Full Review : Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive SUV หรูได้ลุยได้ในคันเดียวกัน
- โดย : Autodeft
- 27 ธ.ค. 58 00:00
- 82,327 อ่าน
พบบทดสอบสมรรถนะ Mercedes-Benz M Class ทิ้งมทวนก่อนเปลี่ยนรุ่น... เป็นรหัส GLE หรูคันนี่้จะน่าสนใจแค่ไหน ต้องมาติดตามกัน
เรื่องและขับทดสอบโดย สุกิจ เลิศธนะแสงธรรม (นายเต้ย)
บ่ายวันที่ 7 ธันวาคม Bonn โทรศัพท์หาผม แล้วบอกว่า “นายเต้ย ช่วงวันที่ 11 ธันวาคม นายต้องไปรับรถ Mercedes-Benz แทนเรานะ”
“แล้วรถ Mercedes-Benz ที่จะเอามาขับทดสอบ เป็นรุ่นอะไรเอ่ย “ ผมถาม
“ยังไม่บอกนะ เดี๋ยววันนั้นจะเฉลยต่อหน้านายเอง”…………… Bonn ตอบ
……………………
หลังการสนทนาทางโทรศัพท์สิ้นสุดลง ทำให้ผมนายเต้ย นั่งคิดเพ้อฝันทันทีว่ารถ Mercedes-Benz ที่จะเอามาทดสอบนั้นต้องเป็นรถเปิดประทุนระดับ SLK หรือ E-Class รุ่นคูเป้หรือไม่ก็ AMG GT สปอร์ตซุปเปอร์คาร์สุดแรงอย่างแน่นอน ซึ่งเขาเคยเปรยๆ เอาไว้ ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา
กล่าวถึง Mercedes-Benz หลายคนคงนึกถึงแต่รถยนต์นั่งสุดหรูเท่านั้น แต่ความจริง นอกจากเจ้า Mercedes-Benz C,E และ S-Class แล้วรวมถึงสปอร์ตคาร์ทั้งหลายที่เราคุ้นหน้าตากันเป็นอย่างดี ค่ายดาวสามแฉกยังมีรถยนต์กลุ่มอื่นๆ เช่นรถตู้แวน อย่าง Mercedes-Benz V class ที่พัฒนาจาก Vito และท้ายสุดพวกเขาก็มีอเนกประสงค์ด้วยเช่นกัน
หลายคนคงไม่คุ้นกับรถยนต์อเนกประสงค์ของค่ายนี้ ตาระยะหลัง อเนกประสงค์เยอรมันดาวสามแฉกก็ตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะล่าสุดการยกเครื่องชื่อรหัสใหม่ทั้งหมดของ Mercedes-Benz เป็นตระกูล GL จากตระกูลอเนกประสงค์เดิมรหัส M-Class เมื่อกล่าวถึงรถยนต์อเนกประสงค์กลาง และเมื่อมีการประกาศเตรียมตัววางจำหน่าย Mercedes-Benz GLE ใหม่ ก็ยิ่งทำให้เราควรจะเรียนรู้ว่าที่รุ่นเก่า ซึ่งส่งท้ายรุ่นด้วยการจัดหนักโปรโมชั่นล้างสต๊อก
Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive จอดตระหง่านอยู่ตรงหน้า นี่คือรถยนต์ที่สื่อมวลชนน้อยคนจะได่ขับมัน เพราพวกเขามองข้ามในตัวตนด้วยความเก่าของตัวรถที่กำลังจะแทนที่ด้วยรุ่น GLE แต่จะว่าไป เจ้า Mercedes-Benz M-Class อเนกประสงค์หรูคันนี้เหมาะกับคนหัวใจหรูและชอบลุยผจญภัย ต้องการรถพร้อมใช้ทุกสถานการณ์ มันเปิดตัวอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 1997 วางจำหน่ายมาแล้วก่อนหน้านี้ 2 รุ่น และปัจจุบันเป็นเจนเนอร์เรชั่นที่ 3 ในรหัสตัวถัง W166 เผยตัวจริงครั้งแรกในปี 2012 รวมถึงในประเทศไทย
