Hands On: Honda CR-V ใหม่ อเนกประสงค์เรือธง ขับสบายสุขุมมีพลัง ผสานความเป็นยุโรปในตัว
- โดย : รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ
- 30 พ.ค. 60 00:00
- 24,046 อ่าน
หนึ่งในอเนกประสงค์ยอดนิยมของคนไทย ที่ต่างรู้จักกันในนาม Honda CR-V กับการเดินทางมาจนถึงเจเนอเรชั่นที่ 5 ที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงต้นปี 2017 ที่ผ่านมา นำเสนอความแตกต่าง พร้อมทั้งรูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่หมด รวมไปถึงการเปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบครั้งแรกจากฮอนด้าในประเทศไทย และล่าสุดกับทีมงาน Autodeft.com ที่ได้สัมผัสการขับขี่จริงบนเส้นทาง ภูเก็ต-พังงา
โอกาสอันดีที่ทาง บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จํากัด ได้เชิญทีมงาน Autodeft.com เข้าร่วมสัมผัสอเนกประสงค์เรือธงรุ่นล่าสุด Honda CR-V ใหม่ บนเส้นทาง ภูเก็ต-พังงา ที่ส่วนใหญ่ของเส้นทางเป็นถนนเลนสวน มีทางโค้งไปมาตลอดช่วงของการขับขี่ รวมไปถึงเส้นทางขึ้นเขาลงเขา รวมระยะทางกว่า 270 กิโลเมตร โดยทีมงานได้ขับทดสอบทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบที่ถูกแนะนำเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
แรกเห็นกับรูปลักษณ์ดีไซน์ Honda CR-V โฉมใหม่ล่าสุดนี้ ภาพรวมของตัวรถดูบึกบึนกว่าที่ผ่านมาอย่างชัดเจน กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูแบบ Honda’s Solid Wing Grille design เชื่อมต่อกับไฟหน้า LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน (Daytime Running Light – DRL) ได้อย่างลงตัว กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ เส้นสายตลอดตัวแรงดูแข็งแกร่งคล้ายคนมีกล้ามเป็นมัดๆ ด้านท้ายมาพร้อมไฟท้ายดีไซน์รูปตัว L-shaped LED พร้อม ล้ออัลลอยสีทูโทน ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/60/R18 และ 17 นิ้ว พร้อมยาง 235/65 R17 ในแต่ละรุ่น และสำหรับรุ่นท็อปสุดของแต่ละเครื่องยนต์เพียงสังเกตจากด้านหน้าจากตำแหน่งของไฟตัดหมอก หากเป็นไฟ LED แล้ว นั้นคือรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล และฝากระโปรงท้ายที่มีชื่อรุ่นเครื่องยนต์ติดอยู่นั้นเอง
ซึ่งแนวคิดหลักในการพัฒนารถยนต์ Honda CR-V ใหม่ มาพร้อม 3 แนวคิดหลัก ดังนี้
- Wow เสริมจุดเด่นของฮอนด้าซีอาร์-วี ให้ความสะดวกสบายต่อการใช้งาน และตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม
- Dynamic ความปราดเปรียวของดีไซน์ภายนอกและสมรรถนะการขับขี่
- Sophisticated ความหรูหราล้ำสมัยในทุกสัมผัส ฟังก์ชั่นและอุปกรณ์การใช้งาน ดีไซน์ภายในที่พรีเมียมและเปี่ยมด้วยคุณภาพ
ส่วนภายในได้รับการออกแบบให้หรูหรา สัมผัสของวัสดุภายในต่างๆ ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม การตกแต่งภายในเน้นโทนสีดำ ตัดสลับเพิ่มลายไม้ที่ให้ความรู้สึกแบบไม้จริง พร้อมวัสดุสี Piano Black และอีกหนึ่งความแปลกใหม่กับระบบควบคุมเกียร์ในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลที่จะไม่มีคันเกียร์อย่างที่เคยชิน กลับกลายเป็นเพียงปุ่มกดเพื่อสั่งการระบบเกียร์แทน ซึ่งสำหรับใครที่ชอบขับๆ รถแล้วมือซ้ายไปจับที่คันเกียร์แล้วอาจจะยังไม่คุ้นชินก็เป็นได้ ซึ่งการทำงานนั้นไม่ได้ยุ่งยากอะไร กลับใช้งานได้อย่างง่ายดาย ส่วนในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินคุณยังได้พบกับคันเกียร์อยู่เช่นเดิมในขนาดที่กำลังดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป ดูเข้ากันอย่างลงตัว อีกทั้งบริเวณคอนโซลกลางแถวๆ ใต้ที่วางแขน ยังมาพร้อมกับช่องเก็บของขนาดใหญ่ที่สามารถปรับเลื่อนการใช้งานเพื่อวางแขนได้อย่างหลากหลายทั้งสมาร์ทโฟน หรือแม้กระทั่งกล้อง DSLR ที่สามารถวางลงไปในช่องบริเวณนี้แบบพอดิบพอดี
