[Hands on] ทดสอบรถยนต์ Chevrolet Trailblazer Z71 หล่อ แรง ลุย หรู ในหนึ่งเดียว
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 5 ก.ย. 60 00:00
- 48,316 อ่าน
ช่อง 2-3 ปีหลัง ตลาดรถยนต์เอนกประสงค์ SUV ที่มีพื้นฐานจากรถกระบะ หรือที่ตลาดบ้านเราเรียกกันว่า PPV (Pickup Passenger Vehicle) ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่ละค่ายก็ต่างมีไม้เด็ดในรถยนต์ประเภทนี้กันอย่างเต็มที่ แต่ถ้าใครที่ได้ลองครบทุกรุ่นแล้ว รถยนต์รุ่นที่หลายคนมักจะเลือกติดขึ้นมา 1 ใน 3 มักจะมี Chevrolet Trailblazer ติดมาอยู่เสมอ
เชฟโรเลต ค่ายรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ขึ้นชื่ออยู่แล้วกับรถยนต์ที่ดูบึกบึน แข็งแรง เช่น Chevrolet Colorado หรือไม่ก็รถยนต์สปอร์ตตัวแรง ถ้าดูหนังฮออลีวูดบ่อยๆ ก็มักจะเห็นรถสปอร์ตหลายรุ่นอย่างเช่น Chevrolet Camaro เป็นประจำ ส่วนรถยนต์สไตล์ SUV ที่ผมเคยเห็น ก็จะเป็น Chevrolet Tahoe ที่รูปลักษณ์ดูแข็งแกร่งดุดัน แต่มันช่างดูไม่น่าจะเข้ากับคนไทยได้ซักเท่าไหร่
จนเมื่อปี 2012 ทางเชฟโรเลต ประเทศไทย เริ่มเข้ามาลงในตลาด SUV หรือ PPV ดูบ้าง โดยส่ง Chevrolet Trailblazer มาเป็นตัวเอก เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 Duramax เช่นเดียวกับ Colorado ก่อนที่ภายหลังจะเปลี่ยนมาเป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตรแทน ก็ถือว่าเป็นรุ่นที่สามารถทำยอดขายได้ดีมาก ถือเป็นรุ่นเรือธงของเชฟโรเลตเลยทีเดียว พร้อมรับคำชมไปได้มากมายจากทั้งผู้สื่อข่าวและลูกค้าที่ได้ใช้งาน
จนล่าสุดทาง Chevrolet ได้ทำการเปิดตัวแอมบาสซาเดอร์คนใหม่ เป็นนักร้องและนายแบบสุดแนว ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ พร้อมๆกับการเปิดตัวรถยนต์ SUV ตัวเดิมแต่แต่งหน้าใหม่ของค่ายอย่าง Chevrolet Trailblazer Z71 ที่ทำให้หลายคนก็ออกแนวสงสัยกันอยู่บ้างว่า มันแตกต่างกับตัวเดิมอย่างไรบ้าง
Chevrolet Trailblazer Z71 แน่นอนว่าเมื่อเห็นรหัสลงท้าย นั่นหมายถึงว่ารถยนต์รุ่นนี้ จะถูกตกแต่งออกมาเป็นแนวสปอร์ตแน่นอน ข้อมูลเบื้องต้นยังคงใช้เครื่องยนต์ดีเซลรหัส XLDE25 2.5 ลิตร Duramax คอมมอนเรลเทอร์โบ ไดเรคอินเจคชั่น พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน Variable Geometry Turbocharger (VGT) และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลัง 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที ภายนอกถูกตกแต่งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า มีการออกแบบให้ดูเฉียบคมทรงสปอร์ตมากขึ้น วัสดุก็มีสีดำเงา ให้ความสปอร์ตและหรูหราในคราเดียว กระโปรงหน้าถูกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์สีดำด้าน พร้อมตรา Z71 สีแดงขาวบนพื้นดำ สร้างความดุดันได้ดี รวมถึงกระจกมองข้างและที่จับเปิดประตูก็เป็นสีดำเช่นกัน ขนาดล้อแม็กซ์ก็ยังเป็นสีรมดำขนาด 18 นิ้ว ทำเอาดูดุดันมากกว่าตัวปกติได้มากพอดู ไฟหน้าและไฟ Daytime Running Light ก็เป็นแบบ LED เพิ่มความหรูหราได้เป็นกอง