จากจุดเริ่มต้นการเป็นรถนำเข้าและภาหลังรถรุ่นนี้ถูกนำเข้ามาประกอบในประเทศไทย เป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซี่ยนที่ได้รับสิทธิ์ในการประกอบครั้งนี้ Mercedes-Benz M-Class มีวางจำหน่ายทั้งหมด 2 รุ่นย่อยได้แก่ Executive (รุ่นที่นำมาทดสอบ) และ AMG Dynamic รุ่นท็อปสุด ซึ่งมีรายละเอียดบางประการที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะการได้ชุดแต่งจาก AMG Package แท้เสริมความหล่อรอบคัน
เรือนร่างภายนอก ถึงจะเก่าตามยุค แต่ Mercedes-Benz ML250 BLUETEC Executive ยังคงสื่อถึงความเป็นสปอร์ต ทันสมัย รถดูปราดเปรัยวลงตัว และขาดไม่ได้ในเอกลักษณ์ความแกร่ง ทั้งหมดเป็นเส้นสาย ที่สื่อสารลงในรถยนต์นั่งในร่างรถ SUV หรูพรีเมี่ยม 5 ที่นั่ง มีดีไซน์บ่งบอกตัวตนอย่างชัดเจนหรือจะกล่าวได้ว่าเป็นรถ 2 บุคลิก ทั้งหรูและลุยได้แบบออฟโรดในคันเดียวกัน
เริ่มจากยกระจังหน้าโครเมียมแนวนอน 3 เส้น พร้อมโลโก้ดาว 3 แฉก เส้นสายยังดูไม่ตกยุคอย่างที่หลายคนคิด ถูกออกแบบให้มีช่องดักลมขนาดใหญ่และยาวมากขึ้น ประกบข้างด้วยไฟหน้าแบบ Bi-Xenon แสงสีขาว เหมาะมากสำหรับการขับขี่ในทางเปลี่ยว แต่อาจสร้างรำคาญต่อเพื่อนร่วมทาง ส่วนหนึ่งด้วยตัวรถที่สูง และเรายอมรับว่า เราไม่เห็นปุ่มปรับระดับไฟหน้า ซึ่งความจริงน่าจะมีมาให้ ทำเอาหลายครั้ง เราคงถูกด่าลับหลัง หาว่าเปิดไฟสูงขับรถแบบคนรวยไร้สติเป็นแน่แท้
ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ ILS – Intelligent Light System ช่วยเพิ่มความมั่นใจ แถม M-Class ยังมีระบบ Active Light System ปรับไฟเลี้ยวตามพวงมาลัยเลี้ยวโค้งอย่างมั่นใจด้วยระบบเพิ่มความสว่างขณะเลี้ยวโค้ง ส่วนตัวกันชนหน้าถูกออกแบบให้มีช่องระบายความร้อน พร้อมด้วยไฟ Daytime แบบ LED สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน
ด้านข้าง M-Class ถูกออกแบบโค้งมนสื่อถึงสไตล์สปอร์ตตั้งแต่เส้นโค้งของเสา C-pillar แตกต่างจากรถ SUV ทั่วไป พร้อมกระจกมองข้างไฟเลี้ยว LED ดีไซน์เฉียบ ความงามสง่าถูกเติมด้วย ล้ออัลลอย ลาย 10 ก้าน ขนาด 20 นิ้ว จากโรงงาน พร้อมยางขนาด 265/45 R20 และขาดไม่ได้ราวหลังคา เหมาะมากสำหรับการบรรทุกสัมภาระหรือติดตั้งกล่องอเนกประสงค์ ส่วนด้านหลังเพิ่มความออกแบบให้โค้งต่ำลาดเอียงไปกับหลังคาสปอยเลอร์ฝังไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมทั้งกันชนหลังที่ใหญ่และดูแข็งแกร่งมากขึ้นซึ่งมาพร้อมกับไฟท้ายแบบ LED และขาดไม่ได้คือการอำนวยความสะดวกสบายด้วยประตูท้ายไฟฟ้า สะดวกสบายในการใช้งาน
ร่าง Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive ออกมาในขนาดอเนกประสงค์ขนาดกลาง มีพื้นที่มากพอในการใช้งาน ด้วยความยาว X กว้าง X สูง อยู่ที่ 4,804 X 1,926 X 1,796 มม. ตามลำดับ และยังวิศวกรรมระยะฐานล้อ 2,915 มม. แต่ด้วยความหรูหราของมัน ทำให้พิกัดน้ำหนักตัวรถหนักเกือบ 3 ตันที่ 2,950 กก. พร้อมเดินทางด้วยความจุถังน้ำมัน 70 ลิตร จะว่าก็ไปก็มากแล้ว แต่ก็แลจะน้อยกว่าที่คาดนิดหน่อย