หน้าปัดมาแบบดิจิตอลทันสมัย ตัวเลขบอกความเร็วเป็นแบบเลขดิจิตอลขนาดใหญ่บริเวณตรงกลาง พื้นที่ของหน้าปัดถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันควบคุมการทำงานต่างๆไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องเสียง ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และควบคุมหน้าจอแสดงข้อมูล โดยสัมผัสของพวงมาลัยให้ความรู้สึกแบบรถยุโรปราคาแพง มีความนุ่มหน่อยๆ และสากมือนิดๆ เพื่อป้องกันการลื่นขนาดจับพวงมาลัย
เบาะที่นั่งถูกหุ้มด้วยหนังให้ผิวสัมผัสที่ดีดูหรูหรา เดินเส้นตะเข็บ รวมไปถึงลวดลายเบาะแบบสปอร์ตหรู เบาะนั่งคู่หน้ามีความโอบกระชับดีจากปีกเบาะที่สูงขึ้น มาพร้อมระบบปรับทิศทางไฟฟ้า และที่ฝั่งของผู้ขับส่วนของพนักพิงยังปรับเพื่อรองรับช่วงของแผ่นหลังได้ 4 ทิศทางแบบไฟฟ้า ช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการขับขี่ได้อย่างดีทีเดียว ส่วนเบาะแถวสองอาจจะดูแล้วค่อนข้างแบนราบ แต่เมื่อได้ลองนั่งโดยสารแล้วถือว่าสามารถนั่งได้แบบสบายๆ และตัวเบาะยังสามารถปรับเลื่อนเดินหน้าหรือถอยหลัง หรือแม้แต่การปรับเอนได้อีกเช่นกัน ส่งผลให้มีพื้นที่วางขาที่กว้างขวาง ซึ่งจากการลองปรับตำแหน่งเบาะของผู้โดยสารตอนหน้าเลื่อนมาหลังสุดแล้ว บริเวณเบาะแถว 2 ก็ยังมีพื้นที่เหลือๆ เข่าไม่ติด สำหรับการนั่งโดยสาร โดยเบาะแถว 2 นี้ถูกเลื่อนไปหลังสุดด้วยเช่นกัน
และในส่วนของเบาะแถว 3 ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน Honda CR-V นี้ อาจจะต้องบอกว่าเหมาะกับผู้โดยสารที่ตัวเล็กหรือเด็กๆ มากกว่า ถึงสามารถนั่งโดยสารได้พอดี และในส่วนของเรื่องการกระจายความเย็นหายห่วง กับช่องปรับอากาศที่แถว 2 และ 3 ซึ่งช่องปรับอากาศหลังสุดจะอยู่ที่บริเวณเพดานมีกันทั้งหมด 4 ช่องด้วยกัน
ด้านอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความบันเทิง Honda CR-V ใหม่ มาพร้อมกับ Advanced Touch infotainment จอสัมผัสขนาดใหญ่ 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ลำโพง 8 ตำแหน่ง รวมถึงเครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิ ซ้าย-ขวา i-Dual Zone ระบบเบรกมือไฟฟ้า Electric Parking Brake (EPB) และยังมีฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดอัตโนมัติแบบไฟฟ้าด้วยระบบแฮนด์ฟรี (Hands-free Power Tailgate) พร้อมควบคุมการเปิด-ปิดด้วยรีโมท และสามารถปรับระดับความสูงของการเปิดฝากระโปรงท้ายได้ตามต้องการ
เริ่มต้นการขับทดสอบ ฟ้าฝนวันนี้ค่อนข้างเป็นใจไม่มีฝนตกโปรยปรายลงมา ทีมงานเริ่มขับกันที่รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน i-VTEC ขนาด 2.4 ลิตร ที่ตามสเปคแล้วให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 224 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT พร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Real-Time AWD ทำงานโดยเปลี่ยนการควบคุมการส่งกำลังไปยังล้อหลังด้วยระบบไฟฟ้า และรองรับ E85 ลักษณะเส้นทางส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นทางโค้งที่อยากต่อการแซงและมองเห็นรถที่จะวิ่งสวนมา มีหลายๆ ช่วงที่ต้องมีการเร่งแซงรถคันหน้า รวมไปถึงการต้องเบรกชะลออยู่บ่อยครั้ง การตอบสนองการขับขี่เพียงแรกสัมผัส รับรู้ได้ถึงความหนักแน่นของตัวรถ ให้ความรู้สึกที่ควบคุมง่ายและมั่นใจ
