Hands On : Mercedes-Benz Plug-In Hybrid...รวมพลไฮบริดเสียบปลั๊ก ค่ายหรูตราดาว

  • โดย : Autodeft
  • 30 พ.ค. 60 00:00
  • 14,504 อ่าน

ตั้งแต่ทาง Mercedes-Benz หันมาให้ความสนใจในเรื่องการขับขี่รักษาสิ่งแวดล้อม รถยนต์หรูจากเยอรมันก็กลายเป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์หรูที่ครบครันนวัตกรรมการขับขี่ มันอาจจะไม่ได้ล้ำสมัยในเรื่องระบบความปลอดภัย หรือลูกเล่นมากมายเหมือนค่ายรถยนต์รายอื่น หากการมุ่งเน้นที่การขับขี่โดยตรง โดยเฉพาะการแนะนำระบบไฮบริดเสียบปลั้กเข้าทำตลาดในราคาไม่ไกลเกินเอื้อม ก็ทำให้มันมีความน่าสนใจ

Mercedes-Benz

ในปีนี้นอกจากการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้าทำตลาดแล้ว ทางค่ายดาวสามแฉกยังขับเคลื่อนแบรนด์ไปสู่ทิศทางใหม่ โดยเฉพาะการครองตำแหน่งเจ้ารถยนต์ Plug-In Hybrid อันล้ำสมัย ทิ้งห่างคู่แข่งด้วยรถยนต์ครบทุกไลน์อัพสินค้า และมากที่สุดในตลาดวันนี้ บนเส้นทางกรุงทพฯ-พังงา 3 วัน 2 คืน ทาง Mercedes-Benz ให้เราเต็มอิ่มกับรถยนต์ Plug-In Hybrid ทุกรุ่น ภายใต้แบรนด์ “EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz” แม้ว่าบางรุ่นอาจจะเคยผ่านมือมาตั้งแต่เมื่อปีกลาย แต่การกลับมาขับพวกมันอีกครั้งก็ตอบอะไรได้หลายอย่างในเรื่องการใช้งาน

Mercedes-Benz

Mercedes-Benz S500e

แม้ว่าการขับครั้งนี้เราจะนั่งในรถนานเป็นวันๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความจะมีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวการใช้งานของมันมากมายนัก เนื่องจากเป็นขับเพื่อใช้ในการเดินทางมากกว่า โดยวันแรกผมและทีมงานเว็บไซต์ Auto-Thailand.com และ ทีมงานนิตยสาร What Car จับฉลากได้ตัวหรู Mercedes-Benz S500e ที่สุดซีดานหรูเสียบปลั๊กในชั่วโมงที่ไม่มีใครทัดเทียม

ตัวรถรุ่นนี้มองเผินๆ ก็คือ S-Class ที่สุดอัครซีดานของค่ายเยอรมันตราดาว พวกเขาสร้างสรรค์รถยนต์ S-Class สำหรับบุคคลสำคัญ มันเป็นรถที่เหมาะสำหรับผู้บริหารตัวจริง ด้วยความยาวกว่า 5,246 มม. เปิดประตูเข้าห้องโดยสารเสริมลุคความทันสมัยมาพร้อม ออพชั่นต่างๆเพื่อความสบายเพียบ มันอาจจะไม่ใช่รถที่เหมาะที่คุณจะขับเองนัก เพราะจะรู้สึกดีกว่าถ้าเปลี่ยนไปเป็นคนนั่งหลัง ที่พรั่งพร้อมด้วยที่สุดของความสบายในการขับขี่

