Hands On : MG ZS อเนกประสงค์สุดสมาร์ท..ขวัญใจคนเมืองกับค่าตัวไม่เกิน 8 แสน
- โดย : Autodeft
- 24 พ.ย. 60 00:00
- 86,205 อ่าน
หลังจากที่ MG ค่ายรถยนต์สายพันธุ์ยุโรปหันมาเอาดีกับตลาดรถอเนกประสงค์ ปูทางด้วยรุ่น MG GS SUV รุ่นแรกของค่าย จนผู้ใช้รถชาวไทยยอมรับในสมรรถนะ ความเร้าใจจากเครื่องยนต์ Turbo ทั้ง 1.5 กับ 2.0 ลิตร เทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย กลายเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ทำให้ MG ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในตลาดรถเมืองไทย
ทำให้ MG (Morris Garages) เล็งเห็นถึงความต้องการของผู้ใช้รถชาวไทยที่อยากได้ SUV ขนาดเล็กกว่ารุ่น GS แต่ต้องคล่องตัว ใช้งานง่ายสะดวกสบาย เทคโนโลยีเทียบเท่ารถหรูพรีเมี่ยมแต่ค่าตัวยอมเยา คบหาได้ จึงเป็นที่มาของการแนะนำรถ SUV ลำดับที่สองของค่ายในชื่อ MG ZS ในร่าง Sub Compact SUV (B-SUV) 5 ประตู โดยเมืองไทยเป็นประเทศที่สองต่อจากจีน เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
Sub Compact SUV ลูกครึ่งอังกฤษ-จีนรายนี้ ภายนอกหล่อเหลาด้วยดีไซน์ทันสมัยแบบฉบับ Brit Dynamic มาพร้อมกระจังหน้าดีไซน์เอกลักษณ์ใหม่ของ MG ให้ความรู้สึกหรูหราแบบเดียวกับรถหรูพรีเมี่ยม Jaguar ลงตัวกับไฟหน้ารถแบบ Projector พร้อม ไฟส่องสว่างขณะขับขี่กลางวัน Daytime ในโคมเดียวกันรับกับกันชนหน้าดีไซน์ดุแบบสีทูโทน กับไฟตัดหมอกหน้า
ด้านข้างโฉบเฉี่ยวด้วยกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว ขอบโครเมี่ยมที่กระจกผสมให้ตัวรถเสริมหรูขึ้นทันตา ในรุ่นท็อปสุด X จะได้ล้ออัลลอย 5ก้านสีทูโทนขนาด 17 นิ้ว ส่วนยางต้องขอชื่นชมเพราะเลือกใช้ยางยี่ห้อ Yokohama advan db ขนาด 215/50 R17 มาให้จากโรงงาน เปิดประสบการณ์ที่กว้างกว่าด้วยหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา มอบความรู้สึกโปร่งสบายกว่าด้วยพื้นที่ซันรูฟมีขนาดมากถึง 90 % ของพื้นที่หลังคา และราวหลังเอาใจคนชอบขนของ ด้านท้ายโดดเด่นด้วยฝาท้ายดีไซน์เดียวกับรถยุโรปแห่งเยอรมัน พร้อมโลโก้ MG ขนาดใหญที่กลายที่เปิดฝาท้ายในตัว ไฟท้าย LED Tube เสริมด้านหลังดูดียิ่งขึ้น ไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED อีกทั้งยังได้ติดตั้งไฟตัดหมอกหลังไว้ในกันชนหลังดีไซน์ดุแบบสีทูโทนปลอดภัยขึ้นด้วย กล้องมองหลัง กับเซนเซอร์กะระยะถอยหลัง ติดมาให้
มิติตัวรถ Sub Compact SUV ค่าย เอ็มจี ใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกับคู่แข่งระดับดาวค้างฟ้า เริ่มจากความยาว 4,314 มม. ความกว้าง 1,809 มม. ความสูง 1,624 มม. มีระยะฐานล้อยาว 2,585 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 165 มม. น้ำหนักรถ 1,258 กก. และความจุถังน้ำมัน 48 ลิตร โดยเมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้งรุ่น HR-V และ CX-3 พบว่า MG ZS ได้เปรียบในเรื่องความยาว กว้าง สูงของตัวรถ แต่ฐานล้อพบว่าสั้นกว่า HR-V เพียง 25 มม.แต่ยาวกว่า CX-3 เพียง 15 มม. น้ำหนักรถพบว่าน้อยกว่า HR-V เพียง 34 กก. น้อยกว่า CX-3 เพียง 52 กก. และระยะต่ำสุดจากพื้น ต่ำกว่า HR-V เพียง 20 มม. แต่สูงกว่า CX-3 เพียง 5 มม.
