Hands On : MG GS 2.0 TX AWD Sport SUV สายพันธุ์อังกฤษ…แรงไม่แคร์สื่อ

  • โดย : Autodeft
  • 16 พ.ค. 59 00:00
  • 15,099 อ่าน

ตลาดรถ Compact SUV ในเมืองไทย นอกจากผู้เล่นเจ้าประจำที่ยืนหยัดทำตลาดแล้ว ยังมีเหล่าผู้เล่นหน้าใหม่ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เล็กๆจากญี่ปุ่น หรือ แบรนด์จากอังกฤษ อย่าง MG (Morris Garages) ที่ไม่เคยทำตลาดรถประเภทนี้มาก่อนจึงขอร่วมชิงเค้กก้อนนี้ด้วยการแนะนำ SUV หน้าใหม่ภายใต้ชื่อ MG GS นั่นเอง

MG GS

MG GS Sport Compact SUV 5 ที่นั่ง เปิดตัวครั้งแรกที่เมืองจีนในงาน Shanghai Auto Show เมื่อปีกลาย และไทยเป็นประเทศที่สอง โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559 ด้วยความแรงจากพลัง Turbo พร้อมพกเทคโนโลยีตามแบบฉบับ Brit Dynamic แถมได้เสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทยจนเป็นแรงผลักดันให้รถ MG ทุกรุ่น รวมถึง MG GS กวาดยองจองรวมสูงสุดในงาน Bangkok Motor Show 2016 ถึง 1,035 คัน

MG GS

เมื่อมายืนตรงหน้า Sport Compact SUV จากเมืองผู้ดี ขัดเกลา ดีไซน์ให้สมบูรณ์แบบตามคอนเซปต์ Diamond Flow Design เน้นความสปอร์ต ปราดเปรียว ที่ ศูนย์ออกแบบรถยนต์ UK Technical Centre ณ เมืองเบอร์มิงแฮม ด้วยกระจังหน้าดีไซน์ทรงเรียว พร้อมโลโก้ MG ขนาดใหญ่ เอกลักษณ์เฉพาะตัว สอดรับกับไฟหน้า Projector HID  คมเข้มอย่างดุดันด้วยกันชนหน้าสีทูโทนพร้อมไฟส่อสว่างเวลากลางวัน DRL ล้ำสมัยด้วยกรอบไฟตัดหมอกทรงเหลี่ยมสอดรับกับคิ้วขอบล้อ และคิ้วชายล่างเพิ่มความบึกบึน

เพิ่มอารมณ์สุนทรีย์ด้วย หลังคารถสีดำพร้อม Sunroof ปรับทั้งสไลด์เลื่อน และกระดกขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า ราวหลังคาช่วยอำนวยความสะดวกในการขนสัมภาระ เสาอากาศครีบฉลามแบบ Shark Fin เสริมเสน่ห์ เติมความเฉียบคม ด้วยไฟท้าย LED ให้ความสว่างชัดเจน พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 แตกต่างอย่างมีสไตล์ด้วยปลายท่อไอเสียคู่ ทรง 4 เหลี่ยม ติดตั้งกล้องมองหลัง เพื่ออำนวนความสะดวกในการถอยจอด โดยทำงานร่วมกับ สัญญาณ Parking Sensor และล้ออัลลอยดีไซน์ Diamond Cut สีทูโทน ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/50 R18

MG GS

มิติตัวรถ MG GS 2.0 TX  AWD มีมิติตัวรถตั้งแต่ ความยาว 4,500  มม. ความกว้าง 1,855  มม. ความสูง 1,699 มม. ระยะฐานล้อ 2,650 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 185 มม.น้ำหนักรถโดยประมาณ 1,642 กก. และความจุถังน้ำมัน 55 ลิตร

MG GS

MG GS

เป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับรถยุคใหม่ กับการสั่งล็อค-ปลดล็อคประตูรถด้วยกุญแจรีโมทอัจฉริยะ Keyles Entry เพียงกดปุ่มเล็กๆที่ก้านเปิดประตูก็สามารถสั่งล็อค ปลดล็อคได้ เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโดยสาร พบกับความเข้ม ถึงใจ ด้วย โทนสีดำ ด้วยเบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุหนังพรีเมี่ยม เสียดายตรงที่ อยากให้เดินด้ายสีแดงเพราะช่วยให้ตัวเบาะมีสีสันและช่วยบ่งบอกความสปอร์ตมากขึ้น

