Hands On : Toyota Hliux REVO Double Cab 2.4 J Plus A/T กระบะยุคใหม่..เพื่อเถ้าแก่รักความสบาย
- โดย : Autodeft
- 8 พ.ย. 61 00:00
- 55,573 อ่าน
ประเทศไทยมีการใช้รถกระบะตันครึ่ง มากที่สุดในโลก(ไม่นับบรวมอเมริกา)โดยใช้ทั้งการบรรทุกและการโดยสารในคันเดียว จึงมีบรรดาผู้ผลิตรถยนต์หลายค่าย พร้อมใจกันส่งรถกระบะลงแข่งขัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้รถ หนึ่งในนั้นมีค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นทำตลาดนั่นคือ Toyota
ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา Toyota ใช้ชื่อ Toyota Hilux ทำตลาดผ่านมาหลายเจเนอเรชั่นและล่าสุดกับ Toyota Hliux REVO กระบะเจเนอเรชั่นที่ 8 ที่ทำเปิดตัวตั้งแต่ปี 2558 จนมียอดขายสูงสุดมาตลอดและล่าสุดในปี 2561 ค่ายรถยนต์สามห่วงแห่ง เปิดตัวรุ่นปรับปรุงใหม่ หรือ MY2018 ออกทำตลาด ในการเปิดตัวรุ่นปรับปรุงใหม่ครั้งนี้ Toyota เอาใจเจ้าของธุรกิจ เจ้าของกิจการ เถ้าแก่ยุค 4.0 ด้วยการนำระบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ลงตลาดครบทุกตัวถังทั้ง ตอนเดียว, ตอนเดียวหัวกระสือ (ไม่มีกระบะท้าย), แค็บตอนครึ่ง Smart Cab และ 4 ประตู Double Cab เกรด J กับ J Plus ลงในระบบขับเคลื่อนสองล้อมาตรฐาน หรือเรียกกันว่ารุ่นตัวเตี้ยนั่นเอง
ทาง Toyota เลือกรุ่น 4 ประตู Double Cab 2.4 J Plus เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด มาให้ทดสอบขับ ตัวรถภายนอก เสริมความภูมิฐานด้วยกระจังหน้าแนวนอนสีดำเงาและโครเมี่ยมพร้อมโลโก้สามห่วง รับกับไฟหน้าตราเพชรแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ที่งานนี้ไม่มีระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ เหมือนรุ่นท็อป เข้มถึงใจกับกันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถเสริมหล่อกับการ์ดเสริมกันชนหน้าสีดำเทา ภูมิฐานอีกขั้นกับชุดแต่งโครเมี่ยมทั้งกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับ-พับด้วยไฟฟ้าที่จับประตูทั้ง 4 ด้าน และฝาเปิดกระบะท้าย ที่ไม่มีกันชนหลังติดตั้งจากโรงงาน ล้อที่ติดตั้งจากโรงงานเป็นล้อกระทะเหล็กสีดำ พร้อมฝาครอบล้อขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 215/65 R16 C
ขนาดของตัวรถในร่าง 4 ประตู เอาใจคนทำงาน และครอบครัวยุคใหม่ตั้งแต่ความยาว 5,290 มม. ความกว้าง 1,800 มม. ความสูง 1,700 มม. ฐานล้อ 3,085 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 164 มม. เนื้อที่กระบะภายใน ยาว 1,555 มม. กว้าง 1,540 มม. สูง 480 มม. และความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร
