[Hands on] ทดสอบรถยนต์ Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 : แรงแบบเพียงพอ ในราคาที่ใช่
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 1 ก.ย. 60 00:00
- 41,510 อ่าน
ถอยหลังกลับไปเมื่อปี 2004 กับการเปิดตัวของรถยนต์เอนกประสงค์ SUV หรือ PPV รุ่นใหม่ Toyota Fortuner ที่ทำเอาฮือฮาไปทั้งวงการ เมื่อมียอดจองแบบถล่มทลาย จนถึงขั้นต้องรอรถกันข้ามปีเลยทีเดียว ซึ่งในโฉมนั้น เป็นการใช้เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร และเบนซิน 2.7 ลิตร ขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อแบบ Full-time ทำยอดขายดีมากแบบต่อเนื่องมาหลายปี
ลากยาวมาจนถึงปี 2015 ทางโตโยต้าจึงได้มีการเปลี่ยนโฉม Toyota Fortuner ซะใหม่ จัดการเปลี่ยนระบบการขับเคลื่อนซะใหม่ โดยไม่เป็นแบบ Full-time 4WD ทุกรุ่นแล้ว แต่มีให้เลือกเป็นออพชั่นว่า จะเอาเป็นแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ หรือ 4 ล้อก็ได้ และมีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งดีเซล 2.4 และ 2.8 ลิตร รวมทั้งเบนซิน 2.7 ลิตร แต่สำหรับรุ่นที่เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อ กลับมีให้เลือกเพียงรุ่นเดียวคือ 2.8V 4WD AT (ไม่รวมรุ่นชุดแต่ง Sportivo) ซึ่งบางคนก็มองว่า การจะขึ้นไปเล่นถึงเครื่อง 2.8 ก็จะดูเกินตัวไปหน่อย แต่ก็อยากจะได้รถไปลุยตามป่าเขาบ้าง เครื่อง 2.4 ก็ไม่มีแบบ 4WD ก็อาจจะลังเลอยู่ว่าจะเอายังไงดี
จนมาล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้ ทาง Toyota จึงได้เพิ่มรุ่นใหม่เพื่ออุดช่องว่างตรงนี้ ด้วยการปล่อย Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้าที่ไม่ต้องการความแรงขนาด 177 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร สามารถเลือกซื้อรุ่นนี้เพื่อเอาไปใช้งานขับชิวบ้างขับลุยบ้างอย่างลงตัว แถมยังมีการยกเครื่องเบรกหลังกันใหม่ยกชุดทั้งซีรี่ย์ จากเดิมที่เป็นดรัมเบรกให้เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อทุกรุ่นทุกราคาซะเลย งานนี้เล่นเอาบรรดาคนที่กำลังเลือกซื้อรถยนต์ใหม่กันอยู่ ตาลุกวาวกันเป็นแถบๆ
หลังการเปิดตัวไปได้ไม่นาน ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ให้เกียรติเชิญทางทีมงาน Autodeft เพื่อทำการร่วมทดสอบแบบกลุ่มรถยนต์ใหม่ Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เขาใหญ่ การทดสอบครั้งนี้ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะทำการทดสอบแบบ On road จากกรุงเทพฯมุ่งหน้าสู่เขาใหญ่ก่อน ส่วนกลุ่มที่ 2 ต้องนั่งรถตู้เพื่อมุ่งหน้าสู่ไร่ทองสมบูรณ์ จ. นครราชสีมา เพื่อทำการทดสอบการขับขี่แบบ Off road ซึ่งผมเองเป็นกลุ่มที่ 2 วันแรกจึงทำการไปทดสอบแบบลุยๆก่อน
ก่อนออกเดินทาง ทางคุณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้มาเล่าถึง Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 กันเล็กน้อย โดยนอกจากจะเป็นเครื่องยนต์รหัสเดิมคือ 2GD-FTV ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler ให้กำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ผ่านการส่งกำลังจากเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift ที่พวงมาลัย และที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาจากเดิมก็คือ ดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อนครบทั้ง 4 ล้อ บันไดข้าง กระจกไฟเลี้ยว และไฟเบรก ได้รับการออกแบบใหม่อย่างมีสไตล์ ให้ดูสปอร์ตมากขึ้น, ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED เพิ่มความสว่างมากขึ้น, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ให้ดูหรูหราและเพิ่มความสะดวกสบายได้มากกว่าเดิม ส่วนระบบความปลอดภัยก็ยังมีอย่างครบครันเช่นเคย ทั้ง ABS, EBD, BA, VSC, TRC, TSC, HAC, DAC