กุญแจรีโมท ที่จะไขไปสู่ความเลิศหรูภายในห้องโดยสาร น่าเสียดายที่มันไม่ใช่ระบบ Keyless Entry เป็นส่วนแรกที่อาจจะทำให้มันดูไม่สมศักดิ์ศรีรถยนต์อเนกประสงค์ราคา 4.6 ล้านบาท
เมื่อก้าวมาสู่ห้องโดยสารยังคงโดดเด่นเช่นเดิมตามสไตล์ค่ายดวงดาวสามแฉก ด้วยโทนภายในห้องโดยสารที่เลือกได้ 2 สี ทั้ง สีดำบ่งบอกถึงความเข้ม และสีเทาอ่อน Alpaca Greyคล้ายคันที่นำมาทดสอบนี้ ให้ความสบายตาและผ่อนคลายในการเดินทาง พร้อมไฟเรืองแสงรอบคันยกระดับตัวตนเพิ่มความพรีเมี่ยมมากขึ้นกว่าเดิม
เบาะนั่งกับพนักพิงศรีษะ หุ้มด้วยหนังแท้คุณภาพสูง ในส่วนของเบาะคู่หน้าสามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำตำแหน่งท่านั่งที่เลือได้ตามความประสงค์ทั้งฝั่งคนขับและคนนั่ง พิเศษ!!สำหรับฝั่งคนขับสามารถบันทึกความจำตำแหน่งพวงมาลัยและกระจกมองข้างได้ และถ้าคุณคาดเข็มขัดนิรภัยทั้งด้นคนขับและคนนั่งแต่สงสัยว่าเมื่อคาดเข็มขัดแล้ว ทำไมเข็มขัดนิรภัยจะต้องรัดแน่นและคลายอยู่ตลอดเวลาอาจสันนิษฐานได้ว่า เป็นหนึ่งในระบบ PRE-SAFE® หรือระบบความปลอดภัยแบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ
ตรงหน้าคนขับหรูหราสบายตา จากผลพวงของแผงหน้าปัดที่ใช้สีเทาอ่อน พร้อมแผงตกแต่งแบบ Light Aluminum Trim With Longitudinal Grain จับกระชับมือด้วยพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบ 4 ก้าน หุ้มหนัง Nappa แต่สิ่งที่มาชดเชยความหรูด้วยตัวพวงมาลัยปรับสูงต่ำและยืดหดด้วยไฟฟ้า
คอนโซลกลางให้ความบันเทิงตลอดทางด้วยเครื่องเล่นวิทยุซีดี MB Audio 20 พร้อมเครื่องเล่น CD-MP3 แบบ 6 แผ่น ซึ่งต้องบอกตรงๆเลยว่า รถประเภทนี้ น่าจะให้เครื่องเล่น DVD พร้อมจอ 2 จอติดหลังเบาะหน้าเพื่อเอาใจลูกๆที่อยากดูการ์ตูน ซ้ำร้ายไม่มีระบบนำทาง กับกล้องมองหลังให้ ซึ่งออฟชั่นดังกล่าวต้องขึ้นไปเล่นรุ่นท็อป AMG Dynamic
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับ Mercedes-Benz เกือบทุกรุ่น นั่นคือ คันเกียร์ Auto ที่มาในรูปแบบเกียร์มือ ถึงจะคลาสสิก แต่ถ้ามือใหม่หรือมือเก่าที่ผ่านการขับรถค่ายดาวสามแฉกมาหลายรุ่นในอดีต นี้ อาจจะมึนงงไปบ้างในช่วงแรกแต่ถ้าขับนานๆไปจะเริ่มคุ้นมือขึ้นมาทันที ในยามที่ขับขี่ถ้าเกิดความเมื่อยล้าจากการเดินทางในเวลากลางคืน ก็ยังมีระบบ Attention Assisted คอยเป็นผู้ช่วยดูแลยามเดินทาง
เบาะหลังตอน 2 เป็นแบบหุ้มหนังแท้คุณภาพสูงเช่นกันกับเบาะคู่หน้า พร้อมพนักพิงศีรษะ 3 จุดปรับได้ มีพื้นที่เก็บสัมภาระโดยไม่พับเบาะอยู่ที่ 690 ลิตรสามารถวางกระเป๋าเดินทางได้หลายๆใบ พร้อมแผ่นปิดสัมภาระด้านท้ายถอดเก็บได้ ในยามต้องที่พับเบาะแบบ 60/40 เมื่อพับเบาะลงทั้งหมดแล้ว จะมืพื้นที่ขนสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 2,010 ลิตร สามารถโยนถุงกอลฟ์ 2-3 ได้สบายๆ