แต่ MG ใจดีให้เบาะคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้าเป็นมาตรฐานโดยฝั่งคนขับปรับได้ 6 ทิศทาง และคนนั่งปรับได้ 4 ทิศทาง น่าแปลกใจที่โครงเบาะคู่หน้าออกแบบขนาดใหญ่ ให้ความสบายไม่เมื่อยล้าในการเดินทางไกลๆ เทียบเท่ากับคู่แข่งระดับหัวะทิ เบาะนั่งตอน 2 สามารถพับแยกอิสระได้แบบ 2 ส่วน 60:40 รวมถึงที่พักแขนและที่มีที่วางแก้วน้ำในตัว จุดเด่นที่สามารถเรียกความสนใจได้คือ เบาะหลังที่สามารถปรับเอนได้ ถึง 14 องศาเมื่อผนวกกับ Headroom และ Legroom ขนาดใหญ่ รวมถึงช่องแอร์ด้านหลัง ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น 

MG GS

แผงหน้าปัดสีดำดีไซน์เน้นเหลี่ยมคมแบบโมเดิร์นสลับกับเส้นสายโค้งมน ตกแต่งด้วยวัสดุ สีดำเงา แบบ Piano Black ตกแต่งแผงช่องแอร์ กับที่เปิดประตู ด้วยวัสดุสีเงิน ตัดกับสีดำได้อย่างลงตัว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น 3 ก้าน หุ้มหนัง ดีไซน์ใกล้เคียงกับ MG 5 และยังปรับสูง-ต่ำกับปรับยืดหดได้ 4 ทิศทาง พร้อมปุ่ม Push Start สะดวกในการสตาร์ทรถง่าย

โดยฝั่งซ้ายมือของพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นวงนี้ เป็นสวิตช์ควบคุมการทำงาน ชุดเครื่องเสียง แต่ด้านขวามือกลับไร้ปุ่มสวิตช์ จุดเสียเจ้า Sport Compact SUV นั่นคือ สวิตช์ควบคุมความเร็ว Cruise Control กลับให้มาเป็นก้านอยู่ในตำแหน่งใต้ก้านสวิตช์ไฟเลี้ยวด้านซ้ายมือ สร้างความลำบากในการใช้งาน อย่างที่สุด คอนโซลกลางเพิ่มความบันเทิงด้วยเครื่องเล่นวิทยุ แบบจอทัชสกรีน 8 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง รองรับมัลติมีเดียและการเชื่อมต่อไร้สาย ส่งผ่านเสียงเพลงอันไพเราะด้วยลำโพง 8 ตัว ยังมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยกล้องมองหลัง

MG GS

MG GS

ถัดลงมาเป็นแผงสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงกับเครื่องปรับอากาศ คราวนี้ MG GS 2.0 TX  AWD จับมารวมในแผงเดียวกัน โดยช่วงแรกนั้นอาจเกิดความมึนงงไปบ้างในการใช้งาน และไม่ด้อยกว่าใครด้วยแอร์หลังงานนี้ เอาใจคนรักสบาย โดยเฉพาะ เบรกมือไฟฟ้า EPB – Electronic Parking Brake หลังคอนโซลเกียร์ เพียงแค่ดึงสวิตซ์เข้าเพื่อเปิดใช้งานเบรกมือ และดึงอีกครั้งเพื่อปลดการใช้งาน

อีกหนึ่งฟังก์ชั่นเอื้อประโยชน์ผู้ขับขี่ คงหนีไม่พ้นระบบ Inka Net ระบบเทคโนโลยีสื่อสารอัจฉริยะ คอยแจ้งเตือนทุกสิ่งทุกอย่างเกียวกับตัวรถแบบสดๆ ผ่านมือถือ สมาร์ทโฟน ไม่วาจะเป็น ตรวจสอบสถานะของรถยนต์, การแจ้งอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง, การเตือนความผิดปกติของตัวรถ, ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์, การควบคุมการทำงานของรถยนต์, การตรวจวิเคราะห์รถยนต์

นอกจากนี้ Inka Net เพิ่มฟังก์ชั่นเอาใจคนติดสมาร์ทโฟน ผ่านการทำงานบนหน้าจอเครื่องเสียง 8 นิ้วด้วย การโทรออก-รับสาย, การรับ-ส่งข้อความ, การแชร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สาย, ระบบการนำทางรถยนต์ Navigation, การวางแผนการเดินทางเพื่อกันเรื่องรถติดกับหลงทาง และ ระบบเลขาฯส่วนตัว จาการใช้งานเบื้องต้น ต้องบอกเลย ว่า มีประโยชน์จริงๆ เสมือนเป็นคู่หู ที่คอยเตือนตลอดเวลา ในยามที่เราหลงลืม ไปชั่วขณะ