หลังจากได้รับรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว ก็เริ่มทำการทดสอบเลย โดยผมได้นั่งรถตู้เพื่อเดินทางไปยัง ไร่ทองสมบูรณ์ จ. นครราชสีมา เมื่อไปถึง ทางโตโยต้าได้จัดสนามเพื่อทำการทดสอบหลายสถานี ทั้งการได่ขึ้นทางลาดชันเพื่อทดสอบกำลังของเครื่องยนต์ระดับ 150 แรงม้า จะสามารถพารถขึ้นเนินได้อย่างไร ต้องบอกว่าตัวเนินที่ทดสอบ น่าจะอยู่ในระดับ 45 องศา สูงประมาณ 3-4 เมตร แต่การส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปสู่ล้อ ผ่านเกียร์แบบ 4L ให้แรงบิดจากเครื่องยนต์เป็นตัวทำงาน เพียงแตะคันเร่งให้รอบเครื่องอยู่พันนิดๆ รถก็ไต่ขึ้นไปถึงกลางเนินได้อย่างสบาย แต่ก่อนจะถึงยอด ก็ขอลองระบบ HAC หรือระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชันซักรอบ โดยแตะเบรกจนรถหยุด แล้วปล่อยเบรกเพื่อหันเท่าไปเหยียบที่คันเร่งใหม่ ตัวรถก็หยุดนิ่งสนิทไม่มีถอยหลังลงตามแรงโน้มถ่วง ก็ถือว่าทำงานได้ดีตามปกติ ส่วนขาลงเนินก็ทดสอบระบบ DAC หรือ ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน โดยปล่อยตัวรถให้ไหลลงตามแรงโน้มถ่วง ระบบจะทำการดึงตัวรถด้วยการทำงานของหม้อเบรก ABS ทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วต่ำ โดยที่เท้าเราไม่ต้องแตะเบรกเลย
สถานีต่อมาก็ลุยโคลนที่ออกจะเป็นน้ำซะเยอะหน่อย ความสูงก็จะประมาณครึ่งล้อได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร กำลังเครื่องยนต์เพียงพอที่จะนำรถวิ่งขึ้นออกจากบ่อได้อย่างสบาย ถึงแม้ยางจะเป็นตัว All Terrain ที่ติดมากับรถก็ตาม ไม่มีปัญหาลื่นหรือติดหล่มติดเลนให้เห็นแต่อย่างได
ต่อกันอีกด้วยสถานีทดสอบ A-TRC หรือระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบแอคทีฟ อันนี้ได้คุยกับพี่มนัส ดาวมณี ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายบริการด้านเทคนิค บอกว่าระบบนี้มันก็คือระบบ Traction Control System นั่นแหละ แต่มันจะทำการตรวจจับการหมุนของล้อได้เร็วกว่าระบบทั่วๆไป จึงได้ชื่อว่า A-TRC นั่นเอง โดยการทดสอบนี้มีให้เลือกลองได้ 2 แบบ ก็คือแบบเนินที่สูงประมาณ 30-50 ซม. สลับซ้ายขวา ระยะที่ห่างพอจะทำให้ล้อใดล้อหนึ่งลอยจากพื้นได้ทุกเนิน กับอีกข้างเป็นหลุมลึกประมาณ 30-50 ซม.เช่นกัน ตัวผมเองเลือกที่จะเลือกการลงหลุม เพราะรอบก่อนหน้านี่ที่เป็นคนนั่ง ได้ทำการลองผ่านเนินไปแล้ว เมื่อลงหลุมไปแล้วทั้งซ้ายและขวา โดยปล่อยให้รถวิ่งไปตามรอบเครื่องปกติ ราว 800-1,200 รอบ รู้สึกได้ว่ามีบางล้อลอยขึ้นจากพื้น แต่เป็นระยะเวลาแค่เสี้ยววินาที เพราะหลังจากนั้นรถก็วิ่งต่อไปได้ตามปกติ รู้ได้ทันทีว่าระบบ A-TRC ทำการจับล้อที่ลอยให้หยุด แล้วส่งกำลังมาหมุนล้อที่ติดพื้นแทน จนพารถผ่านสถานีทดสอบนี้ได้อย่างง่ายดาย
สถานีต่อมากับการทดสอบวิ่งบนทางลาดเอียง เท่าที่ดูก็น่าจะประมาณ 30 องศา โดยเริ่มเนินแรกจากการเอียงซ้ายก่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเอียงขวาในทันที เพื่อทดสอบระบบควบคุมการทรงตัว VSC จริงๆทาง Instructor บอกให้ผมค่อยๆเปลี่ยนจากขวาไปซ้ายเบาๆ แต่ด้วยความเพลินจึงเผลอหันพวงมาลัยกันเติมคันเร่งเยอะไปหน่อยทำให้ล้อหน้าซ้ายกับหลังขวายังคงอยู่บนเนิน แต่หน้าขวาได้ร่วงสู่ระดับพื้นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือหน้ารถทิ่มลงไป กำลังเครื่องตัดในฉับพลัน พร้อมกับเสียงของล้อหลังซ้ายที่ลอยฟ้าอยู่หยุดกึ๊กในทันที ก่อนที่รถผมจะค่อยๆหันพวงมาลัยใหม่แล้วค่อยๆพารถไต่เนินเพื่อให้รถเอียงเป็นปกติอีกรอบ ก็ถือว่าผ่านไปได้อย่างเสียวนิดหน่อย