ใต้ร่างยักษ์ SUV หรูคันนี้ ได้เครื่องดีเซลเทอร์โบพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 4 สูบแถวเรียง ในรหัส OM651 DE 22 LA ขนาด 2.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที จัดเต็มกับแรงบิดมหาศาลถึง 500 นิวตันเมตร ทำแรงบิดต่อเนื่องได้แค่ช่วงสั้นๆ เพียง 1,600-1,800 รอบ/นาที จับคู่กับระบบส่งกำลังทรงอานุภาพด้วยเกียร์ออโต้ 7 สปีด 7G-Tronic Plus
ถึงแม้เครื่องดีเซล 2.2 ลิตร บล็อคนี้จะเคยประจำการในรถหลากรุ่น ตั้งแต่ C-Class E-Class S-Class ไปจนถึง สปอร์ตซาลูนคูเป้ CLS แต่เมื่อมาอยู่ในรถ SUVสุดหรู ผนวกกับว่าวันรับรถวันแรก ตรงกับวันจัดกิจกรรม “ปั่นเพื่อพ่อ” ตั้งแต่ สถานที่รับรถออกสู่ถนนสาทร และเส้นนราธิวาสราชนครินทร์ ค่อนข้างโล่ง เลยลองกดคันเร่งเพื่อเรียกดูความจัดจ้าน ก็นำพาร่างที่หนักเกือบ 3 ตัน พุ่งตัวออกอย่างรวดเร็วทันใจ จนหลายคนอาจจะคิดว่า “นี่เราขับเครื่องดีเซลใหญ่ขนาด 3.0 ลิตร V6 หรือเปล่านี่“
ลองพละกำลังแบบหอมปากหอมคอ เมื่อมาถึง สี่แยกสาทร-นราธิวาส เพื่อจะเลี้ยวซ้ายข้ามสะพานตากสิน กลับบ้านย่านบางกรวย สิ่งที่ไม่คาดฝันและไม่คิดว่ามันจะมีจริงๆนั่นคือ ระบบหยุดการทำงานเครื่องยนต์ชั่วคราวหรือ “Eco Start/Stop” จากเดิมที่เครื่องดีเซลให้ความประหยัดน้ำมันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแต่เมื่อมีระบบนี้เข้ามาก็เสริมความประหยัดมากขึ้น แต่ถ้าไม่ปรารถนาที่จะใช้ระบบนี้เพียงเพราะเดี๋ยวติดตเดี๋ยวดับก็สามารถกดปุ่มยกเลิกระบบได้เช่นกัน โดยระบบดังกล่าว ใน Mercedes-Benz C300 BLUETEC Hybrid Estate AMG Dynamic ก็มีเช่นกันซึ่ง Bonn ได้เคยนำมาทดสอบแล้ว
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีระบบ Brake Hold โดยจะทำการหน่วงเบรกต่อโดยอัตโนมัติและไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรกค้างไว้ โดยเหยียบเบรคให้ลึกแล้วสัญญาณไฟเตือนจะขึ้นคำว่า Hold ทันทีและเมื่อไฟเขียว คุณก็แค่เหยียบคันเร่ง รถจะพร้อมพุ่งทะยานออกไปทันที
แล้วก็มาถึงการทดสอบ อัตราสิ้นเปลืองทั้งในเมืองและนอกเมือง แบบฉบับ Autodeft ตลอดปีที่ผ่านมา เราอดไม่ได้ที่จะเก็บข้อมูลจาก Bonn Test Mode โดยทางเราจะใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง เพื่อได้ทราบตัวตนที่แท้จริงของรถแต่ละรุ่น ว่าจะบริโภคน้ำมันมากน้อยแค่ไหน
