Full Review : MG GS หนึ่งเดียวสมรรถนะแรงที่จับจองได้
- โดย : Autodeft
- 16 ส.ค. 59 00:00
- 13,041 อ่าน
ความแรง!! มันเป็นคำนิยามที่คนไทยใช้บ่งบอกถึงรถยนต์ที่สมรถนะในการขับขี่ เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว้ารถคันนั้นขับเร็วแล่นฉิวทันใจ ... เราจะเจอประโยคว่า “รถแรงนี่หว่า” แน่นอนมันเป็นคำที่ภาคภูมิใจสำหรับนักขับทั้งหลาย ... ที่ชอบเร็วท้าทายมัจจุราช แต่เมื่อพลิกความฝันเฟื่องฝันหวานสุดพรรณนามาเป็นความจริง เราหลายคนอาจจะไม่ได้มีโอกาสขับรถที่มีสมรรถนะแรงเร้าใจขนาดนั้น
Follow No Other ... วลีการตลาดที่บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง มันคือทีเด็ดของการบ่งบอกว่ารถยนต์คันนี้มีอะไรมากกว่าที่เป็นและไม่ตามแบบฉบับใคร ประโยคนี้ผมรู้สึกถึงเบื้องลึกความหมายทันที เมื่อครั้นตอนไปงานเปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์ของค่ายรถยนต์ลูกผสมผู้ดีอังกฤษที่ชุบเลี้ยงโดยอาแปะเมืองจีน แต่ถึงหลายคนจะค่อนขอดหลายเรื่องจากรถหลายรุ่นที่ผ่านมา แต่ MG GS คือรถยนต์ที่ไม่เหมือนใคร และจะไม่มีใครเหมือน
เรื่องราว MG GS เริ่มต้นขึ้นราวๆ ปี 2012 เมื่อ ตลาดรถยนต์อังกฤษตอบรับดีกับรถยนต์อเนกประสงค์ตามกระแสโลก ทำให้ MG เองในฐานะรถยนต์เจ้าบ้าน เล็งเห็นว่าพวกเขามีโอกาสที่จะทำตลาดกลุ่มนี้ ถึงคนอังกฤษจำนวนมากจะมองสมรรถนะเป็นรองและเริ่มต้องการออพชั่นเป็นหลัก จากการเข้ามาของรถยนต์อเนกประสงค์อย่าง Dacia Duster และ Sangyong Tivoli แต่มันยังที่เหลือที่จะให้พวกเขากระโดดขึ้นไปร่วมก๊วนอเนกประสงค์
อะไรเลยจะดีกว่ารถยนต์อเนกประสงค์ระดับคอมแพ็ค มันเป็นกลุ่มที่ลูกค้าที่ซื้อมีวุฒิภาวะและชื่นชอบความสปอร์ตตรงกับจิตใจของแบรนด์ MG ค่ายรถจากเกาะอังกฤษรายนี้หมายตาในการงัดข้อกับรถยนต์อเนกประสงค์ อย่าง Ford Kuga และ Nissan Qashqai น้องรองของ Nissan X-trail ในตลาดอังกฤษ
มันคือรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นแรกของบริษัท และในปี 2013 MG ก็เปิดผลงานรถยนต์ต้นแบบของพวกเขา MG CS Concept ในงาน Shanghai Motor Show 2013 รถยนต์ต้นแบบคันนี้ถูกวางไว้ในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์คอมแพ็ค ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในตลอดช่วงเวลาหลายปีทีผ่านมา มันเป็นรถอเนกประสงค์กลุ่มที่ต้องใช้กำลังภายในในการดึงดูดลูกค้าหลายอย่าง ทั้งในเรื่องของการออกแบบ ฟังชั่นใช้งาน และ แน่นอนเรื่องของสมรรถนะในการขับขี่ที่ลงตัวด้วยเช่นกัน
รถ MG CS Concept ออกแบบ โดย Antony William Kenny เขาผู้อยู่เบื้องหลังงานออกแบบอย่างรถยนต์ MG 3 กลับมารับบทพ่อมดออกแบบรถยนต์อเนกประสงค์ของ MG กลายเป็นจริงอีกครั้ง
รถต้นแบบ MG CS Concept ในงาน Motor Expo 2015
การออกแบบของ แอนโทนี่ในรถยนต์ MG CS สร้างความสนใจให้กับคนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย หลังจากมาโชว์โฉมในงาน Motor Expo 2015 มันคือรถยนต์ต้นแบบที่เปี่ยมด้วยพลัง สร้างความลงตัวในแนวทางเส้นสายสายความสปอร์ตตามแบบฉบับ MG ทั้งยังสะดุดตากับหลายคนในงาน และมันแตกต่างจากรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นอื่นๆ ที่วางจำหน่ายในตลาดปัจจุบัน