ภายในโดยเฉพาะรุ่นท็อป X ของ MG ZS ให้ข้าวของเทียบชั้นรถยุโรประดับหรู ประกอบด้วยการใช้โทนสีทูโทนดำน้ำตาลช่วยให้ห้องโดยสารดูเข้มผสมกับความสดใส ทั้งแผงคอนโซลหน้าที่มีช่องแอร์สไตล์เจ็ท เทอร์ไบน์ กลมๆ แผงประตู และ เบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์ทั้งหมด เบาะนั่งคนขับโอบกระชับสบายไม่เมื่อยล้าในการเดินทางไกลๆ แต่ปรับสูง-ต่ำได้ 6 ทิศทาง ธรรมดาไร้ไฟฟ้าและเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง เบาะนั่งด้านหลัง มีพื้นที่เหลือเฟือมากและสบาย ไม่ว่าจะ Legroom และ Headroom แถมพับแยกส่วนได้ 60:40 เพิ่มพื้นที่จัดเก็บสัมภาระ
มาตรวัดความเร็วและรอบเครื่องยนต์อ่านง่ายชัดเจน พร้อมจอแสดงข้อมูล MID พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้านทรงท้ายตัดหุ้มวัสดุหนังที่จับกระชับควบคุมการทำงานอย่างมั่นใจ พร้อมสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงกับการทำงานของมาตรวัด บนพวงมาลัย แต่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control กลับให้มาเป็นก้านอยู่ในตำแหน่งใต้ก้านสวิตช์ไฟเลี้ยวด้านซ้ายมือ สร้างความลำบากในการใช้งาน อย่างที่สุดพอๆกับรุ่นพี่ในค่าย MG GS คอนโซลกลางติดตั้งหน้าจอสัมผัสสีขนาดใหญ่ 8 นิ้ว เชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ USB วิทยุ และระบบนำทาง มอบความบันเทิงด้วยลำโพง 6 ตัว ต่ำลงมาเป็นระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล มอบความบันเทิงด้วยลำโพง 6 ตัว พร้อมปุ่ม Push Start สะดวกในการสตาร์ทรถง่าย และ กุญแจรีโมทอัจฉริยะ Keyles Entry
สิ่งที่ MG ภูมิใจนำเสนอและเป็นครั้งแรกในโลกที่สามารถสั่งการทำงานได้ด้วยภาษาไทย ในชื่อว่า i-SMART โดยสามารถสั่งเปิด-ปิด ปรับเพิ่ม-ลด การทำงานทั้งหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา กระจกไฟฟ้าคู่หน้า เครื่องปรับอากาศ และเพลงที่เสียบจาก USB เพียงแค่พูดคำว่า Hello MG โดยช่วงแรกอาจมีรายการทะเลาะตบตีกับมันเพราะยังงงๆอยู่ แต่นานๆไปกลับเข้าใจการทำงานมากขึ้น
ขุมพลัง MG ZS เวอร์ชั่นเมืองไทย เลือกใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร ขนาดเดียว แต่ว่ากันว่ายกชุดมากจากรุ่น MG 3 กับ MG 5 ภายใต้รหัส I5S4C 4 สูบ 16 วาล์ว พัฒนาให้มีเรี่ยวแรงรวมถึงการทำงานของกล่อง ECU ให้ฉับไวขึ้นเป็น 114 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที รองรับเชื้อเพลิงสูงสุด E85 ให้ค่า CO2 ต่ำเพียง 144 กรัม/กม. โดยอัตราสิ้นเปลืองตามข้อมูลโรงงานทำได้ 16.1 กม./ลิตร
รุ่นนี้มีเพียงรุ่นขับสองล้อหน้าเท่านั้น และระบบส่งกำลัง สำหรับคนที่กำลังตัดสินใจซื้อ คิดว่าจะใช้แบบคลัตช์คู่ TST – Twin Clutch Sportronic เหมือนรุ่นพี่ MG GS หรือกึ่งอัตโนมัติแบบ Selematci เหมือน MG 3 บอกได้เลยว่าคุณคิดผิด เพราะใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ พร้อม Manual Mode +/- นั่นเองและเป็นรุ่นที่สองของค่ายต่อจากรุ่น MG 5 ที่ใช้ระบบนี้
เพื่อตอบโจทย์การใช้งานให้เหมาะกับคนยุคใหม่ ทาง เอ็มจี ใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง (ต.แหลมแม่พิมพ์ อ.แกลง) กับระยะทาง 600 กิโลเมตร ที่เต็มไปด้วยถนน 4 เลน มีทางลาดชันบ่อยๆ ก่อนที่จะขับรุ่นนี้ทำใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าขับแล้วมันต้องอืดไม่ปรู๊ดปร๊าดเป็นอย่างมาก แต่ความจริงก็คือความจริง มันอืดในตอนเร่งแซง กับขับในช่วงความเร็วกลางๆ 60-90 กม./ชม. แต่พอความเร็วสูงๆตั้งแต่ 100 กม./ชม.เป็นต้นไปไหลลื่นสบายๆ กระฉับกระเฉงพอสมควรจึงเหมาะกับคนที่มีความพอเพียง ไม่รีบร้อน รีบเร่ง ใช้ชีวิตสบายๆ ส่วนการเก็บเสียงทำผลงานได้ดีเยี่ยมแต่พอความเร็วสูงๆตั้งแต่ 120 กม./ชม. เป็นต้นไป กลับมีเสียงลมปะทะนิดนึง แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟังเพลงและพูดคุยสนทนา
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ถึงคนที่คิดจะซื้อรุ่นนี้อาจมีความลังเลจนต้องชะลอการซื้อว่าทำไมให้มาน้อยจัง ทั้งๆคู่แข่งพิกัดเดียวกันให้ทั้ง แบบ 6 สปีด แบบ CVT เป็นต้น แต่ทาง MG เคลมว่าระบบเกียร์ 4 สปีด ที่มีความทนทานบำรุงรักษาง่าย จึงเลือกมาประจำการลงใน Sub Compact SUV น้องใหม่ การทำงานสร้างความประทับใจในเรื่องการตัดต่อกำลังแบบราบรื่น ฉับไวและไม่กระตุก ในยามอยู่ในโหมดเกียร์ D แถมมี Manual Mode +/- ไว้ใช้สำหรับขึ้น-ลงทางลาดชัน หรือ เร่งแซงในบางจังหวะก็ตาม
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และแบบทอร์ชั่นบีมสำหรับด้านหลัง ขอบอกเลยว่าช่วงหลังนี้ MG พัฒนาช่วงล่างได้ถูกจริตคนไทยเป็นอย่างมาก ให้ความนุ่มนวลตลอดการเดินทางแม้สภาพเส้นทางจะราบเรียบหรือมีหลุมบ่อ ขุรขระสลับกันไป ถ้าคนชอบความนุ่ม ยิ่งญาติพี่น้องเป็นที่ถูกใจแน่แท้ อีกจุดหนึ่งที่น่ายกย่องนั่นระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า EPS ที่สามารถปรับน้ำหนักของพวงมาลัยได้ถึง 3 รูปแบบตามความชอบของผู้ขับขี่ ทั้งแบบในเมือง, มาตรฐาน และ Sport โดยงานนี้ขอเลือกโหมดมาตรฐาน ตลอดทั้งการขับขี่ 600 กม. นั้น ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในด้านนำหนัก ตั้งแต่ช่วงความเร็วต่ำๆ กลางๆ น้ำหนักจะเบาพอสมควรซึ่งเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่พอเข้าความเร็วสูงกลับให้น้ำหนักที่ดี คมทุกโค้ง ทำให้มั่นใจได้เลยว่าเจ้า Sub Compact SUV รุ่นนี้ อยู่ในอันดับต้นๆในเรื่องการควบคุมรถแบบหาตัวจับยาก
ระบบห้ามล้อสำหรับค่ายรถยนต์ เอ็มจี ให้มาหมดทั้งระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก EBA ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบความปลอดภัยที่คอยประสานทำงานกันเป็นหนึ่งเดียว หรือ SYNCHRONIZE PROTECTION SYSTEM ที่มีทั้งหมด 9 ฟังก์ชั่น แต่เอาเข้าจริง เวลาเหยียบเบรก จะออกอาการเบรกลึกซึ่งอาจจะกล่าวได้เลยว่าจะเป็นเอกลักษณ์ที่ตกทอดมาจากรุ่นพี่ MG GS แต่ระยะการเหยียบเบรกจะลึกราวๆ 30 % แต่มันจะเริ่มหยุดเมื่อเราเหยียบไป 40 % ซึ่งงานนี้ต้องเรียนรู้การกระยะรถคันหน้าเพื่อเบรกให้ทัน มิฉะนั้น อาจเกิดเหตุการณ์เบรกกะทันหันไปชนรถคันหน้าก็เป็นได้
นับเป็นความโชคดีของ MG ที่นำ Smart SUV รุ่นล่ากับค่าตัวไม่เกิน 8 แสน มาถูกช่วงถูกเวลา พร้อมออพชั่นที่ให้มาชนิดเทหน้าตักกันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วแบบทูโทนพร้อมยางของดีจาก Yokohama เครื่องเล่นจอสัมผัส 8 ขนาด สั่งการควบคุมการใช้งานของด้วยเสียงภาษาไทย ห้องโดยสารด้านหลังที่สบายกว่า ช่วงล่างการควบคุมระดับขั้นเทพ นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมาทันที
เพียงแต่ถ้ารับได้ในเรื่องพละกำลังของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่มีเรี่ยวแรงพอสมควร ระบบเกียร์ที่มองแล้วอาจโบราณไปหน่อยและเรื่องเบรกที่อาจไม่ทันใจเสียเท่าไหร่ เท่านี้ คุณเองก็มีความสุขกับการได้เป็นเจ้าของ Smart SUV ที่ตรงจุดการใช้งานสำหรับคนเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ กับ MG ZS ในราคาดังนี้
- รุ่น 1.5 C ราคา 679,000 บาท
- รุ่น 1.5 D ราคา 729,000 บาท
- รุ่น 1.5 X ราคา 789,000 บาท (รุ่นที่ทดสอบ)
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถยนต์ New MG ZS
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com