ส่วนภายในที่โดดเด่นก็จะเป็น ตัวเบาะมีการหุ้มสีใหม่เป็นดำ Jet Black พร้อมมีสัญลักษณ์ Z71 ที่เบาะรองศีรษะ เพิ่มเอกลักษณ์ของรถได้เป็นอย่างดี ส่วนอื่นๆก็คล้ายกับตัวปกติ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ Chevrolet Trailblazer ก็จัดออพชั่นมาให้เต็มอยู่แล้ว ทั้งหน้าจอระบบสัมผัสที่ใช้งานง่ายด้วยภาษาไทย เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ทั้งผ่านสาย USB และ Bluetooth มีระบบ CHEVROLET MYLINK รองรับการสั่งการด้วยเสียง และมี Apple CarPlay รองรับการใช้งานร่วมกับ iOS อีกด้วย ส่วนระบบความปลอดภัยนี่หายห่วง จัดเต็มมาให้ทุกอย่างที่นึกออก ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก(ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC),ระบบป้องกันการลื่นไถลทั้งขณะออกตัวและในโค้ง (TCS), ระบบช่วยการเบรกกะทันหัน (PBA), ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESC), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC), ระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อขึ้นทางลาดชัน (HSA), ระบบรักษาเสถียรภาพขณะลากจูง (Trailer Sway Control), ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ (Anti-Rolling Protection) ไหนจะมีระบบป้องกันอุบัติเหตุอีกหลายอย่าง ทั้งระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา (Side Blind Zone Alert), ระบบแจ้งเตือนการจราจรขณะถอยหลัง (Rear Cross Traffic Alert), ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกจากช่องจราจร (Lane Departure Warning), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Alert), เซนเซอร์ตรวจจับวัตถุขณะจอดรถด้านหน้าและด้านหลัง, กล้องมองหลัง รวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, ไฟหน้าอัตโนมัติ แต่ที่แจ่มสุดสำหรับผมคือ กุญแจที่สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์จากระยะไกลเพื่อปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารได้ก่อน หมายความว่าคุณไม่ต้องเดินไปที่รถเพื่อสตาร์ทแล้วเปิดแอร์เพื่อไล่ความร้อนก่อนออกเดินทาง แต่สามารถกดรีโมทจากในบ้านได้เลย
หลังจากเปิดตัวได้เพียงสัปดาห์เดียว ทางทีมงาน Autodeft ก็ได้รับเกียรติจากทาง เชฟโรเลต ประเทศไทย ให้ได้เข้าร่วมการทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ใหม่ 2017 อย่าง Chevrolet Trailblazer Z71 ที่จังหวัดเชียงราย โดยเส้นทางที่ทดสอบช่วงก่อนการเดินทาง จะมีทั้งแบบ Off Road ประมาณหนึ่ง, ทางขึ้นเขาคดเคี้ยวประมาณหนึ่ง และเส้นทางปกติอีกประมาณหนึ่ง รวมแล้วประมาณ 130 กิโลเมตร โดยจุดหมายปลายทางอยู่ที่สามเหลี่ยมทองคำ เขตเศรษฐกิจการค้าสำคัญของประเทศไทย ลาว และพม่า เริ่มจากจุดแรกที่แถวบ้านร่องเสือเต้น เดินทางผ่านวัดม้าทองมุ่งสู่มณีเทวา รีสอร์ทเพื่อรับประทานอาการกลางวัน เส้นทางช่วงนี้ยังคงเป็นเส้นทางเรียบปกติ มีถนนซูเปอร์ไฮเวย์ผสมกับทางหมู่บ้าน ผมยังเป็นผู้โดยสารนั่งอยู่บนแถว 2 แถมยังต้องนั่งทำงานโดยโน๊ตบุ๊ควางอยู่บนตักอีกด้วย ต้องบอกว่าด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกสองชั้นพร้อมคอยล์สปริงและช็อกอัพแก๊ส ส่วนด้านหลังเป็น 5 ลิงค์พร้อมคอยล์สปริงและช็อกอัพแก๊ส ทำให้การโดยสารด้านหลังสร้างแรงสะเทือนน้อยมาก ผมยังสามารถพิมพ์งานผ่านโน๊ตบุ๊คบนตักด้วยความสบายใจ ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่เส้นทางหมู่บ้านที่เป็นถนนลูกรังแล้วก็ตาม การเข้าโค้งด้วยความเร็วก็ไม่ทำให้รถมีการโยนตัวที่ด้านท้ายอย่างไร แถมด้านหลังก็มีแอร์แยกส่วนมาต่างหาก หมดปัญหาเรื่องแอร์เย็นไม่ถึงด้านหลังเลย
หลังจากที่อิ่มอร่อยกับอาหารเที่ยงกันเรียบร้อยแล้ว ทางคณะสื่อมวลชนรวมทั้งตัวผมก็ได้เริ่มออกเดินทางต่อ โดยใช้เส้นทางมุ่งหน้าสู่ดอยตุง เส้นทางนี้ต้องบอกว่า ครบครันทั้งเส้นจริงๆ มีทั้งถนน Off Road แบบพังในระดับปานกลางให้ทำการทดสอบรถบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้อย่างดี, มีการขึ้นเขา ไต่ไปจนถึงระดับเกือบ 1,500 เมตร เพื่อสดสอบกำลังเครื่องยนต์ขนาด 180 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร ว่าจะพารถและคนหนักระดับ 2 ตันกว่าไปได้ดีขนาดไหน และเส้นทางขึ้นและลงเขาที่คดเคี้ยว เพื่อทดสอบทั้งช่วงล่างและระบบความปลอดภัยต่างๆทั้ง Hill Descent Control, Hill Assist System ว่าจะใช้งานได้ดีขนาดไหน เริ่มจากการลุยเข้าเส้นทางพังๆ แถมฝนก็ตกทำให้ถนนกลายเป็นบ่อโคลนในหลายจุด แต่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อใน Chevrolet Trailblazer Z71 สามารถพาลุยไปได้อย่างไม่พบปัญหาติดหล่ม ไปไม่ได้แต่อย่างไร พลังเครื่องยนต์ระดับนี้ เพียงพอกับเส้นทางแบบนี้อย่างสบายๆ แถมช่วงล่างก็ช่วยรับแรงกระแทกจากถนนได้อย่างดี
ต่อมากับเส้นทางขึ้นเขา ที่คดเคี้ยวและต้องมีกดเบรกในโค้งอยู่บ้างจากรถที่สวนมา แต่ไม่มีปัญหาอย่างไร เพียงเติมคันเร่งเข้าไปตามจังหวะ รถก็ไต่ขึ้นเขาไปได้อย่างไม่มีการร้องเสียงดัง ล้อหมุนไปตามรอบเครื่องยนต์แบบแรงบิดมหาศาลอย่างชิวๆ เสียด้ายอย่างคือตลอดเส้นทางที่ขับไป ไม่ได้ทดสอบระบบ HAS เลย เพราะผู้นำขบวนแทบไม่มีการหยุดรอเลย ยังจัดเต็มตลอดเส้นทาง หาเวลาจอดนิ่งๆไม่ได้ เลยอดทดสอบกันไป
ขาลงเขาที่คดเคี้ยวก็เช่นกัน ผู้นำยังคงพาเราไปแบบจัดเต็มเกือบตลอดเส้นทาง จะมีบางจังหวะเท่านั้นที่ชะลอเพราะทางลงมันชันและโค้งแคบเกินกว่าจะไปด้วยความเร็วได้ จุดนี้เราจึงได้ลองทดสอบระบบ HDC ตัวช่วยสำหรับขับรถลงเขา เพียงกดปุ่มค้างไว้ประมาณ 3 วินาทีจนมีไฟเขียวสัญญาณขึ้นที่หน้าปัด ระบบก็เริ่มทำงาน เพียงเราปล่อยรถให้ไหลลงเขา รถจะทำการชะลอตัวรถให้เราเองโดยไม่ต้องแตะเบรก ระบบนี้จะทำงานด้วยปั๊ม ABS ไปแตะเบรกเป็นจังหวะถี่ๆ ให้รถลงเขาด้วยความเร็วที่เรากำหนดไว้ เช่น ถ้าเราปล่อยเบรกตอนลงเขาด้วยความเร็ว 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง รถก็จะไหลลงด้วยความเร็ว 