เจ้าอเนกประสงค์ MG GS ถือเป็นอเนกประสงค์ที่มีความลงตัวมากที่สุดรุ่นหนึ่ง ในแง่ของการเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่มีความสปอร์ต มันอาจจะดูแตกต่างแหวกแนวผิดแผกจากเพื่อนอยู่บ้าง แต่ถ้าคุณเป็นคนชอบรถสปอร์ตอยู่แล้ว การออกแบบไฟหน้าโปรเจคเตอร์ และหน้าตาในแบบฉบับ MG ดูพอจะเรียกความสนใจจากคุณได้บ้าง มันอาจจะเป็นเส้นสายที่เรียบๆง่ายๆ แต่ก็ดูดีในแบบของมันเอง
น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่า MG GS ดูจะเป็นผลงานชิ้นเอกที่แตกต่างออกไป การขยายเส้นสายวางเรือนร่างให้หนาในแบบรถยนต์อเนกประสงค์ควรจะเป็น พลันทำให้งวดนี้ผมนึกถึงเจ้านกขี้โมโห Angry Brid ขึ้นมาทันใด มันเปี่ยมด้วยความดุดัน ปราดเปรียว และดูน่าเกรงขามทุกครั้งที่มองหน้า
ด้านข้าง MG GS ทุกรุ่นลงตัวด้วยล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วสีทูโทนจากโรงงาน จัดมาพร้อมยาง 235/50/R18 บนหลังคาในรุ่นขับสี่ มีราวหลังคามาให้เสร็จสรรพ สำหรับผมดูไม่งามตาเท่าไรนัก ส่วนด้านหลังให้ประตูท้ายครึ่งบนช่วงไฟท้ายทำเป็นสีดำ ดูสปอร์ตขึ้นมาทันทีแถมแอบคล้ายรถยุโรปอย่างVolvo V40 , MG GS ยังมาพร้อมท่อไอเสียคู่ ลงตัวในการออกแบบไฟท้าย Led ทรง 5 เหลียมเรียวยาว ช่วยให้รถดูมีความสปอร์ต แถมท้ายด้วยไฟตัดหมอกหลังให้มาเป็นมาตรฐาน เพิ่มความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ ดูแข็งแรงดุดัน
ตัวตน MG GS แนะนำในความเป็นรถคอมแพ็คเหมาะใช้งานในเมืองและใช้นั่งทางไกลได้เช่นกัน ด้วยความยาวตลอดคัน 4,500 มม. กว้าง 1,855 มม. สูง 1,699 มม. (รุ่นขับสองสูง 1,675 มม. เนื่องจากไม่มีราวหลังคา) และทุกรุ่นมาพร้อมฐานล้อ ยาว 2,650 มม.
ร่ายมนต์ Open Sesame ด้วย ระบบ Keyless Entry เพียงพกแล้วกดปุ่มข้างประตูก็เปิดรถได้ทันใจ การออกแบบห้องโดยสารด้วยโทนสีดำทั้งคันไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้า พร้อมวัสดุ Paino Black และเบาะนั่งทั้งหมดหุ้มด้วยหนังแท้ผสมหนังสังเคราะห์ ให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับการออกแบบภายนอก
เบาะนั่งฝั่งคนขับเอาใจสุดๆ ด้วยเบาะนั่งปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อที่นำมาทดสอบนี้ฝั่งคนนั่งยังเป็นเบาะนั่งปรับไฟฟ้า 4 ทิศทางเช่นกัน ถ้าซื้อขับสองก็เป็นแบบปรับมือให้โยกๆ เลื่อนกันเข้าไป จากที่สังเกตผมพบว่า ตัวเบาะฝั่งคนนั่งทั้งสองรุ่นมีความเหมือนกันอยู่ประการ คือ เบาะนั่งค่อนข้างสูงเต่อ ทำให้คนนั่งรู้สึกแปลกๆ เมื่อนับว่าเบาะคนขับสามารถปรับระดับเตี้ยได้จนใกล้เคียงกับตำแหน่งเบาะ Bucket Seat
ตรงหน้าคนขับให้พวงมาลัยสามก้านทรงสหกรณ์ MG ฝั่งซ้ายเป็นปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ส่วนฝั่งขวาเว้นว่างไว้ คงเผื่อเติมออพชั่นในอนาคต ทำเอาแรกๆมึนกับตำแหน่งระบบ Cruise Control ที่เด้งมาเป็นก้านด้านล่างก้านไฟเลี้ยว (อยู่ทางซ้ายมือ) แต่ใช้งานเล่นสักครั้ง 2 ครั้ง ก็ชินมือ และผมว่าก็ใช้งานง่ายดีเหมือนกัน
หน้าปัดยังเป็นเรืองแสงคล้ายกับ MG 6 ยามปกติเป็นสีขาวเข็มรอบเร่งให้สะใจได้สูงสุดที่ 7,000 รอบต่อนาที ความเร็วมากสุดบนหน้าปัด คือ 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวทริปมิเตอร์ตรงกลางจออัจฉริยะต้องควบคุมที่ด้านปลายก้านไฟเลี้ยว ก้านด้านขวาเป็นระบบปัดน้ำฝนตามสไตล์รถยุโรป
กลางช่วงคอนโซลหน้า เป็นระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส 8 นิ้ว มาพร้อมระบบนำทางและระบบ Inkanet ฟังชั่นแม่บ้านชอบใจติดตามรถสำรวจความลับสามีได้ผ่านแอพพลิเคชั่น (น่ากลัวก็ตรงนี้) ในตัวเครื่องเสียงมีหน่วยความจำ 16 GB ให้คุณได้ยัดไฟล์อะไรต่อมิอะไรใส่เอาไว้ฟัง โดยที่ไม่จำเป็นต้องพก thumb Drive ให้วุ่นวายใจ แต่ถ้าจำเป็นต้องเชื่อมต่อ ก็ยังมีช่องเสียบ AUX และ USB ให้ใช้ เก็บไว้ในกล่องคอนโซลกลาง พลังเสียงขับกล่อมผ่านลำโพง 8 จุด วางไว้ทั่วถ้วนในห้องโดยสาร เรื่องคุณภาพเสียง ผมให้ระดับกลางๆ เรียกว่า ผ่าน ถ้าคุณไม่ใช่พวกหูเทพอะไร
ถัดลงมาเป็นชุดปุ่มควบคุมการทำงานระบบปรับอากาศ และเครื่องเสียงบางส่วน เช่น ปุ่มเพิ่มและลดเสียง ซึ่งดันจัดวางไว้ผสมกัน จนบางครั้งพาลพาเอามึนว่า เอ๊ะ!!! นี่มันปุ่มเพิ่มอุณหภูมิ หรือลดเสียงวิทยุกันแน่ แถมปุ่มต่างๆ ที่วางอัดแน่นตรงนี้ ยังอาจจะพาคุณสับสนได้ในการใช้งานจริง จนหลายครั้งที่ขับรถแล้วต้องใช้ฟังชั่นเครื่องเสียงหรือระบบแอร์เพิ่มเติม จำต้องชำเรืองมอง หรือละสายตาจากถนนมากดปุ่มเลยก็มี ..เลยยังรู้สึกว่า การออกแบบชุดปุ่มตรงนี้สมควรจัดการใหม่ให้ใช้งานง่ายมากยิ่งขึ้น
การออกแบบที่เน้นความสปอร์ตแน่นอน MG ไม่พลาดที่จะแนะนำหลังคาซันรูฟมาให้ได้ใช้กัน แต่น่าเสียดายเจ้าหลังคานี้มีแนะนำมาในเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น ส่วนใครที่มองหาเรื่องความอรรถประโยชน์ในการใช้งาน MG GS ก็ยังมากับเบาะนั่งแถว 2 ปรับประดับเอนช่วงผนักพิงได้ หลายระดับ พร้อมพนักแขนและช่องแอร์เสร็จสรรพ ผมลองไปนั่งดูพื้นที่ในการโดยสารเจ้าสปอร์ตอเนกประสงค์คันนี้ก็ไม่ได้ขี้เหร่ มั่นนั่งสบายพอตัว ด้วย ไม่จำเป็นต้องกระเบียดกระเสียนที่สำหรับเบาะนั่งแถว 3 เหมือนคอมแพ็คอเนกประสงค์บางรุ่น
จิ้มปุ่มสตาร์ท ใต้ร่างสปอร์ตโดนใจ MG จให้ความสปอร์ตเต็มเปียมในจิตวิญญาณ ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบแถวเรียง TGI- Tech ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบชาร์จ ของ Honeywell A/R 0.52 M12 ทำกำลังสูงสุด 218 แรงม้า ที่ 5,300 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 2,500 – 4,000 รอบต่อนาที ส่งลงชุดเกียร์คลัทช์คู่ Twin clutch Sporttronics Transmission 6 สปีด
ตั้งแต่แรกสัมผัส MG GS ให้ความรู้สึกถึงความแรงในทันที แม้ว่าความรู้สึกจากเกียร์คลัทช์คู่อาจจะกระเด้ากระเด้งบ้าง โดยเฉพาะการผจญภัยในความเร็วต่ำในเมือง ระบบเกียร์คลัทข์คู่ของ MG GS อาจจะทำให้คุณรำคาญใจ จากการตอบสนองของเกียร์ที่พยายามเลือกชุดคลัทช์ให้เหมาะสมต่อความเร็วที่เราใช้ จนบางครั้งสับไปสับมา ทำเอาหน้าทิ่มเหมือนกัน
แถมระบบพวงมาลัยแรคแอนด์พิเนียนควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) ก็ไม่ได้ออกแบบมาให้เบามือใช้งานง่าย แต่ทาง MG เซทมาให้ตึงมือตั้งแต่แรก มันรู้สึกหนักแน่นตึงมือ น้ำหนักอยู่ในระดับกลางๆ ไม่หนักไป พวงมาลัยไม่เน้นการมีระยะฟรี ทำให้การขับ MG GS ในเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย
รถแรงเกียร์สะดุดพวงมาลัยก็ตึงมือ อาจจะทำให้คุณรำคาญใจบ้าง หากดีกรีความแรง 218 แรงม้า ที่มีให้ใช้ยามคุณซิ่งบี้ไฟแดงรับกิ๊กให้ทัน ส่งแฟนให้ไว นาทีนี้จบด้วยเพียงสองคำ “รถติด” ก็กลับเปล่าประโยชน์ แถมจากที่ขับ ผมค้นพบว่า MG GS มีระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติมาให้ด้วย แต่ไม่เคยพบว่ามันจะทำงานสักครั้งตลอดช่วงเวลาทนำมาขับทดสอบเป็นคำถามที่คาใจไม่น้อยเช่นกันว่าทำไมไม่ทำงาน ...