MG GS

ขุมพลัง MG GS 2.0 TX  AWD เป็นเจ้าเดียวในกลุ่ม Compact SUV ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินTurbo มอบทั้งความแรงจัดจ้าน ด้วยขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบ รหัส 20L4E มากสุด 218 แรงม้า ที่ 5,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 2,500 – 4,000 รอบต่อนาที รองรับเชื้อเพลิง E85 จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติคลัชต์คู่ 6 สปีด และระบบขับสี่ AWD

MG GS

ตลอดเส้นทางกว่า 600 กิโลเมตร จาก โรงแรม อิสทิน แกรนด์ สาทร (กรุงเทพฯ) – อ.กรุยบุรี (ประจวบคีรีขันธ์) ทั้งไป- กลับ บอกได้เลยว่า ค่อนข้างสมราคาคุย เพราะกำลัง 218 แรงม้า กับการเซ็ตบูสต์ Turbo เพียง 0.9 บอนด์/ตารางนิ้ว สร้างความประทับใจในการขับขี่ ถึงแม้ว่า ช่วงเร่งแซง หรือ คิ๊กดาวน์ จะมีอาการรอรอบประมาณ 2 วินาที เพื่อบูสท์กำลังให้แรงฉับไว ในโหมดเกียร์ D แต่ถ้าอยากทันใจจริงๆควรเข้ามาโหมด S อย่างเดียว โดยแผงมาตรวัดจะเปลี่ยนสี จากขาวเป็นแดงทันที ส่วนการเก็บเสียง นั้น ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี พอความเร็วย่าน 100 กม./ชม. เป็นต้นไป จะมีเสียงลมเล็ดลอดเข้ามาบ้าง อัตราการสิ้นเปลือง ทั้งไปและกลับ สารภาพตรงๆเลยว่า เราเหยียบคันเร่งค่อนข้างหนักไปหน่อย เพื่อ เค้นกำลังผลออกมากลับทำได้เฉลี่ย 8-9 กม./ลิตร ซึ่งถือว่าพอรับได้ สำหรับ เครื่องเบนซิน Turbo ที่พกความแรง ระดับ 218 แรงม้า

MG GS

ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติคลัชต์คู่ TST – Twin Clutch Sportronic Transmission 6 สปีด มีความแปลกกว่าชาวบ้านตรงที่การทำงานระบบคลัชต์คู่นั้น  คลัตช์ตัวแรก จะจับเกียร์ 1-4 ส่วนคลัตช์ตัวที่สองนั้นจะจับเกียร์ 5-6 นอกจากนี้ ยังมี Paddle Shift หลังพวงมาลัย ในการใช้งานจริง ถ้าจะเข้าโหมด ชิฟเปลี่ยนเกียร์ที่หลังพวงมาลัยโดยตรงนั้น ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะมันไม่สามารทำงานได้  ฉะนั้นต้องเข้า โหมด S และชิฟ +/- ได้ อย่างเดียว  แต่ถ้าต้องการกลับเข้าโหมด S อย่างเดียว ต้องผลักมาที่เกียร์ D แล้วกลับเข้า โหมด S เช่นเดิม การทำงานของระบบเกียร์คลัชต์คู่ลูกนี้ ค่อนข้างราบรื่นในการเปลี่ยนเกียร์แต่ละสปีด แต่ถ้าหากใช้งาน Engine Brake ในช่วงลงเขาบอกได้เลยว่า เมื่อผลักลงมาเกียร์ต่ำ กำลังดึงจากเครื่องค่อนข้างน้อย จีงอยากให้เน้นในเรื่องนี้ หน่อยนะครับ

MG GS

MG GS

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ของ MG GS 2.0 TX เป็นลักษณะ AWD เมื่อเกิดการลื่นไถลในล้อหน้า ระบบไฟฟ้า พร้อมตัวล็อคเฟืองท้ายจะส่งกำลังไปยังล้อหลัง (แบบ 50 : 50) เพื่อให้ตัวรถสามารถฝ่าอุปสรรคได้อย่างโล่งใจ โล่งคอ และยังมีปุ่มล็อคการทำงาน ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเช่นกัน ในกรณีผู้ขับขี่รู้สภาพเส้นทาง แล้วไม่ต้องรอให้ระบบทำงานอัตโนมัติก็สามารถกดปุ่มได้เลย

