมทางเลย เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยได้ตัวเลย 3 รอบออกมาดังนี้ครับ

รอบที่ 1 - 9.65 วินาที

รอบที่ 2 - 9.70 วินาที

รอบที่ 3 - 9.80 วินาที

เฉลี่ย - 9.72 วินาที

มองด้วยความเป็นธรรม ตัวเลขน่าจะดีกว่านี้ถ้าได้ทดสอบบนถนนที่แห้ง เพราะยอมรับโดยตรงเลยครับว่ามีบางจังหวะที่ Traction Control ทำงาน เพราะมีย่ำกองน้ำในบางจังหวะ แต่ตัวเลขเท่านี้ก็ไม่แย่เลยนะ เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว ถนนแห้งน่าจะดีกว่านี้ เดี๋ยวรอบหน้าเทสเดี่ยว มาลองกันอีกที

ถัดมากับอัตราประหยัดกันบ้าง โดยรอบนี้ต้องบอกให้ชัดอีกครั้งว่าเวลามีน้อยมากในการทดสอบ เลยต้องลดระยะทางในการขับให้น้อยลง แต่ขับในเมืองที่ใช้งานกันทั่วไป ผมเริ่มจากศูนย์ฝึกของทางฮอนด้าในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน ออกวิ่งไปทางมีนบุรี ก่อนที่จะเลี้ยวขวาตัดเข้าถนนรามคำแหง เลี้ยวซ้ายไปกลับรถใต้สะพานแถวการเคหะรามคำแหง ตรงยาวไปจถถึงแยกบ้านม้า ถึงแยกนิด้าเลี้ยวขวาเข้าถนนเสรีไทย ก่อนที่จะมาตัดออกไปรามคำแหงที่แยกเดิม แต่คราวนี้มุ่งหน้าข้ามสะพานไปถึงแยกมีนบุรี-ร่มเกล้า จบการขับที่ปั๊ม ปตท. ก่อนแยกร่มเกล้า ระยะทางที่ได้คือ 28.4 กิโลเมตร วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 28 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้อัตราประหยัดมาที่ 11.1 กิโลเมตร/ลิตร เฮ้ย ได้มากกว่าที่คิดด้วยอ่ะ ตอนแรกกะเอาไว้ว่าแตะแถว ๆ 10 นะ ได้ขนาดนี้ถือว่าดี แต่ต้องบอกอีกครั้งว่าวิ่งน้อย ถ้าได้ลองมากกว่านี้ ตัวเลขคงเปลี่ยนไป

ต่อกันเลยกับอัตราประหยัดแบบนอกเมือง วิ่งใน Motorway นี่แหล่ะ ล็อกความเร็วด้วย ACC เลยที่ 120 กม./ชม. ได้ระยะทางมา 30.2 กิโลเมตร ความเร็วเฉลี่ย 77 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้อัตราประหยัดมาอยู่ที่ 15.1 กิโลเมตร/ลิตร ถือว่าใช้ได้เลย

จบในส่วนของตัวเริ่มต้นอย่าง Honda Accord 1.5 TURBO EL ไปแล้ว ต่อมาเรามาลุยต่อกับ Honda Accord e:HEV 2.0 TECH กันต่อเลยดีกว่าครับ ถ้าเรามาดูรายละเอียดแล้ว ในตัว MY 2021 จะเปลี่ยนน้อยมาก ที่เพิ่มขึ้นมาก็แค่การเปลี่ยนชื่อจากเดิมที่ใช้คำว่า Hybrid ก็เป็นมาเป็น e:HEV แทนตามการ Re-Branding ใหม่ของทางฮอนด้าในรอบนี้ ดังนั้นตัวที่แปะด้านท้ายก็ย้อมเปลี่ยนไป รวมทั้งตัวอักษร H ที่แปะด้านหน้าและท้าย หรือที่เขาเรียกกันว่า Blue H-mark ที่จะมีขอบสีฟ้า ๆ อยู่รอบตัว H นั่นเอง และอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นมาก็คือระบบแอร์ที่เสริมคุณสมบัติในการฟอกอากาศแบบ Plasma Cluster เท่านั้น ที่เหลือคงเดิมทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว i-VTEC ผลิตกำลังได้ 145 แรงม้าที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 175 นิวตันเมตรที่ 3,500 รอบ ผสมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 184 แรงม้า แรงบิด 315 นิวตันเมตร แต่พอนำมา Combine กัน จะได้กำลังรวมสูงสุด 215 แรงม้า แพคมาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 1.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง วางไว้อยู่ที่ใต้เบาะคนนั่ง ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ E-CVT มีก้าน Paddle Shift ให้กดได้ แต่ไม่ได้เอาไว้เปลี่ยนเกียร์นะ แต่เอาไว้ปรับความหนืดของตัวรถ ที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) นั่นเอง

ภายนอกยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรจะอธิบายแล้วครับ มาทบทวนภายในกันเลยดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง เบาะก็เหมือนกันกับตัว 1.5 TURBO EL นั่นแหล่ะครับ แต่ดีกว่าตรงที่มีปุ่มอยู่ตรงข้างเบาะคนนั่ง ให้คนขับสามารถเลื่อนเบาะได้จากตรงนี้ จุดที่ต่างเพิ่มเติมก็คือตรงข้างคันเกียร์ จะมีปุ่ม EV เพิ่มเข้ามาเพื่อให้เราเลือกใช้งานในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ (วิ่งจริงได้ไม่ไกลหรอก แบตลูกเล็ก ได้แค่พอวิ่งออกไปปากซอยได้โดยไม่ให้เมียรู้) กับชุดเครื่องเสียงที่ใส่มาแบบจัดเต็มกับระบบเครื่องเสียงแบบ Premium Sound System พร้อม Sub-Woofer และลำโพงอีก 10 ตำแหน่ง โคตรอลัง มี Sun-Roof หลังคาเอาไว้เปิดรับแสงแดดและอากาศอันสุดสดใส (สยองเมื่อเปิดตอนกลางวันในเมืองช่วงรถติด) ที่ต่างต่อมาคือบนตัวท็อปรุ่นนี้มี Head-up Display เพื่อบอกข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้า และต่างอีกอย่างคือบนพวงมาลัยด้านขวา มีปุ่ม Multi-Function ที่เพิ่มตัวควบคุม HUD ขึ้นมาอีกตัว

ส่วนระบบความปลอดภัย บน 1.5 TURBO EL มีอะไร บน Honda Accord e:HEV  2.0 TECH ก็มีครบทุกอย่าง แต่จะมีเพิ่มเติมทั้ง

• ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (MVCS)
• ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอย (CTM)
• ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ พร้อมระบบช่วยเบรก(6)
• เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด
• เสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (AVAS)
• กระจกมองข้างลดการเกาะตัวของหยดน้ำ (Hydrophilic)
• ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (TPMS)

ป่ะ ข้อมูลครบแล้ว เรามาเริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่า เรื่องการขับขี่ โดยรวมส่วนใหญ่แลวใกล้เคียงกันกับ 1.5 TURBO EL เลย ต่างกันนิดเดียวก็ตรงเรื่องของช่วงล่าง ที่ผมรู้สึกว่า ทำไมตัวนี้มันดูแน่นกว่า ช่วงโดดสะพานยิ่งเห็นถึงความต่าง เอาเอาเองว่าน่าจะมาจากตัวแบตเตอรี่ ที่ติดตั้งอยู่ใต้เบาะคนนั่งด้านหลัง น่าจะเป็นตัวช่วยให้ช่วงล่างดูหนึบแน่นขึ้น ยังไม่รวมระบบ Hybrid ที่ใต้ฝากระโปรงหน้าอีกนะ ที่คงช่วยลดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง ถึงแม้ว่ารถจะแบกน้ำหนักเพิ่ม แต่ได้ความหนึบเพิ่มขึ้น ก็คุ้มอยู่นะ

สิ่งที่เพิ่มมาบน Honda Accord e:HEV 2.0 TECH ไม่ได้มีผลกับสมรรถนะเหมือนกัน แต่ตัวนึงมีผลต่อสุขภาพ ก็คือเครื่องปรับอากาศที่มีระบบฟอกอากาศ Plasma Cluster ช่วยให้อากาศในห้องโดยสารนั้นสะอาดมากขึ้น กรองไวรัสได้ กรองฝุ่น PM2.5 ได้ ขจัดเชื้อราได้อีกด้วย สะอาดสดชื่นกันทั้งคัน

เรื่องการตอบสนองของเครื่องยนต์ ก็ตามเดิมเลยครับ ตอบสนองดีตั้งแต่แตะคันเร่ง เพราะมอเตอร์ไฟฟ้าจะเริ่มทำงานก่อนในช่วงออกตัว ถ้าเรากดคันเร่งแรง เมื่อรถเริ่มลอยตัว เครื่องยนต์จะเข้ามาเริ่ม Support เพิ่มกำลังในการหมุนล้อ จะทำงานพร้อมกันหรือสลับการทำงาน ก็อยู่ที่เท้าของเราว่ากดแรง-เบาขนาดไหน ถ้าขับตามสไตล์ผู้ใหญ่ทั่วไป มอเตอร์ไฟ้าก็จะเป็นแกนนำในการหมุนล้อ แต้าถ้าเท้าหนัก จะเริ่มทำงานผสมผสานกันทันที เพื่อให้รถไปได้ตามใจคนขับต้องการ

ขออธิบายระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive กันอีกครั้งครับ โดยระบบนี้ มีจุดเด่นอยู่ 2 จุดคือ “อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยม” ด้วยการทำงานอันทรงประสิทธิภาพของมอเตอร์ 2 ตัว ด้วยการแบ่งการทำงานของมอเตอร์อิสระจากกัน ตัวแรกทำหน้าที่ในการไปหมุนตัวส่งกำลังเพื่อให้ไปหมุนล้ออีกที ส่วนอีกลูกจะทำหน้าที่ปั่นไฟฟ้าเพื่อส่งไปเก็บยังแบตเตอรี่ รอการใช้งานอีกที จุดที่ 2 คือ “ความสนุกสนานสไตล์ใหม่” ที่ได้จากการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น อัตราเร่ง และการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจนั่นเอง

โดยการ Set ระบบนี้ ทางวิศวกรของฮอนด้า ได้เคยอธิบายเอาไว้ว่า ถ้าเราขับขี่ด้วยโหมดปกติหรือ ECON รถจะเน้นการทำงานด้วยระบบ EV เป็นหลัก เพื่อให้ประหยัดน้ำมันมากที่สุด ถ้าไฟไม่พอ เครื่องยนต์จะติดขึ้นมา แล้วทำงานในรูปแบบ Series Hybrid เพื่อปั่นไฟไปส่งแบตเตอรี่ แล้วส่งไปหมุนมอเตอร์ไฟฟ้าอีกที แต่ถ้าต้องการกำลังมากกว่านั้น มอเตอร์ไฟฟ้ากับเครื่องยนต์จะช่วยกันหมุนล้อ เพิ่มกำลังให้สูงสุด อย่างเช่นช่วงขึ้นเขาหรือออกตัวแรง ๆ แบบนี้จะช่วยกัน แต่ถ้ากำลังไฟหมดหรืออยู่ในช่วงความเร็วที่มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานไม่ไหว เครื่องยนต์จะรับหน้าที่ไปหมุนล้ออย่างเดียว มอเตอร์ก็จะทำหน้าที่ปั่นไฟไปเก็บอย่างเดียว

น่าจะเข้าใจระบบการทำงานของ Honda Accord e:HEV 2.0 TECH กันแล้วนะครับ งั้นเรามาดูอัตราความประหยัดในการใช้งานกันก่อนเลยดีกว่า โดยผมใช้เส้นทางเดิมกับที่ทดสอบช่วงเช้า โดยรอบนี้ได้ระยะทางมา 27.5 กิโลเมตร ขับด้วยความเร็วเฉลี่ย 28 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้อัตราประหยัดมาที่ 17.8 กิโลเมตร/ลิตร ว้าวครับ อัตรานี้ดีกว่า Eco Car อย่าง Honda City เครื่อง 1.0 Turbo เพียบเลย

ต่อกันด้วยการขับนอกเมือง รูปแบบเดิมกับรอบเช้า ได้ระยะทางมาที่ 30 กิโลเมตรเป๊ะ ได้ความเร็วเฉลี่ยที่ 78 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ตัวเลขออกมาที่ 17.2 กิโลเมตร/ลิตร อาจมีคนตั้งคำถามว่า เอ้า ทำไมวิ่งทางไกลดันได้น้อยกว่าในเมือง ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า เวลาเราขับในเมือง ช่วงที่ต้องใช้เชื้อเพลิงมากที่สุด ก็คือช่วงรถจอดกับช่วงออกตัว ยิ่งรถติด ยิ่งจอดนาน ยิ่งออกตัวบ่อย การใช้น้ำมันก็จะมากขึ้นไปด้วยเป็นเงาตามตัว แต่ในรถยนต์ระบบ Hybrid จะช่วยลดภาระตรงนี้ไปได้มาก ทั้งการใช้มอเตอรืไฟฟ้าในการช่วยออกตัว ใช้กำลังไฟจากแบตเตอรี่เอาไว้ใช้งานช่วงรถติด ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่จะมีขนาดเล็กเพียง 1.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ก็พอที่จะจอดติดไฟแดงแบบเปิดแอร์เปิดเครื่องเสียงได้ในระดับ 10 นาทีโดยเครื่องยนต์ไม่ติดได้เลยนะ แต่การขับนอกเมืองมันอีกเรื่องหนึ่ง มอเตอร์ไฟฟ้าจะมาช่วยตรงนี้ได้น้อย เครื่องยนต์จะรับภาระหนักมากกว่า มอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยได้บางช่วงเท่านั้น ดังนั้นตัวเลขจึงออกมาแบบนี้ครับ