ภายในสมกับตามฐานะรุ่นรองที่เน้นการใช้งานจริง ห้องโดยสารโทนสีดำทั้งหมดมอบความดุดัน เข้มขรึม พร้อมเบาะนั่งคู่หน้าโอบกระชับด้านคนขับสามารถปรับสูง-ต่ำได้ ส่วนเบาะนั่งหลังดีไซน์แนวตรงอาจมีการเมื่อยล้าบ้างในการเดินทางไกลหุ้มด้วยวัสดุผ้าสีดำเข้ม การเปิดประตูเข้ามาผ่านการใช้งานของกุญแจรีโมทแบบพับเก็บได้ Jack Knife Key กับระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบกุญแจบิดผสานการทำงานของเซ็นทรัลล็อก แบบล็อกอัตโนมัติเมื่อรถเคลื่อนที่ในความเร็วที่กำหนดไว้ แผงคอนโซลหน้าดีไซน์เดิมพร้อมออพชั่นติดตั้งจากโรงงานทั้ง พวงมาลัยพาวเวอร์ 3 ก้านถึงไร้สวิตช์ควบคุมการทำงานของเครื่องเสียง แต่สามารถปรับระดับสูง-ต่ำและเข้า-ออกได้ 4 ทิศทาง ตามสรีระของผู้ขับขี่ มาตรวัดความเร็วกับรอบเครื่องยนต์ดีไซน์ใหญ่อ่านง่ายชัดเจน แต่ไม่มีฟังก์ชั่น MID แสดงข้อมูลการขับขี่บอกอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องเสียงเป็นแบบ CD 2 DIN เสียบ USB/AUX ทันสมัยด้วยเชื่อมต่อ Bluetooth รองรับสมาร์ทโฟนและเครื่องเล่นเพลงกับลำโพง 4 จุด ที่ให้เสียงไพเราะน่าฟัง ตลอดการเดินทางและเครื่องปรับอากาศแบบ Full Mode ระบบทิศทางลม 5 รูปแบบมอบความเย็นสบายทั้งคัน
หัวใจสำคัญของความแรงและความประหยัดน้ำมันอยู่ที่เครื่องยนต์ Toyota เลือกเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบแปรผัน GD Efficient Boost ขนาด 2.4 ลิตร รุ่น 2GD-FTV High-Power 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,000 รอบ/นาที โดยให้ค่า CO2 ถึง 189 กรัม/กิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองตามข้อมูลโรงงานทำได้ 14.1 กม./ลิตร ระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift +/- แต่ถ้าอยากขับมันส์ ขับสนุกยังมีรุ่นเกียร์ธรรมดาใหม่ 6 สปีด (แทนลูกเดิม 5 สปีด) ให้เลือก
เพื่อเพิ่มอรรถรสในการขับขี่เต็มรูปแบบ Toyota เลือกเส้นทางขอนแก่น – พิษณุโลก ระยะทางประมาณ 331 กิโลเมตรเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของสมรรถนะ งานนี้เน้นอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงหรือ Eco-Run นั่นเอง เริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินขอนแก่นไปยัง อ.ชุมแพ ผ่านทางหลวงหมาย 12 เป็นเส้นทางตรง 4 เลน ยาวๆ พลกำลังของเครื่อง 2.4 ลิตร 150 แรงม้า ให้การตอบสนอง ฉับไว คล่องตัว การเร่งเครื่องเพื่อเค้นกำลังมาแบบทันใจ โดยความเร็วที่ใช้ในการขับขี่จะอยู่ประมาณ 90-110 กม./ชม. และแรงบิดที่ต้องรักษารอบเครื่องยนต์ตามสเปคของโรงงานที่กำหนดไว้ และอีกหนึ่งจุดเด่นที่ยกย่องนั่นคือความเงียบในห้องโดยสาร กับการติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงที่หนา ทำให้การขับขี่เพลิดเพลิน ขับสบาย ฟังเพลงได้อย่างอารมณ์สุนทรีย์
และเมื่อเข้าสู่เส้นทาง จ.เพชรบูรณ์ ไปยังอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ผ่านเขาค้อ ที่เต็มไปด้วยเนินเขา เส้นทางคดเคี้ยวเต็มไปด้วยทางโค้งรูปแบบต่างๆและถูกบีบให้เหลือ 2 เลน งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับแรงบิดมหาศาลถึง 400 นิวตันเมตร ในรอบต่ำ ให้สมรรถนะการปีนไต่เนินเขา กระฉับกระเฉง ว่องไว มีแรงเหลือเฟือไม่แพ้ขับทางเรียบ และด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด กับอัตราทดเกียร์ดังนี้