Mercedes-Benz

ใต้เรือนร่าง Mercedes-Benz S500e จุติเรื่องพละกำลังการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบชาร์จคู่ ให้กำลังจากเครื่องยนต์ 333 แรงม้า และทำแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ 116 แรงม้า และทำแรงบิดสูงในรอบต่ำได้ 340 นิวตันเมตรร่างใหญ่สุดหรูคันนี้เห็นแบบนี้อย่าดูถูกมันเชียว มันสามารถเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ได้ในเวลา 5.2 วินาที จนรถสปอร์ตพละกำลังน้องกว่า 300 แรงม้า ถ้าคิดจะเปรี้ยวเฟี้ยวกับเจ้าหรูคันนี้ .. มีเซ็งอย่างแน่นอน

Mercedes-Benz

Mercedes-Benz

กำลังเหลือล้นสวมบทโหดได้ ได้รถหรูทั้งทีใครจะขับ ผมกับนัทตัดสินใจนั่งสบายในการเดินทางยาวไปถึงหัวหิน โดยพี่ทีมงาน Auto-Thailand ขับให้พวกเราเคลิ้มๆ ไปตลอดทาง ช่วงล่างของ Mercedes-Benz S500e ใช้ชุดช่วงล่างถุงลม AIRMATIC นั่งสบายมากมาย ผ่านหลุมบ่อก็นิ่มนวลประดุจปุยเมฆ นับเป็นเรื่องที่คุณไม่เจอบ่อยนักในรถยนต์ทั่วๆไป

ขับมาถึงปลายทางด้วยความเร็วปกติ เรารู้สึกว่ายังไม่เหนื่อยล้าอะไรมากมายนักด้วยความสบายของการโดยสารใน S-Class แต่ระหว่างทางก็ทำให้เราแปลกใจด้วยอัตราประหยัด 11 ก.ม./ลิตร ในเจ้ายักษ์ใหญ่คันนี้ ซึ่งก็ถือว่าประหยัดมากๆ

Mercedes-Benz

Mercedes-Benz E350e

ก่อนไปขับขบวนรถหรูเสียบปลั๊กเพียงวันเดียว ทาง Mercedes-Benz จัดงานแนะนำ EQ – Electric Intelligence ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าเป็นซับแบรนด์ของทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในอนาคต ที่มุ่งเน้นในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ Plug-In Hybrid โดยเฉพาะ ภายในงานนอกจากจะเปิดตัวแบรนดืใหม่แล้ว ยังเป็นการประกาศความสำเร็จในการเปิดตัวรถยนต์ Mercedes-Benz E350e น้องใหม่ล่าสุดซีดานกลางเสียบปลั๊ก หลังจากลูกค้าเรียกร้องและรอกันมานาน

น่าจะเรียกว่าเพียงปีเดียว นับจากที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ วางจำหน่ายรถยนต์ Mercedes-Benz E220d มาปีนี้ทางบริษัทฯจัดการ เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดตัวรุ่นไฮบริดเสียบปลั๊กเข้าทำตลาด โดยนอกจากนวัตกรรมที่น่าสนใจมากขึ้นแล้ว ราคายังถูกลงกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ทาง Mercedes-Benz ตัดใจยกเลิกรถรุ่นเดิมเครื่องยนต์ดีเซลที่วางจำหน่ายออกไป

Mercedes-Benz

Mercedes-Benz E350e เห็นหน้าตาต้องยอมรับว่ามันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นปกติดั้งเดิม ตัวรถยังคงความหรูหราเอาไว้อย่างเหนียวแน่น มันเป็นการออกแบบที่ดีที่สุดของ Mercedes-Benz ในเวลานี้ แต่เห็นหน้าตาที่ดูธรรมดาๆ แบบนี้อัดฟังชั่นไว้แน่นเอี้ยด ทั้งระบบไฟหน้าปรับการส่องสว่างไม่ให้รบกวนสายตาเพื่อนร่วมทาง รวมถึงในรถรุ่นเสียบปลั้ก ลูกค้าจะมีโอกาสใช้ระบบ Distance Distronic สามารถเซทความเร็วในระหว่างการเดินทาง และระยะเว้นห่างจากรถคันหน้า โดยรถจะควบคุมความเร็วเร้งและเบรกให้เองโดยอัตโนมัติ