แล้วเราก็มาลองอัตราเร่ง 0-100 บน Honda Accord e:HEV 2.0 TECH กันหน่อยดีกว่า ตอนแรกก็ว่าฟ้าสว่างดีอยู่แล้ว แต่พอขยับมาเริ่มทดสอบ ฝนตกลงมาอีกแล้ว เอาวะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ มาแล้วก็ต้องทดสอบ ได้มา 3 รอบดังนี้ครับ

รอบที่ 1 - 8.50 วินาที

รอบที่ 2 - 8.96 วินาที

รอบที่ 3 - 8.65 วินาที

เฉลี่ย - 8.70 วินาที

เอ้ย อะไรกันนี่ อัตราการออกตัวแบบนี้คือเริ่ดมาก ขนาดช่วงทดสอบฝนตก มีจังหวะที่ Traction Control ทำงานอยู่บ้างด้วย ยังได้เวลาดีขนาดนี้เลย ถ้าลองถนนแห้ง ๆ น่าจะได้ดีกว่านี้อีกนะ

จบการทดสอบไปทั้ง 2 รุ่น รอบนี้ขอข้ามเรื่องชอบ-ไม่ชอบออกไปก่อนนะครับ เพราะขับแค่นี้ บอกยากมากว่าจะชอบหรือไม่ชอบอะไร ดูจะไม่ยุติธรรมต่อรถรุ่นนี้ เอาเป็นว่าถ้าได้ลองยาว ๆ กว่านี้ จะเอามาบอกอีกทีนะครับ

ถ้าถามว่าชอบรุ่นไหนกว่ากัน ตอบยากเลยนะครับ เพราะบุคลิกของเครื่องยนต์ต่างกันพอตัว เพราะถ้าช่วงต้น ระบบ Hybrid อย่าง Honda Accord e:HEV 2.0 TECH จะได้เปรียบเยอะมาก แต่ถ้าช่วงกลางหลัง 80 - 120 จะสูสีกัน แต่พอเริ่มหลุดหลังจากนี้ไป จนความเร็วสูงมาก ๆ เครื่อง 1.5 Turbo จะได้เปรียบมาก ถ้าให้ผมเลือกจากเครื่องยนต์ ผมจะเลือกตัว e:HEV นะ เพราะผมไม่ได้ขับเร็วอยู่แล้ว การได้การตอบสนองของเครื่องยนต์ในช่วงต้น กับอัตราประหยัดแบบนี้ คือรูปแบบการใช้งานรถในชีวิตประจำวันของผมเลย แต่ถ้าอยู่ในวัยรุ่น ผมก็คงเลือก 1.5 Turbo เพราะชอบแรงปลายได้ยาว ๆ

แต่ถ้ามามองเรื่องของราคาแล้ว Honda Accord 1.5 TURBO EL ตั้งราคารอบนี้แพงขึ้น 24,000 บาท เป็นราคา 1,499,000 บาท แต่เพิ่มอุปกรณ์มาเพียบ ผมมองว่าแค่เพิ่ม Honda Sensing มาชุดเดียวก็โคตรคุ้มแล้ว ส่วน Honda Accord e:HEV 2.0 TECH ราคาเดิมที่ 1,799,000 บาทก็จริง แต่ได้เพิ่มมาแค่แอร์ Plasma Cluster เท่านั้น (ตรา Blue H-Mark อย่าไปนับเลย ไม่ได้มีผลต่ออะไรทั้งสิ้น) ถ้าเป็นตัวเก่า ผมจะเชียร์ให้ขึ้นไปเล่นตัว Hybrid นะ จ่ายเพิ่ม 3 แสนกว่าบาทแต่อุปกรณ์กับระบบไฮบริดที่ได้มาก็คุ้มค่ามากนะ แต่พอมาเจอออพชั่นในโมเดลนี้เข้าไป ในราคาห่างกัน 3 แสนบาทเป๊ะ ๆ ก็ทำเอาตัดสินใจยากเหมือนกันนะ

ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02