อัตราทดเกียร์เครื่อง 2.4 ลิตร
เกียร์ 1 3.600
เกียร์ 2 2.090
เกียร์ 3 1.488
เกียร์ 4 1.000
เกียร์ 5 0.687
เกียร์ 6 0.580
เกียร์ถอยหลัง 3.732
อัตราทดเฟืองท้าย ต่อ 1 3.583
จะเห็นได้ว่าการทำงานของระบบเกียร์ลูกนี้ ให้การตอบสนองดี จังหวะการเปลี่ยนที่ต่อเนื่องไม่สะดุดส่งถ่ายกำลังได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงระบบ Sequential Shift เหมาะสำหรับการขับขี่ลงเขา หรือเร่งแซงในยามคับขัน พร้อมโหมดช่วยในการขับขี่ทั้ง Eco Mode และ Power Mode ตอบโจทย์ในการเดินทางไกลๆได้อย่างสบายๆ
ระบบช่วงล่างของกระบะแกร่งค่าย Toyota ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบ แหนบซ้อน แบบ DCS (Dynamic Control Suspension) ตลอดการขับขี่ระบบช่วงให้ความนุ่มนวล ผสมความหนึบ เกาะถนน ทรงตัวดีเยี่ยม เฉียบคมแม้ในเส้นทางเข้าโค้งในรูปแบบต่างๆ รวมถึงทางเรียบ ทำให้ผู้ขับขี่เชื่อมั่นในระบบช่วงล่างขั้นสุดยอดพร้อมระบบเบรกที่ให้ประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างฉับไว เมื่อเหยียบแป้นเบรกไป 30 % พร้อมเบรกหน้าเป็นดิสก์เบรกเป็นแบบครีบระบายความร้อน ขณะที่เบรกหลังเป็นดรัมเบรก พร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) เป็นออพชั่นมาตรฐาน
เมื่อเดินทางมาถึง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก โดยอยู่ที่ปั้ม ปตท. PAM Energy ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดการทดสอบ Eco Run โดยทาง Toyota เติมน้ำมันกลับเข้าให้เต็มถึงคอถังเพื่อหาอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถแต่ละรุ่นรวมถึงคันที่ผมขับ จากการขับขี่ทั้งวัน 292.9 กม. เติมกลับเข้าไป 12.512 ลิตร ได้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 23.40 กม./ลิตร ถือได้เลยว่าเป็นกระบะสองตอนตัวเตี้ย เกียร์อัตโนมัติ ที่ประหยัดไม่น้อยหน้ารุ่นเกียร์ธรรมดา
การเพิ่มทางเลือกด้วยรุ่นเกียร์อัตโนมัติในรุ่นกระบะตัวเตี้ย ครบทุกตัวถัง ถือเป็นการกลับมาทำตลาดอีกครั้ง หลังจากที่เงียบหายไปนาน งานนี้ Toyota ตั้งใจที่จะเจาะกลุ่มลูกค้าทุกประเภท ทุกอาชีพที่ยังมีความต้องการรถกระบะ แต่ยังอยากได้ความสบายเป็นทุนเดิม
โดยเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ซึ่งเป็นลูกเดียวกับเครื่องยนต์ดีเซลใหญ่ 2.8 ลิตร 177 แรงม้า กลับมอบสมรรถนะการขับขี่ดีเยี่ยม ตัดต่อกำลังแบบลื่นไห ประหยัดน้ำมัน เป็นเลิศ พร้อมออพชั่นที่ให้มาตามความเหมาะสมตรงการใช้งานเป็นจุดเด่นที่ทำให้เจ้าของกิจการ เจ้าของบริษัท ที่ต้องการซื้อเป็นจำนวนมาก หรือ Fleet และคนทั่วไปซื้อใช้งานส่วนตัว จับจองเป็นเจ้าของได้ในราคาที่น่าคบหา ถือว่า Toyota Hliux REVO Double Cab 2.4 J Plus A/T ตอบโจทย์การใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบในราคา 740,000 บาท
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถยนต์ Toyota Hilux REVO รุ่นปรับปรุงใหม่
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com