การขับรถลงแดนใต้นอกจากเส้นทางที่ยาวไกลแล้ว ฝนยังเป็นอีกอุปสรรคสำคัญตั้งแต่เริ่มออกจาโรงแรงที่หัวหิน พระอินทร์ก็เทฝนลงมาอย่างชุ่มฉ่ำตลอดการเดินทาง ตอนแรกผมนั่งที่ฝั่งคนนั่งหน้า สิ่งที่ผมไม่เคยชอบเลยในรถยนต์ E-Class ปัจจุบัน คือท่านั่งตอนหน้า ทาง Mercedes-Benz ทำพื้นที่โดยสารตอนหน้าประหลาดเหมือนคุณจะรู้นั่งเขย่งขาตลอดเวลา คุณไม่มีโอกาสจะเหยียดขายืดยาวให้สบาย

ฝนปอยๆ ผมได้โอกาสสลับกับพี่ทีมงาน Auto-Thailand ลองขับ Mercedes-Benz E350e ดูบ้าง เมื่อมานั่งหลังพวงมาลัย สิ่งต่างๆ ที่คุ้นเคยจากที่เคยสัมผัสในรุ่น E220d เครื่องดีเซล กลับมาอีกครั้ง ชุดจอภาพขนาดใหญ่ยาว คล้าย iPhone 10 ที่ผมพูดจาขำๆ จากอารมณ์นึกถึง Forward Mail เมื่อนานมาแล้วรวมถึงเบาะนั่งต่างๆทุกอย่างมันคือองค์ประกอบของ E220d เครื่องดีเซล เดิม

Mercedes-Benz

สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใต้ร่างสุดหรู Mercedes-Benz E350e ผันมาใช้ระบบขับเคลื่อนเดียวกับรุ่น C350e มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทร์โบชาร์จ ให้กำลัง 211 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเทียบเท่ากำลังเครื่องยนต์ 88 แรงม้า ทำแรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ยังคงมาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด สามารถเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ได้ในเวลา 6.2 วินาที ตามที่ทางบริษัทเปิดเผยกับเรา

ป้ายคันเร่งลงไป Mercedes-Benz E350e เริ่มความบันเทิงด้วยอัตราเร่งเร้าใจ แม้ว่าจะนั่ง 3 คน พร้อมสัมภาระภายในรถ เรายังได้ตัวเลขวัดขำๆ จาก GPS ได้ 7 วินาที

อัตราเร่งของ Mercedes-Benz E350e หากเทียบกับรุ่น C350e ที่เคยผ่านมือเมื่อปีกลาย เจ้าชายกลางคันนี้อาจจะเร่งอืดกว่าเจ้า C350e อยู่พอสมควร เนื่องจากขนาดรถที่มีความใหญ่กว่าอย่างชัดเจน ทำให้น้ำหนักตัวรถมากกว่าเมื่อเปรียบกัน แต่สิ่งทีได้กลับมาก็มีดีกว่าหลายอย่าง ตั้งแต่ความมั่นใจในการขับขี่ ด้วยช่วงฐานล้อและช่วงความกว้างระหว่างล้อที่ยาวมากกว่า ช่วยให้รถมีการทรงตัวที่ดีเกาะถนนดี ขับแล้วมั่นใจแม้ว่าจะต้องมาขับกลางฝนที่ตกตลอดวันในแดนใต้วันนี้ ในที่ตอนที่ฝนตกตลอดวันระหว่างเส้นทางในการขับขี่ทำให้ยังอาจจะบอกอะไรในน้องใหม่คันนี้ไม่ได้มากมายนัก แต่เรื่องฟังชั่นการใช้งาน ทั้งหมดค่อนข้างคล้ายกับในรุ่นดีเซลที่จำหน่ายก่อนหน้า