ช่วงล่างในช่วงที่ขับขี่ในซอยแคบและผ่านลูกระนาด ช่วงล่างสามารถตอบสนองได้ดีให้ความรู้สึกนุ่มหนึบ แม้แต่ในช่วงใช้ความเร็วเดินทางก็ตาม ช่วงล่างก็ยังให้ความรู้สึกนุ่มหนึบในแบบที่ผู้ใหญ่ต้องปลื้มแน่นอน ทั้งในจังหวะช่วงกระโดดคอสะพาน เมื่อต้องมาด้วยความเร็ว ก็เรียกได้ว่าเอาอยู่เลยทีเดียว ไม่มีอาการเด้งหรือโยนแต่อย่างใด ไม่ต้องกลัวว่าศีรษะจะไปกระแทกเพดานกันให้เจ็บตัว ต้องขอขอบคุณระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และระบบกันสะเทือนหลังแบบมัลติลิงก์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อความคล่องตัวและการทรงตัวที่ดี เทรลลิงอาร์มถูกติดตั้งอยู่บนโครงสร้างตัวถังแบบ Unibody และใช้บุชยางที่มีการบรรจุของเหลวเป็นตัวยึด เพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมเสียง แรงสั่นสะเทือน และแรงกระชาก (NVH) ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันยังคงความแม่นยำในการบังคับเลี้ยวอีกด้วย
พวงมาลัยไฟฟ้าแบบ Dual Pinion Variable Ratio Electric Power-Assisted Rack-and-Pinion Steering (EPS) หรือ ระบบพวงมาลัยแบบ Dual พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) ประกอบด้วยชุดเฟืองพิเนียนแบบ Dual และได้มีการปรับอัตราทดเฟืองให้แปรผันได้ตามช่วงความเร็วที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในช่วงความเร็วต่ำ และให้การทรงตัวที่ดีในช่วงความเร็วสูง ถูกปรับเซ็ตมาได้อย่างลงตัวในทุกช่วงความเร็ว ให้การควบคุมที่ง่าย น้ำหนักกำลังดี ในช่วงการขับขี่ที่ใช้ความเร็วบวกกับการต้องเข้าและออกโค้งเกือบตลอดเส้นทาง ทำให้ Honda CR-V ใหม่นี้ เป็นรถที่ขับสนุกมั่นใจได้อย่างดีเลยทีเดียว หรือแม้แต่การควบคุมรถลัดเลาะในช่วงตัวเมืองก็ตาม
ส่วนของเครื่องยนต์เบนซิน และระบบเกียร์ CVT ใน Honda CR-V ใหม่ ให้การตอบสนองที่เพียงพอต่อการใช้งานในเกือบทุกย่านความเร็ว การออกตัวไม่ได้รู้สึกว่ารถอืดอาดแต่อย่างใด จนไปถึงช่วงใช้ความเร็วเดินทาง สัมผัสได้กับความเร็วที่ไหลขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ทันไรตัวเลขความเร็วแบบดิจิตอลก็ขึ้นไปมากทีเดียว จะมีช่วงที่ต้องการกดคันเร่งเพื่อเร่งแซงแบบทันทีทันใด เสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นอาจรู้สึกถึงการเค้นกำลังเครื่องยนต์ไปสักหน่อย แต่ก็สามารถเร่งแซงขึ้นไปได้ดั่งใจ และหากมีการติดตั้งแป้น Paddle Shift มาในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินแล้ว น่าจะทำให้การขับขี่สนุกสนานมากขึ้นอีกทีเดียว
มาถึงช่วงบ่ายหลังขับรุ่นเครื่องยนต์เบนซินกันไปเรียบร้อย ต่อกันด้วย Honda CR-V รุ่น เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ I-DTEC VGT ขนาด 1.6 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดแบบ ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยสวิตช์ (Shift by Wire) พร้อมระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ในรอบเดินเบา (Idle Stop System) ความรู้สึกเมื่อได้ลองขับค่อนข้างแตกต่างกับเครื่องยนต์เบนซินอย่างรู้สึกได้ตั้งแต่ช่วงต้นออกตัว อาจจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่ไม่ได้แรงแบบมากมาย แต่ก็ให้อารมณ์แบบสุขุม มีกำลังเหลือไว้ให้เพียงพอต่อการใช้งานได้สบายๆ รับรู้ได้ถึงแรงดึงอยู่บ้าง และด้วยระบบการส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ก็ยิ่งทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลมากเลยทีเดียว ส่งผลให้ Honda CR-V ใหม่นี้ เป็นอเนกประสงค์ที่ขับสบายมีกำลังเพียงพอให้ใช้งานได้หลากหลายทั้งในเมืองและนอกเมือง แต่สำหรับใครที่ต้องการรถที่เหยียบแล้วพุ่ง ดึงแบบหลังติดเบาะหน้าหงายแล้วละก็ รถยนต์รุ่นนี้อาจจะเป็นคนละแนวสำหรับคุณ