เมื่อใช้ในเมืองคุณต้องการคือผู้ช่วยในการขับขี่ ใช่ MG GS มีตัวช่วยมากมายในการขับขี่ยาวเป็นหางว่าว แถมยังมีออพชั่นกล้องมองหลังมาให้ด้วย แต่เอาเข้าจริงผมรู้สึกว่า MG ก็น่าจะลงทุนกับคุณภาพของตัวกล้องดีกว่านี้ไม่ใช่นำของเซินเจิ้นความละเอียดต่ำมาให้ลูกค้ารถราคาล้านกว่าบาทใช้ มันอาจจะพอรับได้ ถ้าอยู่ในรถยนต์ MG3 , MG5 แต่ไม่ใช่กับการจ่ายเงิน 7 หลักใน MG GS จนบางครั้งบอกเลยว่าถอยตอนกลางคืน พึ่งกระจกมองข้างหรือเหลียวมองเองยังจะดีกว่าด้วยซ้ำไป
ภาพจากกล้องมองหลังตอนกลางคืนของ MG GS
เมื่อ MG GS มาพร้อมความแรง มันคงจะยากที่คุณจะหวังเรื่องอัตราประหยัดน้ำมัน การขับรถยนต์ 200 กว่าแรงม้าในเมือง ย่อมไม่น่ายินดีปรีดากับความประหยัดน้ำมัน ระดับ 6.1 กิโลเมตร/ลิตร จากน้ำมันแก๊สโซฮอลล 95 และเมื่อผมลองวิ่งทำอัตราประหยัดเฉลี่ย Bonn Test Mode ดูก็ค้นพบว่ารุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อจะทำอัตราประหยัดเฉลี่ยเพียง 8.66 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น เป็นรถที่คุณลืมคำว่าประหยัดไปได้เลย ....
ออกนอกเมืองเดินทางไกล MG GS ตอบความเร้าใจถูกใจขาแรงนักเดินทางทั้งหลาย เมื่อคุณไม่ต้องขับๆหยุดๆ ในเมืองระบบเกียร์คลัทช์คู่ก็ทำงานราบรื่นดีไร้ปัญหา น่าเสียดายเกียร์ชุดนี้ยังไม่ฉลาดพอที่จะจับจังหวะขับประหยัดหรือต้องการเค้นสมรรถนะ หลายครั้งพบว่าชุดเกียร์นั้นจะลากรอบสูง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ MG GS ปล้นน้ำมันอย่างดุเดือด และสามารถแก้ได้ถ้าปรับจูนเกียร์ให้ดีกว่านี้ และผมเองแนะนำให้ MG ทำเสียเร็วๆนี้เพื่อให้เจ้าอเนกประสงค์คันนี้น่าขับมากมากขึ้น
เครื่องยนต์ที่แรงสมรรถนะเร้าใจ มันก็จำเป็นต้องพึ่งพาการทำงานของระบบกันสะเทือนไว้ใจได้ ข่าวดีคือ MG เป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์ที่ผมว่าพวกเขาทำรถที่มีช่วงล่างวางใจได้ออกมาให้ลุกค้า และเมื่อรถมีกำลังระดับ 218 แรงม้า วิศวกรผู้ดีก็เลยหวั่นว่าความแรงจะพาคุณแดกหญ้าข้างทาง ก็เลยจัดการเซทช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลง จัดมาเสียแข็งกระด้างกว่าทุกรุ่นที่ผมเคยสัมผัส MG มา
ในแง่หนึ่งก็พอเข้าใจได้ว่า การเซทช่วงล่างแข้งก็เพื่อทำให้ MG GS มั่นใจในการขับขี่ ไม่ใช่ว่า รถแรงอย่างเดียวได้เสียวทุกโค้ง แบบบางค่าย แต่เมื่อทาง MG ตัดสินใจเซทช่วงล่างมาแข็งแน่นหนึบในการขับขี่ มันก็หมายความว่า คุณอาจจะโดนผู้โดยสารกร่นด่าเรื่องนั่งไม่สบาย
มันไม่ใช่รถที่คุณเหมาะนำไปพบพ่อตาแม่ยาย และเชิญท่านขึ้นประทับขับพาเที่ยว หรือหวังว่าผู้ใหญ่จะชอบรักคุณที่มีอเนกประสงค์คันโตแต่พกเครื่องระดับน้องๆ รถซิ่งไว้ในร่างของมัน ... แต่มันเป็นรถที่ทำให้คุณอมยิ้มทุกครั้งที่ได้ขับแล้วแกล้งรถแต่งซิ่งขาจรแถวบ้าน กดทิ้งหายไปเป็นจุดบนกระจกมองหลัง .... แต่ถ้ากับพวกรถแต่งแรงเครื่อง JZ อาจจะมีหืดขึ้นคอบ้างพอสนุกสนานขำๆกันไป
วิ่งทางไกลแบบนี้เรื่องอัตราประหยัดไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก MG GS ยังไม่ทำให้เราเห็นเลข 2 หลัก ด้วยอัตราประหยัดเพียง 8.88 กิโลเมตรต่อลิตร จะว่าก็ยังลากเลือดอยู่ สำหรับการขับขี่นอกเมือง และเมื่ออัตราประหยัดคงไม่ใช่ทาง เห็นทีเราต้องเล่นกับความแรงให้หนำใจกันเต็มคราบ
เชื่อว่าตั้งแต่ MG GS เปิดตัวออกมา หลายคนคงสงสัยว่า ตกลงที่พูดโฆษณาว่า MG GS ทำอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 8.2 วินาที มันจริงหรือไม่ ... ผมพร้อม.... คนนั่งร่วมชะตาก็พร้อม ในใจยังคิดถึงประโยคโฆษณาที่มาพร้อมเสียงเข้มๆว่า 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 8.2 วินาที ว่าแล้ว เข้าเกียร์ D ออกตัวกดคันเร่ง ไป ผลดันไม่เป็นตามที่หวัง
ตารางแสดงอัตราเร่ง MG GS 4 WD
|
ครั้งที่ 1 |
ครั้งที่ 2 |
ครั้งที่ 3 |
เฉลี่ย |
0-100 ก.ม./ช.ม. |
10.964 |
10.916 |
10.994 |
10.958 |
80-120 ก.ม./ช.ม. |
7.400 |
7.700 |
7.200 |
7.433 |
จากการลองทำอัตราเร่งทั้ง 3 ครั้ง พบว่า MG GS รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ จะทำอัตราเร่ง ได้ราวๆ 11 วินาที โดยประมาณอัตราเร่งดังกล่าว อาจมีโดน Nissan X-Trail 4WD และ X-Trail Hybrid ขับ 2 ล้อ สวนเอาง่าย หรือไม่ก็อาจจะทำให้คุณอายม้วนเสื่อว่า นี่ 218 แรงม้าเราทำไมสู้เขาไม่ได้