Mercedes-Benz

ถ้าเทียบกับรุ่น E220d ผมกลับรู้สึกว่าการตอบสนองดีกว่า โดยเฉพาะความคล่องตัวในการเปลี่ยนเลน การตอบสนองจากอัตราเร่ง ที่ดีกว่าอาจจะด้วยกำลังแรงบิดจากเครื่องยนต์ดีเซล แถมช่วงท้ายยังไม่ต้องแบกแบตเตอร์รี่พ้วงมาด้วยอีกลูก ซึ่งแม้ว่า การวางแบตเตอร์รี่ไว้ที่ท้ายรถ จะช่วยให้รถเข้าโค้งตอบสนองได้ดีขึ้นก็จริง เนื่องจากสามารถสมดุลในเรื่องการกระจายน้ำหนัก ทว่าเมื่อเทียบกับท้ายรถที่เบาคุมง่ายๆ แล้ว มันก็มีความรู้สึกที่แตกต่างเช่นกัน

แต่หากเทียบระหว่าง Mercedes-Benz C350e และ E350e แล้ว ผมคิดว่ารุ่น C350e ดูจะน่าสนใจกว่า แต่ถ้าเอาความหรูตัวจริงรุ่น E350e ได้ลุคความภูมิฐานมากกว่า

Mercedes-Benz

Mercedes-Benz GLE500e

กินข้าวเที่ยงเสร็จที่บ้านสวนนายดำ ก็ได้เวลาเปลี่ยนไปสู่รถคันใหม่ จับฉลากงวดนี้ลุ้นอยากได้กุญแจของ Mercedes-Benz GLE500e เจ้าอเนกประสงค์เสียบปลั๊กรุ่นใหญ่ ที่ผมเรียกว่า “747” แห่งท้องถนน เมื่อปีกลายผมลงแดนใต้ได้สนุกสนานอย่างเต็มอิ่ม มันเป็นรถที่มีความทรงพลังอย่างมาก จนสามารถฉีกรถแต่งบ้านๆ หรือรถสปอร์ตที่มีกำลังไม่เกิน 400 แรงม้า ชนะใสๆ ได้อย่างขาดลอย

Mercedes-Benz GLE500e จึงเป็นรถที่ใครขับก็ต้องชอบ แต่ที่งานนี้อยากได้ เพราะความคุ้นมือ และเดี่ยวหลังจากแวะพักกินกาแฟ เราก็จะมีการแข่งขันจับอัตราประหยัดด้วย ซึ่งผมอยากได้รถที่คุ้นมือมาเป็นคู่ใจ

เมื่อออกจากร้านอาหาร Mercedes-Benz GLE500e ยังคงความเจ๋งของระบบ Plug-IN Hybrid ซึ่งสามารถเลือกได้ 4 โหมดสำคัญ คือ Hybrid, E Save ประหยัดพลังงานแบตเตอร์รี่, E Mode และ Charge ป้อนไฟเข้าแบตเตอร์รี่เตรียมพร้อมไว้ใช้ ระหว่างทางผมลองขับด้วยโหมดไฟฟล้วนดูเพื่อทดสอบหาประสิทธิภาพในความประหยัดที่สุด พบว่าที่ความเร็ว 140 ก.ม./ช.ม. รถก็ยังสามารถใช้โหมดไฟฟ้าได้ แต่ยิ่งขับเร็วแบตเตอร์รี่ก็ยิ่งหมดเร็วตามไปด้วย จึงจับรถชาร์จไฟกลับเติมแบตเตอร์รี่ให้เต็ม ก่อนเข้าสู่ช่วงการแข่งขัน

Mercedes-Benz

เสน้ทางเซาท์เทิร์นซีบอร์ดตัดจากสุราษฏร์ธานีผ่านป่าสวนยางแดนใต้ ไปโผล่แถวกระบี่เป็นเส้นทางที่เหมาะมาก เรามีเวลา 1 ชั่วโมงกับปลายทางที่ไม่บอกระยะทางที่ไม่แน่ชัด เป็นเส้นชัย หลายคนอาจจะมีคำถามว่ารถยนต์ Plug-In Hybrid มันประหยัดกว่ารถยนต์ Hybrid ธรรดมาตรงไหน ??