ครั้งนี้เรานำเจ้า SUV สุดหรู คันนี้ ยัดหัวจ่ายเติมเต็มถังด้วยน้ำมันดีเซลจากปั้มประจำ PTT Crystal พร้อมกับ Bonn และแขกรับเชิญพิเศษ อีก 1 คน จากนั้นก็ขับตามเส้นทางสูตรเฉพาะในการขับขี่ เช่นเดิม และช่วงระหว่างทดสอบงวดนี้ การจราจรไม่ติดขัดมากมายนัก แม้ว่าจะเป็นเย็นวันศุกร์ที่คนชอบออกมาสังสรรค์ เราจบการทดสอบเจ้า M-Class โหมดประหยัด Bonn Test Mode ด้วยระยะทาง 65.8 กิโลเมตร เราจัดน้ำมันไปเพียง 6.060 ลิตร ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 10.85 กม./ลิตร ตัวเลขนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ สำหรับ SUV ร่างหรูที่พกน้ำหนักเกือบ 3 ตัน
อัตราประหยัดในเมืองถือว่าไม่เลว แต่เจ้าเยอรมันยังต้องพิสูจน์ในเส้นทางยาว บนถนนหลวง หนทางครั้งนี้เราไปไกลถึงจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดทางผ่านของใครหลายๆ คนแต่ที่นี่ยังมี อุทยานคลองวังเจ้า ซึ่งมีเส้นทางออฟโรดขับสนุกมันส์ๆไปน้ำตกเต่าดำที่เขาว่าสวยงามและเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา
การขับขี่บนทางหลวงสายเอเชีย เจ้า Mercedes-Benz ML250 BLUETEC Executive แสดงความเป็นรถอเนกประสงค์พรีเมี่ยมออกมาให้เราเห็นชัดมากขึ้น การขับขี่ด้วยความเร็ว 140-150 ก.ม./ช.ม. ล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้วพร้อมยางของมัน ทำให้เรามั่นใจได้มาก ยามเดินทางด้วยความเร็วสูง มันไร้กังวล การตอบสนองของช่วงล่างก็มั่นใจแอบมีกระเทือนนิดๆ บ้างถ้าคุณขับบนถนนบ้านเราตามต่างจังหวัด ทั่วไป แต่ยามนี้บนถนนสายเอเซียทีเรียบกริบ มันไม่ต่างอะไรจากนั่งพรมวิเศษไปทำงาน ส่วนระบบพวงาลัย ทาง Mercedes-Benz เคลมมาว่าเป็นพวงมาลัยพาวเวอร์แบบปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ โดยเด่นในเรื่องในช่วงทาง Hi-Way กลับให้น้ำหนักแบบพอดีๆแต่ก็มีบางครั้งที่แอบมีหนืดๆบ้าง
การขับขี่ด้วยความเร็วสูงมายังคลองวังเจ้า ด้วยผู้โดยสารพร้อมสัมภาระ วันต่อมา Mercedes-Benz ML250 BLUETEC Executive ก็ต้องพิสูจน์ว่ามันมีดีมากกว่าที่เห็นหรือไม่
ผมกับ Bonn ถกเถียงกันว่าตกลงรุ่นเป็นขับหลังหรือขับเคลื่อนสี่ล้อ 4 ล้อ เพราะตามข้อมูลที่มีในเน็ตและโบรชัวร์ที่ได้มาไม่มีเขียนคำว่า 4 Matic แต่ด้วยปลายทางเราน้ำตกเต่าดำ ต้องเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ บทสรุปเรื่องนี้จบลงที่ Bonn ลงไปนอนคลุกฝุ่นเพื่อดูว่าสรุปมันเป็นขับเคลื่อน 4 ล้อจริงๆ
4 MATIC ไม่ใช่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Part-Time แต่มันคือระบบ All Wheel Drive ทำงานตลอดเวลาตั้งแต่คุณสตาร์ทเครื่องยนต์ออกตัวเดินทาง ...ระบบแบบนี้ให้ความสามารถในการขับขี่ได้ดีเช่นกัน และมันไม่ได้มีดีเพียงแค่เรื่องลุยเท่านั้น หากยังช่วยในการทรงตัวยึดเกาะถนนอีกด้วยยามขับขี่ โดยระบบจะส่งไปยังล้อหน้ากับล้อหลัง ในอัตราส่วน 45:55 บนทางหลวง และสามารถแปรผันการแบ่งแรงบิดหน้ากับหลัง ได้ 30:70 และ 70:30 ขึ้นอยู่กับสภาพถนน