สาเหตุที่เราไม่สามารถทำอัตราเร่งได้ตามโฆษณา ผมกลับมาดูเงื่อนไขบนโฆษณาพบว่า การทดสอบอัตราเร่งดังกล่าวเป็น MG GS รุ่นขับเคลื่อนสองล้อ แถมน้ำหนักพิกัดตัวรถรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อก็หนักถึง 1,642 กิโลกรัม มันหนักกว่า รุ่นขับเคลื่อนสองล้อ 100 กิโลกรัม และถ้าเทียบกับรถพิกัดเดียวกัน ยกตัวอย่าง Nissan XTrail เมื่อมองที่รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อด้วยกัน MG GS ก็ยังหนักกว่า ราวๆ 40 กิโลกรัม
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดเลย คือ ชุดเกียร์คลัทช์คู่ของ MG GS ยังมีอาการตอบสนองช้าไปหน่อย ทำให้การออกตัวเชื่องช้าในช่วงแรกยกเว้นคุณใช้วิชามารในการออกตัวก็จะเร็วขึ้นมาอีกนิด แต่ก็ต้องเสี่ยงด้วยว่าเกียร์มีปัญหาในอนาคตหรือไม่ ถ้าทำบ่อยๆ นั่นทำให้ชุดเกียร์ CVT ที่เราหลายคนว่าขับไม่มันส์ตีตื้นขึ้นมา ถ้าวัดกันแบบหมัดต่อหมัด
ลอง MG GS รุ่นขับสอง ความแตกต่างที่สัมผัส .....
โอเค ...ต้องรุ่นขับเคลื่อนสองล้อใช่ไหม ..ผมใช้เวลารวบรวมวิเคราะห์ข้อมูล และจัดการนัดหมายรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ มาทดสอบ ..ให้รู้แล้วรู้รอดกันไปว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า
หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ในที่สุด ผมก็ได้ MG GS รุ่นขับเคลื่อนสองล้อมาสักที .... ถ้ามองด้วยสายตาเผินๆ คุณจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างรถทั้งสองรุ่น สำหรับผมอย่างเดียวที่แตกต่างออกไปในทีแรกที่มอง คือ ราวหลังคา ...
แต่เมื่อก้าวเข้ามาสู่ห้องโดยสาร ก็มีอีกหลายรายการที่หายไปจากรุ่นขับสี่ เริ่มตั้งแต่ ไม่มีมูนรูฟ , เบาะคนนั่งด้านหน้าเป็นปรับมือ หลังพวงมาลัยไม่มี Paddle Shift แน่นอนมันยังขาดปุ่มขับเคลื่อนสี่ล้อและไร้เพลาหน้า ผมพลิกรายละเอียดทางเทคนิคเพิ่มเติม ก็พบว่ารุ่นขับสองนี้ยังไม่มีระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้าและ ไฟหน้าก็เป็นหลอดฮาโลเจนธรรมดา
ขึ้นขับตะลุยป่าคอนกรีต MG GS 2WD ให้สัมผัสหลายอย่างคล้ายคลึงกับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อที่เคยสัมผัสมาก่อนหน้านี้ เรื่องกำลังเครื่องยนต์สมรรถนะความแรงก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าน้ำหนักตัวลดที่หายไปจากรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อถึง 100 กิโลกรัม ทำให้รถมีความคล่องตัวมากขึ้น เวลาเปลี่ยนเลนดูช่ำชองควบคุมง่ายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แถมการตอบสนองอัตราเร่งดูไวขึ้นกว่าเดิม
แม้เราจะรู้สึกว่ามันไปไวขึ้น หากเรื่องหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการซดน้ำมันจากการทดสอบด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 ในเมืองเราได้อัตราประหยัดเพียง 6.65 กิโลเมตร /ลิตร และเมื่อลองทำ Bonn Test Mode ก็ดีขึ้นเล็กน้อยขยับมาให้ใจชื้นในระดับ 9.68 กิโลเมตรต่อลิตร เช่นเดียวกันขับนอกเมืองทำได้เพียง 9.29 กิโลเมตร/ลิตร ...สรุปก็ยังไม่พ้นเลข 2 หลักอยู่ดี
ขับไปๆมาๆ ลองดูเรื่องช่วงล่างนุ่มนวลกว่ารุ่นขับสี่อยู่ประมาณหนึ่ง แต่การขาดซันรูฟไม่มารายงานตัวในรุ่นนี้ทำให้โครงสร้างตัวรถมีความแข็งแรงมากขึ้น จนถ้าไม่มานั่งจับความมรู้สึกกันจริงๆ จะไม่รู้ถึงความแตกต่าง เลยก็ว่าได้ แต่ถ้าเอาขับสบายใจไม่กระเทือนจนเครื่องในแทบมากองกับพื้นแบบรถแข่งพันธุ์แรงผมกล้าพูดว่า เจ้ารุ่นขับสองนี่แหละดูจะเซทมาลงตัวเหมาะสมมากกว่า
ขับๆดูภาพรวมตัวรถไปแล้วได้เวลามาวัดสมรรถนะกันเสียที คำถามสำคัญที่ทำเอาผมลุ้นเนื้อเต้น คงไม่พ้น 0-100 ก.ม./ช.ม. 8.2 วินาที จะทำได้หรือไม่
ย้อนกลับไปเมื่อตอนรับรถ ผมแอบถามทาง MG ว่าสรุป ตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ที่ใช้ในการโฆษณามาจากไหน พวกเขาก็ยินดี ...ที่จะตอบบว่าเป็นการทดสอบภายในโดยวัดจากอุปกรณ์พิเศษ V-Box ซึ่งจับสัญญาณจาก GPS โดยตรง ถึงเราจะไม่ได้เน้นเครื่องมือระดับโปรขนาดนั้น แต่การวัดแบบบ้านๆ ด้วยโปรแกรมจากมือถือที่สามารถล็อคสัญญาณ GPS น่าจะให้ผลไม่ต่างกัน ...