ความแตกต่างของรถไฮบริดที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟบ้านได้ อยู่ที่การใช้ไฟฟ้าได้เยอะกว่ารถยนต์ไฮบริดทั่วไป ซึ่งในบรรดารถยนต์ภายใต้แบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz ทุกคัน เมื่อชาร์จไฟจนเต็ม (ใช้เวลาชาร์จ 3-4 ชั่วโมง) จะสามารถวิ่งได้ระยะทางทั้งสิ้น 30 กิโลเมตร แต่อาจจะได้น้อยกว่านี้ ถ้าคุณขับด้วยความเร็ว ยิ่งเร็วแบตเตอร์รี่ก็ยิ่งถูกใช้ไฟฟ้ามากเป็นเรื่องธรรมดา

ผมออกตัวด้วยการขับโหมด Hybrid!! ธรรมดาก่อน จนเลี้ยวเข้าช่วง Southern Seaboard จึงกลับมาใช้ E Mode หรือ โหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า, เมื่อใช้โหมดนี้รถจะทำการใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่เป็นสำคัญ และขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า มันเป็นสัมผัสเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า อนาคตการขับขี่ที่เราน่าจะมีโอกาสได้ใช้กัน อย่างที่ผมกล่าว รถคันผมนั่ง 3 คน พร้อมสัมภาระ ผมจัดการตั้งความเร็วไปที่ 110 ก.ม./ช.ม. แล้วล็อกความเร็วเอาไว้ โดยสาเหตุที่ใช้ความเร็วค่อนข้างสูงทั้งที่เป็นการขับประหยัด เนื่องจากเครื่องยนต์แบบ 6 สูบ มีแรงเสียดทานมากจุดที่จะเอาชนะแรงเสียทานและเหมาะสม คือการใช้ความเร็วในระดับหนึ่ง ซึ่งจากที่เคยผ่านมือรถเครื่อง 6 สูบ มากช่วงความเร็ว 105-110 ก.ม./ช.ม.เป็นช่วงที่เหมาะสม

ผมใช้เวลาช่วงแรกไปกับการขับขี่ E Mode แต่เนื่องด้วยเส้นทางเป็นแบบขึ้นลงเขาต่อเนื่องทำให้ แบตเตอร์รี่ถูกใช้งานมากกว่าปกติ เพราะรถต้องเร่งเพื่อขึ้นทางชัน แม้ว่ามอเตอร์ไฟเจะมีกำลังแรงบิดมากพอจะแบกน้ำหนักรถทั้งคัน แต่เมื่อใช้ความเร็วระดับนี้ขึ้นทางชันบ่อยครั้ง สัก 20 ก.ม. แบตเตอร์รี่ที่เคยมีเต็ม สามารถขับได้ 30ก.ม.ก็เหลือใช้ได้เพียง 12 ก.ม.

