Test Drive : รีวิว ทดลองขับ Ford Ranger Raptor กระบะพันธุ์ดุ ดิบ แรงโหด 213 แรงม้า
- โดย : Autodeft
- 3 พ.ย. 62 00:00
- 24,162 อ่าน
ฟอร์ด เกิดมาแกร่ง หรือ Ford Built Tough คือคำที่สื่อถึงความแข็งแกร่ง อึด ทน ทรหด ของรถกระบะค่ายวงรีสีน้ำเงินมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917) เริ่มจาก Ford Model TT กระบะรุ่นแรกที่กลายเป็นต้นแบบให้รุ่นอื่นๆสืบทอดตำนานมายาวนานเป็นคู่ใจ คู่งาน จนขายดีทั้งในอเมริกาและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึง Ford Ranger
นับตั้งแต่กระบะนิรภัยเปิดตัวให้ชาวไทยรู้จักมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 (ค.ศ.1998) จนปัจจุบัน Ford Ranger ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวไทยจนมียอดขายติดอันดับต้นๆด้วยเทคโนโลยี ความแรง ความแกร่งที่ไม่แพ้ใคร จนล่าสุดกระบะสายโหดผลผลิตความดุจาก Ford Performance เปิดตัวที่เมืองไทยเป็นที่แรกของโลกตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561ในชื่อ Ford Ranger Raptor เป็นการนำพื้นฐานรุ่น 4 ประตู Double Cab มาพัฒนาใหม่ทั้งคัน โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Ford F-150 Raptor ผสมผสาน DNA ความดุดัน ดุดิบตั้งแต่กระจังหน้าสี่เหลี่ยมคางหมูสะดุดตาด้วยสีดำ สัญลักษณ์ Ford เป็นแบบตัวอักษรพิมพ์ใหญ่สีดำเป็นเอกลักษณ์ ชุดกันชนด้านหน้าซึ่งติดกับเฟรมรถออกแบบให้มีความทนทานสีดำพร้อมไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED และชุดแต่งกันชนหน้าสีเงินขึ้นรูป แผ่นกันกระแทกใต้ท้องรถทำจากเหล็กกล้ามีความหนา 2.3 มม. กันขีดข่วนและกิ่งไม้ขนาดใหญ่ได้เต็มรูปแบบ
แก้มข้างรถคู่หน้าใหญ่โตผลิตจากวัสดุคอมโพสิท ทนต่อการบุบและรอยขีดข่วนถูกตีโป่งขยายออกเพื่อรองรับระยะยุบตัวของโช้คที่เพิ่มมากขึ้น บันไดข้างผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอย ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เศษหินกระแทกกับตัวถังรถด้านหลัง และเคลือบถึงสองชั้น (โดยทำการพ่นสี powder-coated ก่อนพ่น grit-paint ทับอีกชั้น) โดยบันไดข้างมีความแข็งแกร่งมากขึ้นลงสะดวกขึ้นพร้อมชุดแต่งสีดำทั้งที่เปิดประตู กับกระจกมองข้างบานใหญ่ที่ปรับ-พับได้ด้วยไฟฟ้าพร้อมไฟส่องใต้กระจกมองข้างไว้ส่องตัวรถในยามค่ำคืน ล้ออัลลอยสีดำเข้มขนาด 17 นิ้วมาพร้อมยางติดรถแบบ All-terrain T/A KO2 จาก BF Goodrich 285/70 R17 เสริมสมรรถนะการขับขี่ ยางมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 838 มิลลิเมตร กว้าง 285 มิลลิเมตร แก้มยางมีความแข็งแรงสูงพร้อมดอกยางขนาดใหญ่พิเศษ มั่นใจและปลอดภัยในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นสภาพพื้นผิวที่เปียกลื่น โคลน พื้นทราย และหิมะ พร้อมเสาอากาศและสติ๊กเกอร์ข้างรถบ่งบอกความโหดเต็มพิกัด