มาถึงที่เดิมเวลาเดิม สภาพอากาศภายนอกวันนี้ 34 องศาสเซลเซียส ผม เดือน และ MG GS รุ่นขับเคลื่อนสองล้อพร้อมแล้วจะตอบคำถามคาใจเพื่อนๆ ว่ามันทำได้จริงหรือไม่ .....
ตารางแสดงอัตราเร่ง MG GS 2WD
|
ครั้งที่ 1 |
ครั้งที่ 2 |
ครั้งที่ 3 |
รวม |
อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. |
7.982 |
8.000 |
8.000 |
7.994 |
อัตราเร่ง 80-120 ก.ม./ช.ม. |
5.000 |
6.900 |
5.000 |
5.633 |
จากการทดสอบอัตราเร่ง ผลปรากฏว่า .... มันทำได้จริง!!! ... นั่นทำเอาผมรู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่า อเนกประสงค์ร่างยักษ์คันนี้สามารถเร่งได้ไม่ต่างจากรถสปอร์ต มิหนำซ้ำ จากการวัดในการทดสอบครั้งนี้ผมยังทำเวลาในอัตราเร่ง เร็วกว่าที่โฆษณาเอาไว้อีก 0.2 วินาที ผมค้าข้อมูลย้อนหลังดู มันสามารถขับกอดคอไปกับ Subaru WRX ได้ แต่คุณก็ต้องออกตัวดีมากๆ
และน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ถ้าการตอบสนองเกียร์ของ MG GS ถูกปรับจูนให้ดีขึ้น เกียร์ยังตอบสนองช้าในช่วงแรก ไม่ทันใจเหมือนเครื่องยนต์สายพันธุ์แรงของมัน และถึงจะใช้โหมดสปอร์ต การตอบสนองเกียร์ในแต่ละตำแหน่งก็ยังเชื่องช้า ผมอนุมาณว่าถ้า MG ปรับเกียร์จนสำเร็นเสร็จสิ้น มันอาจจะยืนที่อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลา 7 วินาที กลางๆ
สรุป…MG GS ....อเนกประสงค์พันธุ์แรง ... จะซื้อต้องรุ่นขับสองเท่านั้น ...!!!
นาทีนี้ผมเริ่มหลงรักเจ้า MG GS บ้างแล้วแต่ด้วยการซดน้ำมัน ทำให้ผมตัดสินใจว่า เอามันรีบกลับไปคืน MG ดีกว่า ก่อนจะเสียเงินค่าน้ำมันกับมันมากกว่านี้ ..55
จากที่ขับมาทั้งสองรุ่น สิ่งเดียวที่จะทำให้คุณชื่นชอบเจ้ารถยนต์อเนกประสงค์คันนี้คือความแรงของมัน.... ตัวเลข 218 แรงม้า อาจจะไม่แรงมากเท่ารถสปอร์ตบางรุ่น แต่ก็แรงพอที่จะทำให้คุณหลังติดเบาะตั้งแต่ออกตัว
ลองจินตนาการคุณติดไฟแดงอยู่คันแรกถนนข้างหน้าโล่งไม่มีใคร คุณอยากชิงไฟออกตัวแบบการแข่งควอเตอร์ไมล์ คุณเหยียบเบรกมือกระชากเกียร์มาที่เกียร์ D คุณพร้อมแล้วที่จะไปไฟยังไม่เขียว เท้าขวาคุณดันคันเร่งนิดหน่อยเพื่อพร้อมจะออกตัว คุณมองไฟทันใดนั้นไฟเขียวคุณปล่อยคันเบรกเป็นอิสระ ..แล้วทันใดนั้น MG GS ก็สยายปีกโบยบินออกไปจากไฟแดง พร้อมเสียงยางบดพื้น เอี๊ยด .. เอี๊ยด เอี๊ยด!!! คุณขยี้คันเร่งติดพื้น เรียกกำลังออกมา มันเป็นรถที่ปล่อยคุณเป็นอิสระ ไม่นึกถึงอะไรนอกจากความเร็ว .....