MG GS

ช่วงล่าง MG GS 2.0 TX AWD เป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง สำหรับด้านหน้าและแบบอิสระมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง สำหรับด้านหลัง บนเส้นทางรวมกว่า 600 กิโลเมตร ให้ความสมูทนุ่มนวล บนเส้นทางเรียบ พอเข้าถนนมีหลุมมีบ่อ กลับมีอาการสะเทือนบ้าง ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์แบบพวงมาลัยไฟฟ้า EPS น้ำหนักพวงมาลัยอยู่ในระดับกลางๆในช่วงทุกช่วงความเร็ว

ระบบเบรกใช้ดิกส์เบรก 4 ล้อ พร้อม  ABS EBA และสารพัดระบบที่เกียวข้องทั้ง - ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC – Curve Brake Control ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH – Auto Vehicle Holdระบบทำความสะอาดจานเบรกอัจฉริยะ BDC - Intelligent Brake Disc Cleaning ระบบเพิ่มแรงดันไฮดรอลิคเบรกให้เหมาะสม OHBV – Optimized Hydraulic Brake Servo  ถึงแม้จะมีระบบเบรกและตัวช่วยขั้นเทพแต่การใช้งานจริง เบรกลึกหยุดรถไม่ค่อยทันใจ เพราะขนาดเหยียบแป้นเบรกไปแล้ว 50 % ตัวรถออกอาการลื่นเกือบหวิดไปชนคันหน้า ต้องเหยียบถึง 60 % ถึงจะหยุด

การเข้าสู่ตลาด Compact SUV อย่างเป็นทางการทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการตัดสินใจมากขึ้น ความใหม่กว่าสดกว่าในด้านรูปโฉมนวลพรรณ MG GS 2.0 TX AWD ได้เปรียบที่สุด ซึ่งเหมาะใช้ทั้งในเมืองและนอกเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ จุดเด่น ทั้งเบาะหลังปรับเอนได้ 14 องศา  ระบบการสื่อสาร Inka Net รวมถึง เครื่องเบนซิน Turbo 218 แรงม้า สามารถเรียกคะแนนความสนใจ ให้สาวก SUV ขึ้นมาเป็นกอง ด้านอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้เฉลี่ย 8-9 กม./ลิตร ถือว่า เพียงพอแล้วสำหรับเครื่องขนาดนี้ และค่าตัวที่ถูกว่า จึงเป็นเรื่องที่สาวกตัดสินใจ ซื้อ MG GS 2.0 TX AWD ได้ง่ายขึ้น

MG GS

 

เรื่องและขับทดสอบโดย สุกิจ เลิศธนะแสงธรรม (นายเต้ย)

 

ขอบคุณ บริษัท เอ็มจี เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน  Autodeft.com เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถยนต์ New MG GS

 

รถทดสอบ New MG GS 2.0TX AWD ราคา 1,310,000 บาท

 

 

สิ่งที่ชอบ >>> ผู้เล่นหน้าใหม่มอบรูปลักษณ์เด่นสง่าสไตล์อังกฤษ  พร้อมความสบายจากเบาะนั่งตอน 2 ปรับเอนได้ เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร ค่อนข้างกระฉับกระเฉงในช่วงเดินทางไกล

สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ช่วงคิ๊กดาวน์อาจสร้างความอึดอัดให้กับผู้ขับขี่ เพราะรอรอบราว 2 วินาที  Engine Brake ดึงกำลังน้อยไปหน่อย ระบบเบรกไม่หยุดตามใจสั่งแถมลึก และ Cruise Control กลับอยู่ในตำแหน่งมุมอับสายตา จนไม่สามารถเปิดใช้งานได้

สิ่งที่อยากให้มี >>> เพิ่มระบบม่านนิรภัยในรุ่นท็อป AWD  

คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ  >>> ถ้าอยากได้ความโดดเด่นจากพลัง Turbo 218 แรงม้า โดยไม่แคร์ในเรื่องความสิ้นเปลืองน้ำมัน และค่าตัวที่ถูกกว่า MG GS 2.0TX AWD ตอบโจทย์แฟนๆ ที่มีหัวใจในเรื่องความแรงตั้งแต่เกิด

MG GS

 

ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com 

 

 

 

 

5 เรื่องน่าสนใจ