ด้านท้ายแกร่งด้วยไฟท้ายสีขาว-แดงแนวตั้งขนาดใหญ่ มีไฟเบรกดวงที่ 3 พร้อมไฟส่องในกระบะท้าย ตัวฝากระบะท้ายติตตั้งกล้องมองหลังใต้โลโก้ Ford มือจับประตูสีดำเบาแรงขึ้นด้วยฝากระบะท้ายระบบผ่อนแรง (EZ Lift Tailgate) ช่วยผ่อนแรงของผู้ใช้ลงไป 66 % พื้นปูกระบะ พร้อมช่องต่อไฟ 12 โวลต์ กันชนท้ายปรับปรุงโดยเพิ่มชุดตะขอเกี่ยวจำนวน 2 ชุด ที่รองรับการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน ด้านหน้ามีตะขอเกี่ยว 2 จุด เช่นกัน พร้อมตัวเซ็นเซอร์กะระยะจอดรถและตัวเชื่อมขอลากที่ได้รับการติดตั้งและออกแบบพิเศษ
มิติตัวรถใหญ่ขึ้นทุกส่วนในร่างกระบะ 4 ประตู ตั้งแต่ ความยาว 5,398 มม. ความกว้าง 2,180 มม. ความสูง 1,873 มม. ฐานล้อ 3,220 มม. ระยะช่วงล้อหน้าและหลังกว้างขึ้นเป็น 1,710 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ 283 มม. น้ำหนักรถ 2,324 กก. ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร ส่วนท้ายกระบะมอบพื้นที่ใช้งานอย่างกว้างขวางด้วยขนาด 1,560 x 1,743 มิลลิเมตร ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย
ภายในมองแล้วเหมือน Ranger รุ่นปกติ แต่ที่จริงมีการเปลี่ยนแปลงปรับบางส่วนเพื่อเข้ากับบุคลิกความดิบด้วยความประณีตขั้นสูง ตั้งแต่เบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ตใหญ่โตออกแบบพิเศษแบบ สีดำเดินด้ายน้ำเงินหุ้มหนัง Alcantara ปักโลโก้ Raptor ด้านคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางและดันหลังหรือ Lumbar Support ส่วนคนนั่งปรับด้วยคันโยกธรรมดา 6 ทิศทาง โดยตลอดการทดลองขับนี้ให้ความสบายโอบกระชับดีแม้ยามเดินทางไกลโดยตัวเบาะมีความหนาเป็นพิเศษรองรับด้านข้างแบบกระชับ เบาะนั่งด้านหลัง กว้างสบายพร้อมหมอนศรีษะ 3 ตำแหน่งแบบสีดำเดินด้ายน้ำเงินหุ้มหนัง Alcantara เอาใจคนทำงานด้วย ช่องต่อไฟ 230 V หลังกล่องคอนโซลกลาง เสียบปลั๊กต่อชาร์จสมารท์โฟนใช้งานโน๊ตบุ๊คได้สบายๆ
แผงคอนโซลหน้าดีไซน์เดียวกับรุ่น Ranger ปกติ มาพร้อมวัสดุผิวสัมผัสสีดำเดินด้ายน้ำเงินพร้อมพวงมาลัยมัลติฟังกืชั่น 4 ก้านทรงพิเศษหุ้มหนังเดินด้ายน้ำเงิน ปรับสูง-ต่ำได้จุดเด่นด้วยแถบสีแดงติดบนพวงมาลัย On-Centre Marker เพื่อช่วยสังเกตตำแหน่งของพวงมาลัยทั้งตอนดริฟและเข้าโค้ง พร้อมสลักลายโลโก้ Raptor เอาใจคนอยากซิ่งด้วย Paddle Shift แบบเหนี่ยวไกทำจากวัสดุจากแมกนีเซียมอัลลอย ให้ความดุดัน มีสัมผัสที่แตกต่างกับแบบพลาสติกซึ่งรถยนต์ส่วนใหญ่ใช้งานกันอย่างมาก พร้อมสวิตช์การทำงานกระจกมองข้าง ถัดลงมาคือสวิตช์เปิด-ปิดไฟหน้า ไฟตัดหมอกปรับความสว่างมาตรวัดและสวิตช์เปิด-ปิดการทำงานไฟส่องสว่างใต้ชุดไฟเบรกดวงที่ 3 มาตรวัดเรืองแสงอ่านง่ายกว่ารุ่น Wildtrak เพราะเป็นมาตรวัดแบบเข็มทั้งความเร็ว รอบเครื่องยนต์ วัดอุณหภูมิ และ วัดน้ำมัน แถมมีหน้าจอคู่ Dual TFT ขนาด 4.2 นิ้ว ไว้บอกการทำงานของตัวรถ ระบบนำทาง ฯลฯ