สิ่งที่ผมพูดไม่ไกลความเป็นจริงที่คุณจะพบได้บ่อยครั้งใน MG GS มันคืออารมณ์ของคนรักความแรงหลงความเร็ว และเพื่อนๆหลายคนคงอยากจะซื้อรถแรงประดับบารมีไว้ในบ้าน และบ่อยครั้งเราจะพบว่ามันพาเราฝันสลายเมื่อรถแรงระดับ 200 แรงม้า ส่วนใหญ่มีราคาค่าตัวระดับ 2-3 ล้านเป็นอย่างน้อย แต่ MG ถูกกว่านั้นครึ่งหนึ่ง และแรงพอตัว.. นั่นเป็นข่าวดี
ข่าวร้ายคือ คุณจะต้องยอมรับว่าคุณกำลังเจอกับรถแรงมหากาฬที่ไม่ควรอย่างยิ่งจะถามเซลล์ว่า น้องๆ มันประหยัดเท่าไร เพราะไม่ว่าคุณจะคลานจนเต่ากัดยางหรืออย่างไรก็ไม่สามารถจะทำให้มันประหยัดพิชิต ระดับ 10 กิโลเมตร/ลิตรได้เลย ยังดีที่ MG เซทให้ MG GS รองรับพลังงานทางเลือกได้สูงสุดถึง E85 แต่ในการขับทดสอบครั้งนี้ผมยังไม่ได้ลองเรื่องพลังงานทางเลือกเลยสักรอบ เลยยังตอบไม่ได้เรื่องอัตราประหยัดจากพลังงานทางเลือก
นอกจากเรื่องอัตราประหยัดแล้ว เรื่องระบบส่งกำลังก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร ผมเชื่อว่า MG น่าจะรู้ตัวเองดีในเรื่องนี้ และพยายามปรับเกียร์ให้ลงตัวมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับที่ทำใน MG6 และถ้าเกียร์สมบูรณ์กว่านี้เจ้า MG GS จะเร็วกว่านี้และขับสนุกกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ดี ..ถ้าคุณมีคำถามคาใจว่า ท้ายที่สุดแล้ว เราควรจะเลือก MG GS รุ่นไหน หลังจากขับทั้งสองรุ่น ผมจะเลือก MG GS รุ่นขับเคลื่อนสองล้อ ด้วย 4 เหตุผลสำคัญ คือ
1.คุณคงไม่นำรถยนต์ 218 แรงม้าไปขับลุยป่าเขาแน่นอน
2.รุ่นขับ 2 เบากว่าราวๆ 100 กิโลกรัม และเป็นรุ่นที่ทำอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ได้ 8.2 วินาทีจริงๆ
3. หน้าตาทั้งสองรุ่นไม่ต่าง เว้นเพียงราวหลังคา
4.ออพชั่นต่างแตกต่างเพียง 6 จุด และคุณเซฟเงินไปอีกแสนบาท แถมยังเร้าใจกว่าด้วย
แน่นอนความแตกต่างระหว่างรุ่นอาจจะมาพร้อมออพชั่นที่ต่างกันบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย นายเต้ย ซึ่งไปงานทดสอบกลุ่ม MG GS บอกผมว่า มี 7 สิ่งที่แตกต่างระหว่างรุ่นขับ 2 และขับ 4 คือ
- ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
- ราวหลังคา
- ซันรูฟ
- เบาะคนนั่งตอนหน้ารุ่นขับสี่ จะเป็นปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง
- ไม่มีPaddle Shift
- ไฟหน้าไม่ใช่แบบ HID
- ขาดระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้า ..
ถ้าทั้ง 7 สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ แต่อยากได้เพียงสมรรถนะความแรงของตัวรถ ผมแนะนำว่า ซื้อรุ่นขับสอง ก็พอ มันเพียงพอที่จะทำให้คุณสนุกบนทุกเส้นทาง แต่อย่าลืมว่า นี่ไม่เหมาะสำหรับไปรับพ่อตาแม่ยายแถมไม่เหมาะสำหรับคนมีแฟนขี้กลัว และที่สำคัญที่สุด รุ่นขับเคลื่อนสองล้อจะไม่ทำให้คุณกังวลใจว่า เพื่อนร่วมรุ่นกำลังน้อยกว่า จะมาจี้ตูดหรือเทียบข้างหรือไม่ ยามคุณขับอย่างมั่นว่าไม่มีใครตามได้
MG GS …. เปรียบดั่ง สายลับ MI6 สวมชุดพ่อบ้านหมวกฟางพกปืนวอลเทอร์ในกระเป๋ากางเกงและพร้อมจะลั่นทุกเมื่อ ที่ใครมาหาเรื่องหรือทำสบถไร้มารยาทใส่ มันคือรถที่พร้อมซิ่งทุกเวลาที่ต้องการ (ยกเว้นเวลาที่น้ำมันกำลังจะเกลี้ยงถัง อันนี้ผมไม่แนะนำให้ขับซิ่ง เพราะอาจจะน้ำมันหมดเอาดื้อๆได้)
มันคือรถที่คุณสามารถพาครอบครัวออกเที่ยว และเมื่อพวกเขาหลับ คุณก็เปิดวาร์ปไปยังปลายทางได้อย่างไม่หวั่นใจอะไร เรื่องสมรรถนะความมั่นใจมีดีทุกอย่าง แถมยังดีพอคุณจะไปทักทายแก๊งคอมแพ็ค 1500 เทอร์โบได้ถ้าต้องการ และเกาะกลุ่มได้อย่างไม่อายเพื่อนว่า เฮ้ย ... ก็แค่อเนกประสงค์เครื่องแรงนี่หว่า ... ที่พูดทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่คุณจะพบในตัวขับเคลื่อนสองล้อ