หากเวลานี้ที่เรากำลังตะลุยไปบนทางไปยังน้ำตกเต่าดำ เส้นทางแบบลูกรัง เจ้า Mercedes-Benz ML250 BLUETEC Executive ก็พาเราขับขี่อย่างสนุกสนาน เจ้าหกหน้าที่อุทยานและชาวบ้านดูจะตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่า เราเอารถ เบนซ์มาลุย ถึงแม้เส้นจากอุทยานฯถึงน้ำตกจะประมาณ 34 กม. แต่ค่อนข้างจะใช้ระยะเวลาเดินทางนานหน่อยประมาณ 1- 2 ชม. เพราะเส้นทางแคบเดินรถทางเดียว ต้องให้รถฝั่งหนึ่งหลบเพื่อ รถอีกฝั่งเคลื่อนไปได้ แถมมีสะพานท่อนซุง กับ สะพานไม้ เป็นระยะ แต่โดยรวมก็ไม่โหดมากเหมือนเส้น เขากระโจม หรือ บางกะม่า และอีกอย่าง รถกระบะที่ไม่ใช่ขับ 4 อย่างขับสองธรรมดาหรือยกสูง ก็ยังพอสามารถไปได้เช่นกัน
หลังจากเชยชมความสวยงาม ของน้ำตกเต่าดำที่มีขนาดใหญ่ถึง 3 ชั้น ไปแล้ว งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ผม Bonn และแขกรับเชิญพิเศษก็พา SUV สุดหรู ที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นโคลนรอบคัน เดินทางกลับ เพื่อมุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร ระหว่างทางโดยเฉพาะช่วงลงเขาสลับไปมา Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive มีฟังก์ชั่นเด็ด นั่นคือ ระบบ DSR โดยระบบจะควบคุมความเร็วขณะลงเขา เพียงกดปุ่ม DSR และใช้ก้าน Cruise Control กดขึ้น หรือกดลง ตั้งความเร็วตามต้องการ สำหรับการใช้งานของระบบนี้กลับให้การใช้งานที่แม่นยำ แต่จะมีอาการหน่วงๆบ้างในช่วงลงเขา ถึงแม้ตั้งความเร็วในการลงไปแล้ว ก็ตาม และที่สำคัญระบบนี้จะทำความเร็วสูงสุดเพียง 40 กม./ชม.เท่านั้น
สรุป…….. Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive SUV หรู ที่ใครๆยังไม่รู้ว่ามันก็ลุยได้
นอกจาก Mercedes-Benz จะทำรถซาลูน รถสปอร์ต ที่สร้างความเลิศหรู ประดับบารมีเจ้าของกิจการ นักธุรกิจ แล้วในภาคของรถ SUV ก็ไม่น้อยหน้า เช่นกัน จาก SUV รุ่นเดอะ Mercedes G-Class ที่อยู่คู่ค่ายนี้มากว่า 30 ปี จนแตกไลน์ออกมาเป็นรุ่นอื่นๆ ทั้ง GLA, GLC, GLE Coupe ,GLS จนมาถึง Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive ก็เป็นอีก 1 รุ่นที่จะเข้าไปอยู่ในใจแฟนๆตราดาวสามแฉกอย่างแน่นอน
เมื่อได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยบนเส้นทางกรุงเทพฯ – กำแพงเพชร (อุทยานคลองวังเจ้า) ด้วยความเร็วเฉลี่ย 120-140 กม./ชม.กับระยะทางรวม 608.6 กม. และในช่วงดังกล่าว ก็เผลอเหยียบไปจนถึง 200 กม./ชม. ซึ่งเป็น Top Speed สูงสุดของ SUV หรูคันนี้ เมื่อเราเติมดีเซลกลับเพียง 80.50 ลิตร เคาะตัวเลขออกมาเป็น ที่ 7.56 กม./ลิตร
แต่สิ่งที่คาใจอีกข้อหนึ่งหลังจากเติมน้ำมันเข้าไปนั่นคือ ตามสเปคโรงงานถังน้ำมันจะมีความจุ 70 ลิตร แต่พอเติมกลับเข้าไปหน้าจอจากหัวจ่ายน้ำมันแจ้งมาว่าเราเติมกลับไปอีก 80.50 ลิตร เล่นเอาบัตรเครดิตเกือบไม่พอชำระหนี้ ซึ่งผมกับ Bonn สันนิษฐานไว้ว่า รถรุ่นนี้อาจมีถังน้ำมันสำรองอีก 10 ลิตร ก็เป็นได้ แต่มันไม่ได้ระบุในสเป็ค คงเผื่อสำหรับกรณีฉุกเฉินจริงๆ