เส้นทางขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ผมจึงปรับมาใช้ในโหมด Hybrid ในการขับขี่แทน เนื่องจากกำลังจากเครื่องยนต์สามารถช่วยในการขึ้นเขาได้พอสมควร โดยระหว่างทาง ฝนก็เทกระหน่ำมาต่อเนื่อง ทำให้เราล่าช้ากว่าเวลาที่ทางทีมงานกำหนดเล็กน้อย เนื่องจากฝนตกหนักมาก ผมจึงตัดสินใจว่า จะขอใช้แบตเตอร์รี่อีกครั้ง ช่วง 30 ก.ม. สุดท้าย เพื่อทำเวลาคืนมาจากการล่าช้าของเรา ผมปรับไปที่โหมดชาร์จ เพื่อเดินเครื่องยนต์ชาร์จไฟเข้าแบตเตอร์รี่ แล้วเพิ่มความเร็วในระดับหนึ่งเพื่อร่นระยะทางและทำเวลา เพราะยังไง การใช้ความเร็วสูง มอเตอร์ไฟฟ้าจะเข้ามาช่วยแค่ช่วงจังหวะเร่งแซงเท่านั้น ผมใช้ความเร็วมาจนกระทั่งถึงช่วง 20 ก.ม.สุดท้าย จึงกลับมาใช้โหมดไฟฟ้า ขับยาว เอาจนหมดเกลี้ยงแบตเตอร์รี่ สรุปอัตราประหยัดได้ 10.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือราวๆ 9.9 ก.ม./ลิตร มันอาจจะดูไม่ประหยัดนักก็จริง แต่คุณกำลังพูดถึงรถน้ำหนัก เฉียด 3 ตัน ที่กำลัง 400 แรงม้า

Mercedes-Benz

EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz ความประหยัดที่เลือกได้

ผมถึงที่หมายปลายทางวันนี้ เราตีไม้เดียวจากหัวหินสู่กระบี่ และได้ทดลองรถยนต์ Mercedes-Benz ไฮบริดเสียบปลั๊กหลายรุ่น ตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนรุ่นใหญ่ แม้ว่าหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นในการขับรถที่มีความไฮเทคด้วยเทคโนโลยีไฮบริดเสียบปลั๊ก หลายคนกังวล เมื่อเทียบกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล แต่เทคโนโลยีไฮบริดเสียบปลั๊ก นับว่าเป็นของจริงทางด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและความประหยัดในการขับขี่ที่เห็นผลได้ทันที ยิ่งใครใช้รถในเมืองบ่อยๆ เห็นได้เลยว่า

การเสียบปลั๊กชาร์จที่มีระยะทางอย่างน้อย 30 กิโลเมตร มากพอจะตอบสนองในการเดินทางได้ และถ้าคุณเข้าไปในเมืองไปเดินห้าง ปัจจุบัน ก็มีสถานีชาร์จไฟฟ้าบริการฟรี ให้สำหรับลูกค้า Mercedes-Benz เช่นที่เซ็นทรัลเวิล์ด เป็นต้น หรือจะเอาเต้าเสียบไปหาจุดชาร์จที่ออฟฟิศก็ได้ ประหยัดค่าน้ำมันไปได้มากโข

รถยนต์ไฮบริดเสียบปลั๊กในวันนี้ ไม่แพงอีกต่อไป ราคาของมัน ถูกปรับให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ย่างตระกูล Mercedes-Benz มีราคาเริ่มต้น 2.5 ล้าน ในรุ่น C350e มันค่อนข้างคุ้มค่าที่จะจ่ายเมื่อเทียบกับความประหยัดที่ได้มา ซึ่งวันนี้คุณจะแค่ซื้อรถยนต์หรูดูดีทำไม ถ้ามีรถหรูดูดีที่ประหยัดน้ำมันในการขับขี่และจ่ายเพิ่มเพียงไม่กี่บาท ก็ได้เทคโนดลยีอนาคต ที่พร้อมให้สัมผัสแล้วในวันนี้

Mercedes-Benz

 

เรื่องและขับทดสอบโดย ณัฐยศ ชูบรรจง

ขอขอบคุณ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เชิญทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมกิจกรรมทดสอบรถยนต์ Plug-In Hybrid ภายใต้แบรนด์ EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz

 

 

 

ติดตามเรื่องราว ข่าวสาร และความรู้ รถยนต์ได้กับพวกเรา ได้ที่  www.Autodeft.com 

หรือผ่านทาง   Fanpage Facebook กดไลค์และ  Follow   ได้ที่   www.facebook.com/autodeft 

ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com

5 เรื่องน่าสนใจ