กลับกันถ้าคุณสนใจรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ คุณต้องทำใจเรื่องออพชั่น และเรื่องอัตราเร่งที่แย่กว่า ราวๆ 2 วินาที ในอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ถ้าคุณรับได้ และคิดว่าจะมีโอกาสเอา 218 แรงม้า ไปลุยแน่!! แต่ถ้าเลือกขับสี่ผมแนะนำว่ามองทางเลือกรุ่นอื่นอาจจะดีกว่า เพราะมันประหยัดน้ำมันมากกว่า และเร่งได้ไม่ต่างกัน
ตารางเปรียบเทียบ อัตราเร่ง MG GS ระหว่างรุ่นขับ 2 และ ขับ4
|
อัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ชม.(วินาที) |
อัตราเร่ง 80-120 ก.ม./ชม. (วินาที) |
||
|
MG GS 2WD |
MG GS 4WD |
MG GS 2WD |
MG GS 4WD |
ครั้งที่ 1 |
7.982 |
10.964 |
5.00 |
7.40 |
ครั้งที่ 2 |
8.000 |
10.916 |
6.90 |
7.70 |
ครั้งที่ 3 |
8.000 |
10.994 |
5.00 |
7.20 |
เฉลี่ย |
7.994 |
10.958 |
5.63 |
7.433 |
*หมายเหตุทดสอบด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 นั่งสองคน จับเวลาด้วยระบบ GPS
ตารางเปรียบเทียบอัตราประหยัด MG GS รุ่น ขับเคลื่อนสองล้อ และขับเคลื่อน สี่ล้อ
|
MG GS 2WD (ก.ม./ลิตร) |
MG GS 4WD (ก.ม./ลิตร) |
อัตราประหยัดในเมือง |
6.65 |
6.10 |
อัตราประหยัดนอกเมือง |
9.29 |
8.80 |
Bonntest mode |
9.68 |
8.66 |
*ทดสอบด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95
ผมลงจาก MG GS มายอมรับนะว่า ชอบความแรง มันเป็นอเนกประสงค์ที่ทำให้ผมหลงรักได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องดีของมันคือสมรรถนะเร้าใจ ...แต่เรื่องที่ผมยังทำใจไม่ได้กับมันคือ อัตราซดน้ำมันที่เกินจะเยียวยา ผมบอกกับเดือนระหว่างขับมันครั้งสุดท้ายว่า เธอรู้ไหม คนจะซื้อรถคันนี้ต้องบ้าจริงจัง .... บ้าความแรง บ้าพลัง และบ้าพอที่จะยอมจ่ายเงินเติมน้ำมันเจ้า GS คันนี้ ......และถ้าคุณคิดว่า คุณมีลูกบ้ามากพอจะสนองอีโก้ของตัวเอง ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ผมกล้าพูดว่า 218 แรงม้า ที่ราคาถูกขนาดนี้ คงจะหาที่ไหนไม่ได้แล้วล่ะครับ ..... และมันจะกลายเป็นตำนานถนนแถวบ้าน ว่ารถอเนกประสงค์ ก็แรงระดับรถสปอร์ต หรือ รถแต่งวางเครื่องยังมีอาย ....
เรื่อง โดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ติดตามผู้สื่อข่าวและนักทดสอบรถยนต์ นาย ณัฐยศ ชูบรรจง ได้ที่ Facebook หรือ ทาง Fan page ,Twiter (@Nattayosc), Blog ส่วนตัว
รถทดสอบ MG GS
MG GS 2WD ราคา จำหน่าย 1,210,000 บาท
MG GS 4WD ราคา จำหน่าย 1,310,000 บาท
สิ่งที่ชอบ >>> สมรรถนะของเครื่องยนต์ 2. 0 ลิตรเทอร์โบให้ความเร้าใจในการขับขี่ ตลอดจนการเซทช่วงล่างที่ทำออกมาได้มั่นใจ สมกับเป็นรถที่มีความทรงพลังในตัว
สิ่งที่ไม่ชอบ >> การซดน้ำมันที่มากเกินไป และ เกียร์ที่ยังเซทไม่สมบุรณ์เท่าที่ควร มีอาการสะดุด ระหว่างเปลี่ยนเกียร์ในช่วงความเร็วทำให้ขับไม่สบาย เบาคนนั่งตอนหน้าสูงไปนั่งไม่สบาย
สิ่งที่อยากให้มี >>> รุ่นเกียร์ธรรมดา อาจจะตอบโจทย์ลูกค้าขาแรงมากกว่านี และถ้าอนาคตจะมีรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.9 ลิตร มาตอบโจทย์ ก็ดูน่าสนใจไม่หยอก
คำแนะนำสำหรับ ผู้ซื้อ >>> เรื่องความแรงกังวลหายห่วง เรื่องเดียวที่น่าเป็นห่วงคือการซดน้ำมัน แต่แน่นอน คุณคงจะไม่ยี่หระ ถ้าริจะซื้อรถยนต์ระดับ 200 แรงม้า ที่ไม่ใช่เครื่องยนต์ดีเซล
มาติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com