ด้านการทำงานของรอบเครื่องยนต์ในช่วงความเร็ว มีดังนี้
ความเร็วที่ขับขี่ (ก.ม./ช.ม.) |
รอบเครื่องยนต์ |
90 |
1,500 |
100 |
1,700 |
110 |
1,900 |
120 |
2,100 |
จะเห็นได้ว่าแม้ว่าจะเป็นชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด และเครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตร มันก็ค่อนข้างใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำกว่าที่เราคาดเอาไว้ มาพอสมควร แน่นอน มันอาจจะ ทำท๊อปสปีดน้อยไปนิด แต่เมื่อคุณเอาเจ้ารถ 3 ตัน ออกตัวกระชากส่ง 204 แรงม้าลงลั้นลาบนถนน เร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. เพียง 9 วินาที ทำเอารถอเนกประสงค์ค่ายญี่ปุ่นงงกันตรงไฟแดง แล้วพุ่งปรุ๊ดหายไปบนทางหลวงอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาเจอคุณอีกครั้งที่ปั้มน้ำมัน แล้วถามว่าเฮ้พวกเครื่องยนต์เท่าไร คุณตอบพวกเขาว่า 2.2 ลิตร 204 แรงม้า พร้อมน้ำหนักเกือบ 3 ตัน มันย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา ที่รถญี่ปุ่นจะคิดว่าพวกเขาน่าจะพิชิตคุณบนถนนได้
ถ้าคุณคิดว่า Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive จะเฉิดฉายโชว์อวดความหล่อเหลา บนท้องถนนขับไปงานสังคมไฮโซอย่างเดียวเท่านั้น ถือว่าคุณคิดผิดมาก Bonn และผมได้พิสูจน์แล้วว่า SUV หรูคันนี้มันมีของดีซ่อนอยู่ในตัวนั่นคือ ระบบขับ 4 แบบ 4MATIC ที่สามารถ พาคุณฟันฝ่าฝ่าอุปสรรคเล็กๆน้อยๆ ได้อย่างหายห่วง ด้วยระบบการขับขี่แบบ All Wheel Drive จากโรงงาน น่าเสียดายที่ทางค่ายดาวสามแฉกไม่ยอมบอกของดีที่อยู่ในร่างอเนกประสงค์คันนี้ เรานั่งงมโช่งกันนาน ในการหาข้อมูลจากรายละเอียดทางเทคนิค จนนำไปสู่การพิสูจน์ว่ามันขับสี่รึเปล่าก่อนตัดสินใจเข้าไปลุยป่า ด้วยการก้มดูเหลาใต้ท้องกันชี้ขาดไปเลยว่า สรุป มันขับเคลื่อน 4 ล้อหรือเปล่า
และด้วยการติดตั้งระบบดังกล่าวเข้ามา ทำให้ นี่คือรถอเนกประสงค์ที่พร้อมลุย แต่ไม่ใช่เส้นทางที่สมบุกสมบันมากมายนัก ถ้านับออฟโรดเป็น 10 ระดับ โดยเรียงจากง่ายไปหายาก เจ้า M-Class มีดีพอจะพาคุณและครอบครัว ลุยได้ถึงระดับ 4-5 ซึ่งเป็นเส้นทางตามอุทยานธรรมดาทั่วไป เช่นถ้าคุณต้องตกอยู่ในเหตุการณ์รถตกหล่ม มันสามารถช่วยคุณออกจากหลุมบ่อนั้นได้สบายๆ เป็นต้น และ อีกหนึ่งความดีที่ต้องยกให้นั่นคือระบบเบรก ที่สามารถสั่งหยุดได้ทันที ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงความเร็วไหนก็ตาม และอาจเรียกได้ว่าระบบเบรก ของ Mercedes-Benz ทุกรุ่น ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องเบรกได้ตามใจสั่ง แม้เราจะเหาะเจ้ายักษ์ 3 ตัน นี่ด้วยความเร็ว 200 ก.ม./ช.ม.