หลังจากการทดสอบ Off road ทุกสถานีผ่านไป ต้องบอกว่า ระดับเครื่องยนต์ดีเซล 2.4 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร มันก็เพียงพอที่จะลุยได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ระดับเส้นทางบุกเบิกใหม่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนทั่วไปไปเยือนกันบ่อยอยู่แล้ว อย่างเช่น เขากระโจม, เขาพะเนินทุ่ง เป็นต้น ที่มีเส้นทาง Off road ในระดับปานกลาง กำลังเครื่องระดับนี้ก็ผ่านได้สบายๆ
วันต่อมาก็เริ่มทดสอบในเส้นทาง On Road กันบ้าง โดยผมได้เริ่มเส้นทางกับตัว 2.8V 4WD AT ก่อน ใช้เส้นทางเขาใหญ่-วังน้ำเขียว ก่อนจะเข้าสู่เส้นปักธงชัย เพื่อให้รู้ถึงสัมผัสของตัว Top ของ Toyota Fortuner ซะก่อน ก่อนจะเปลี่ยนรถขึ้นมาขับตัวใหม่ Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 เมื่อมาถึงครึ่งทาง ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่า เพราะหลังจากเริ่มขับได้ประมาณ 2-3 กิโลเมตรแรก มันรู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลของช่วงล่างที่มีมากกว่าตัว 2.8 ทั้งที่สอบถามจากพี่มนัสที่ดูแลเรื่อง Part ต่างๆของโตโยต้าแล้วว่า ช่วงล่างของ 2.8 และ 2.8 ใช้ตัวเดียวกัน
ส่วนกำลังเครื่องเองเอาจริงๆก็ไม่ได้ขี้เหร่ อัตราเร่งตอนออกตัวก็ไม่ได้แตกต่างกันซักเท่าไหร่กับตัวท็อป แต่หลังหลุดไปที่ความเร็ว 120 กม./ชม.แล้ว ถ้ากดคันเร่งเฆี่ยนเพื่อจะไต่ความเร็วให้มากกว่านี้ อาจจะดูอืดกว่าตัว 2.8 อยู่ประมาณนึง แต่ก็ไต่ไปได้ยันระดับ 160 กม./ชม. ถึงแม้จะดูเหนื่อยหน่อยก็ตาม (ยังไปได้อีก แต่เพื่อความปลอดภัยจึงพอแค่นี้) ส่วนเบรกที่มีการยกชุดด้านหลังใหม่จากดรัมเป็นดิสก์ เอาจริงๆการใช้งานทั่วๆไปก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างกับตัวเดิมซักเท่าไหร่ เพราะระยะเบรกก็ดูจะใกล้เคียงกัน ความนุ่มนวลในการเบรกก็พอๆกัน มีแค่เพียงว่า เมื่อมีดิสก์เบรกหลัง ทำให้รู้สึกว่าตัวเบรกจับเร็วกว่าที่เป็นดรัมเบรกอยู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง การเปลี่ยนเบรกครั้งนี้จึงมีผลทางด้านอารมณ์มากกว่า
สรุปภาพโดยรวมของ Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 รถยนต์ใหม่ 2017 คันนี้ หลังจากการทดสอบ 2 วันทั้งสภาพถนนแบบ Off road และ On road ต้องบอกว่ามันเป็นรถที่ดีที่น่าสนใจรุ่นนึงเลยทีเดียว กำลังเครื่องเพียงพอกับการใช้งานทุกรูปแบบที่คนทั่วๆไปใช้งานกัน เหมาะสำหรับคนที่มีครอบครัว ที่ต้องการพาคู่รักและตัวน้อยๆไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆที่อยากไป บุกป่าฝ่าดงได้ในระดับหนึ่งโดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรเพิ่ม อุปกรณ์ความสะดวกสบายในรถก็มีมาให้ครบครัน ที่ชอบที่สุดในความคิดของผมตั้งนานแล้วก็คือ ปลั๊กไฟแบบกระแสสลับ AC 220V เหมือนไฟบ้าน มันสามารถใช้ชาร์จโน๊ตบุ๊คได้อย่างสบาย จริงๆอยากให้มันมีอยู่ตรงส่วนหน้าเพิ่มอีกอันด้วยซ้ำ จะได้ไม่ต้องเอื้อมมือไปเสียบเวลาที่ขับรถอยู่
ค่าตัวของ Toyota Fortuner 2.4V 4WD Sigma4 อยู่ที่ 1,499,000 บาท ถูกกว่าตัว Top ที่มีการปรับราคาใหม่เป็น 1,649,000 บาท ถ้าคุณอยากได้รถยนต์เอนกประสงค์ที่สามารถพาคนที่คุณรักไปได้ทุกที่ และเป็นคนที่ไม่ได้เร่งรีบอะไร ไม่ต้องการความกระโชกโฮกฮาก นั่งสบาย ปลอดภัยด้วยระบบต่างๆมากมาย รถยนต์คันนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ในราคาที่เหมาะสม แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นใจร้อนอยากได้ช่วงปลายแรง ก็คงต้องขยับไปเล่นตัว 2.8 แทนได้เลยครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย Earthpark02
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com