แต่หากใครที่ไม่ได้เป็นคนเท้าหนักมากมายอะไรนัก แต่กำลังของรถก็มีมากพอที่จะสามารถตอบสนองได้อย่างเหลือเฟือ ขับขี่ทำความเร็วไปได้แบบสบายๆ หรือต้องการเรียกกำลังโดยใช้ระบบ Paddle Shift ก็พอที่จะให้ความรู้สึกที่เร้าใจขึ้นอยู่บ้าง แต่อาจจะไม่ได้ดึงอย่างชัดเจน แต่กลับเร่งความเร็วขึ้นไปได้แบบสุขุมทีเดียว ซึ่งจากการทดสอบเมื่อครั้งที่ยังไม่มีการเปิดตัวในสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต - บุรีรัมย์ (Hands On : Honda CR-V 1.6 I-DTEC ผสานความเป็นยุโรปสู่มือคนไทย) ทีมวิศวกรบอกว่า พวกเขามีเป้าประสงค์ในการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลบล็อกนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ แล้วมันตอบคุณด้วยความประหยัดในการขับขี่ ส่วนสมรรถนะนั้นไม่ได้เน้นหวือหวา พวกเขายอมรับว่า คนไทย อาจจะคิดว่าเครื่องยนต์ดีเซลต้องสมรรถนะสูงแรงเร้าใจ แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงภาพในความคิดอุดมคติเมื่อได้ยินคำว่าเครื่องยนต์ดีเซลเท่านั้น
และจากการขับขี่ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลเทอร์โบ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองของรุ่นเบนซินอยู่ที่ประมาณ 10-11 กม./ลิตร และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลอยู่ที่ประมาณ 11-12 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขจากการคำนวณของตัวรถ ทั้งนี้ตลอดเส้นทางการขับที่ค่อนข้างเป็นทางโค้งสลับเนินเขาเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีทั้งการเร่งเครื่องเพื่อเรียกกำลังในหลายๆ ช่วง การเร่งแซงในหลายๆ ครั้ง รวมไปถึงบางจังหวะที่ใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. ในกรณีที่ติดรถคันหน้าไม่สามารถแซงได้ รวมถึงการขับขี่ในช่วงตัวเมือง
ทั้งนี้ในโอกาสหน้าทางทีมงานจะได้นำ Honda CR-V ใหม่ ทั้ง 2 รุ่นเครื่องยนต์มาวิ่งทดสอบภายใต้เงื่อนไขการใช้งานมาตรฐานเดียวกัน ในลักษณะของการขับขี่แบบใช้งานในเมือง และนอกเมือง เพื่อหาตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองกันให้เห็นอย่างชัดเจนกันอีกครั้ง
ส่วนด้านความปลอดภัย Honda CR-V ใหม่ ได้ให้ระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ (Driver Attention Monitor) ผ่านการควบคุมพวงมาลัยและแจ้งเตือนผ่านหน้าจอ TFT พร้อมการสั่นเตือนที่พวงมาลัย ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (Agile Handling Assist) ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และระบบ Auto Brake Hold (Automatic Brake Hold) ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ Dual i-SRS ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ i-Side Airbag และม่านถุงลมด้านข้าง Side Curtain Airbags
Honda CR-V ใหม่ อเนกประสงค์ค่ายญี่ปุ่นที่จะให้สัมผัสใหม่ในแบบรถยุโรป มาพร้อมความหนักแน่นทุกการขับขี่และโดยสาร ภายนอกดีไซน์โดดเด่นดูบึกบึน ผสานกับภายในสุดหรูหรา ที่ไม่ควรพลาดไปสัมผัสด้วยตัวคุณเอง...
เรื่องและขับทดสอบโดย รัฐศิลป์ รัตนกู้เกียรติ (toptaro)
ฮอนด้า ซีอาร์-วี มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้
• DT-EL 4WD ราคา 1,699,000 บาท (รุ่นที่ขับทดสอบ)
• DT-E ราคา 1,549,000 บาท
• 2.4 EL 4WD ราคา 1,549,000 บาท (รุ่นที่ขับทดสอบ)
• 2.4 E ราคา 1,399,000 บาท
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com