ด้วยรูปลักษณ์มาดสปอร์ต หรูพอประมาณ ถึงแม้ออฟชั่นบางรายการอาจด้อยกว่าเท่ารุ่นท็อป AMG Dynamic แต่ถ้าจะอยากซื้อศักดิ์ศรีความเป็นรถเยอรมันระดับพรีเมี่ยม Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive คันนี้ สะท้อนถึงตัวตนได้ครบเครื่องไม่ว่าจะขับบนถนนทั่วไปหรืออยากจะลุยออฟโรด
ซี่งก่อนที่จะสปอร์ตรูปแบบใหม่จะมาในนาม The New Mercedes-Benz GLE
เรื่องและขับทดสอบ โดย สุกิจ เลิศธนะแสงธรรม (นายเต้ย)
เรียบเรียงเพิ่มเติมโดย ณัฐยศ ชูบรรจง (Bonn)
ขอขอบคุณ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ตลอดจน พี่ ฝน และพี่ดอม จากฝ่ายประชาสัมพันธ์ ที่เอื้อเฟื้อรถ Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive มาให้ทีมงาน Autodeft.com
Bonn’ s Comment >>> เป็นความบังเอิญที่มีโอกาสมาขับเจ้ารถยนต์อเนกประสงค์หรูคันนี้เพื่อค้นหาตัวตนของมัน ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนถ่ายเป็นรถในรุ่น GLE ในอนาคตอันใกล้ ความจริง คือหลายคนมักไม่คิดถึงเจ้าหรูคันนี้มากมายนัก ด้วยราคาแสนแพงของมัน แต่จะว่าไปหลังจากขับ ต้องยอมรับว่านี่คือรถที่ครบครัน มันไม่ใช่อเนกประสงค์หรูที่ใครๆ ก็เป็นเจ้าของ แต่มันเหมาะที่จะเป็นรถสำหรับแฟนตัวจริง Mercedes-Benz มันทั้งขับดี ประหยัดในระดับที่น่าพอใจ ตัวตนที่ยังคงความหรูหรา และแน่นอนลุยได้ เสียอย่างเดียวคือ คุณอาจจะกังวลเมื่อต้องลุย เพราะ Benz ไม่ได้บอกว่ามันมีระบบ 4 MATIC มาให้ด้วย แต่ถ้าถามความคุ้มค่าด้วยตัวตนที่อาจจะขาดบางรายการ ผมว่ามันมีอะไรน่าสนใจกว่ารถหรูบางรุ่นที่คนนิยมด้วยซ้ำไป
รถทดสอบ Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive
ราคาจำหน่าย 4,640,000 บาท
สิ่งที่ชอบ >>> ด้วยความเป็นรถหรู และชื่อชั้นของ Mercedes-Benz ไม่ว่าจะออกรุ่นไหนลงตลาดแล้ว เป็นที่นิยมชมชอบของเหล่าเศรษฐีเงินหนัก ทั้งรถแก๋ง คูเป้ รวมถึง SUV อย่างรุ่น Mercedes-Benz ML 250 BLUETEC Executive ที่เป็นตัวแทนในด้านความ Luxury ในร่างรถ SUV ที่พร้อมลุยได้ทุกเส้นทาง รวมถึงความประหยัดที่ได้จากเคริ่องดีเซล 2.2 ลิตร
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ออฟชั่นที่จัดมาให้นั้นกลับให้มาน้อย เมื่อแลกกลับค่าตัว 4.6 ล้านบาท ควรสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นขับสี่ 4 MATIC ถึงแม้จะไม่มีสัญลักษณ์นี้ติดที่ฝ้าทายเหมือนเมื่อก่อน ซี่งอาจจะเกิดการเข้าใจผิดระหว่างลูกค้ากับที่ปรึกษาการขาย และไฟหน้า Bi-Xenon ปล่อยแสงความสว่างมากไป อาจสร้างรำคาญต่อรถที่สัญจรไปมา
สิ่งที่อยากให้มี >> อยากให้มีออฟชั่นเพิ่มขึ้นในรุ่น ML 250 BLUETEC Executive เช่น กล้องมองหลัง หรือ กล้องมองภาพรอบคัน และระบบนำทาง เสริมความน่าใช้มากขึ้น
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ >>> เป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่น่าคบหา ทั้งค่าตัว เทคโนโลยี และภาพพจน์ของแบรนด์ รับรองไม่ ผิดหวังแน่ๆ ถึงแม้ออฟชั่นบางรายการ กลับไม่ให้อย่างครบครันก็ตามแต่ด้านความปลอดภัยโดยยังชูในเรื่องระบบความปลอดภัยแบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE® ที่สามารถเรียกคะแนนให้แฟนๆสนใจกันมากขึ้น
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com
[GALLERY1865]