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าเราคิดว่ามันช้าไป ก็สามารถเติมคันเร่งเข้าไปได้ ระบบนี้จะทำงานในความเร็วที่ไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าเกิน ระบบจะหยุดการทำงาน แล้ว Standby ไว้รอเพื่อทำงานใหม่ แต่ถ้าความเร็วเกินกว่า 50 กิโลเมตร/ชั่วโมงเมื่อไหร่ ระบบจะปิดการทำงานทันที ถ้าต้องการใช้งานใหม่ต้องกดปุ่มเพื่อเปิดการทำงานอีกครั้ง ผลการทดลองใช้ มันดีมากๆ การดึงรถทำได้อย่างนุ่มนวล ไม่กระชากจนหัวทิ่ม ซึ่งผมเคยเจอกับบางรุ่นบางยี่ห้อ ไหลลงได้อย่างเนียนๆสบายๆ ถ้ารู้สึกช้าไปก็เพียงเติมคันเร่งก็ไหลลงได้เร็วขึ้นแล้ว เป็นตัวช่วยที่ใช้งานได้จริงกับการท่องเที่ยวหรือลุยสไตล์นี้จริงๆ
พวงมาลัยของ เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์ เป็นระบบไฟฟ้า ซึ่งถ้าใครชินกับระบบพวงมาลัยระบบน้ำมันไฮโดรลิค จะรู้สึกว่า เฮ้ย มันเบาไปป่าววะ แต่จะบอกว่าถ้าคุณได้ลองใช้ซักพักแล้วกลับไปใช้แบบน้ำมันไฮโดรลิค จะต้องบอกว่า โอย ทำไมมันหนักแบบนี้ ซึ่งการขับขี่บนเส้นทางแบบนี้ เหมาะมากกับการใช้พวงมาลัยไฟฟ้า เพราะการหมุนเข้าโค้งบ่อยๆ มันจะช่วยให้ลดอาการเมื่อยล้าของแขนได้ แถมการควบคุมก็ยังแม่นยำ หมุนเท่าไหร่ ไปเท่านั้นตามมือของเราเลย
หลังจากผ่านเส้นทางดอยตุง, ดอยช้างมูบ จนมาถึงที่ราบ มีฝนตกอยู่ตลอดทาง แต่การทรงตัวผ่านแต่ละโค้งไม่มีปัญหาเลย บนเขานี้ ผมทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งปกติแล้วเมื่อทำหน้าที่เป็นผู้โดยสารแล้วเจอกับเส้นทางที่มีโค้งแคบและโค้งเยอะขนาดนี้ จะเจอกับอาการเวียนหัวขึ้นมาบ้าง แต่กับการเดินทางครั้งนี้แทบจะไม่มีเลย ต้องขอบคุณช่วงล่างของ Chevrolet Trailblazer Z71 จริงๆ
หลังจากลงถึงพื้นราบ ก็ได้หันไปดูอัตราการใช้น้ำมันดูบ้าง โดยตลอดเส้นทางมีการใช้งานรถในเกือบทุกรูปแบบ ทั้งถนนเรียบใช้ความเร็ว, ถนนลูกรังความเร็วปานกลาง, ถนนลุยโคลนแบบ Off Road, ถนนขึ้นเข้าและลงเขาอันคดเคี้ยวในสภาพเปียกฝน หน้าจอแจ้งว่าอยู่ที่ประมาณ 7.5 กิโลเมตร/ลิตร ถือว่าไม่มากไม่น้อย อยู่ในระดับปานกลาง แต่เชื่อว่าถ้าหากขับกันชิวกว่านี้แบบครอบครัว อาจจะได้ตัวเลขที่ดีกว่านี้นิดหน่อย
ภาพรวมของรถนั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเลยทีเดียว สามารถใช้งานได้ครอบคลุมทั้งบนถนนธรรมดาและถนนที่ลุยๆตามข้างต้น ราคาของ Chevrolet Trailblazer Z71 อยู่ที่ 1,499,000 บาท ก็ถือว่าคุ้มค่าเมื่อได้รถยนต์ที่มีอุปกรณ์มากขนาดนี้ แต่สิ่งที่อยากให้มีเพิ่มเติมอีก ก็คงเป็น Airbag ที่ยังคงมีเพียง 3 ลูก น่าจะเพิ่มด้านข้างและด้านหลังสำหรับผู้โดยสารด้านหลังได้แล้ว และเมื่อทำเป็นตัวแต่งสปอร์ต ก็น่าจะมีเพิ่มเติมในส่วนของ Paddle Shift ที่พวงมาลัย จะได้เพิ่มความสนุกในการขับขี่ เพิ่มราคาอีกซักหน่อย ผมว่าน่าจะทำให้ Chevrolet Trailblazer Z71 กลายเป็นรถยนต์ระดับพรีเมี่ยม SUV ตัวท็อปในตลาดได้ทันที
ทดสอบและเรียบเรียงโดย Earthpark02
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com