คอนโซลกลางมาพร้อมระบบความบันเทิง SYNC 3 ด้วยจอสัมผัสขนาดใหญ่ 8 นิ้ว เมนูภาษาไทยอ่านง่ายเข้าใจง่ายรองรับ Apple CarPlay, Android Auto ระบบนำทาง แสดงการทำงานของเครื่องปรับอากาศฯลฯ พร้อมลำโพงคุณภาพ 6 จุดที่ให้เสียงดี มีระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน รองลงมาใต้แผงเป็นสวิตช์ควบคุมการทำงานของจอสัมผัส ช่องใส่ CD เครื่องปรับอากาศแยกอุณหภูมิซ้าย-ขวา และช่องต่อ USB ถัดลงมาอีกคือปุ่มควบคุมการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบหมุน และปุ่มล็อกเฟืองท้าย ปิดระบบ TCS และควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน และคอนโซลเกียร์ทรงใหญ่จับกระชับด้วยวัสดุหุ้มหนังและกล่องคอนโซลกลางใส่ของจุกจิก และที่วางแก้วน้ำ และกุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ขุมพลังที่ต้องบอกได้เลยว่า แรงสุด สูงสุด ในกลุ่มกระบะเมืองไทย สาดความโหดด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ Bi-Turbo ขนาด 2.0 ลิตร รหัส YN2Q อัตราส่วนกำลังอัดเครื่องยนต์เป็น 16 :1 ระยะชัก/ขนาดกระบอกสูบ 84/90 มม. มอบพละกำลังสูงสุดถึง 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ปล่อย CO2 ที่ 220 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองโดยรวม 11.9 กม./ลิตร เติมน้ำมันดีเซลสูงสุด B20 ตอบสนองยอดเยี่ยมด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มาพร้อมอัตราทดดังนี้ เกียร์ 1 = 4.696 เกียร์ 2 = 2.985 เกียร์ 3 = 2.146 เกียร์ 4 = 1.769 เกียร์ 5 = 1.520 เกียร์ 6 = 1.275 เกียร์ 7 = 1.000 เกียร์ 8 = 0.854 เกียร์ 9 = 0.689 เกียร์ 10 = 0.636 เกียร์ถอยหลัง = 4.866 อัตราทดเฟืองท้าย = 3.73
ถึงเครื่องยนต์จะเล็กแค่ 2 ลิตร แต่ด้วยกำลัง 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร นำพาไดโนเสาร์ร่างยักษ์หนัก 2.3 ตัน โลดแล่นอย่าง ฉกาจฉกรรจ์ ทรงพลัง เร่งแซงกดเป็นมาๆ บนถนนทางยาวๆ ขึ้นเขาสูงหรือทางโหด มีอุปสรรค กำลังมาต่อเนื่องไม่ขาดตอน ถึงแม้ตอนออกตัวจะสุขุมไม่กระโชกโฮกฮากก็ตาม ความดีความชอบนี้ยกเครดิตให้กับพลังเทอร์โบคู่ที่แบ่งการทำงานโดย เทอร์โบ 1 ลูกจะเป็นแบบ High Pressure ทำงานที่รอบต่ำ อีกลูกเป็น Low Pressure จะทำงานที่รอบสูง โดยเมื่อเครื่องยนต์อยู่ในรอบต่ำ ทั้ง 2 ลูกจะเริ่มทำงานพร้อม ๆ กัน โดยที่ตัวเล็กจะหมุนเยอะหน่อย แต่เมื่อถึงรอบสูง ตัวเล็กจะถูก Bypass ออกให้หยุดทำงาน แล้วใช้แรงอัดอากาศจากลูกใหญ่เข้าไปที่เครื่องยนต์เท่านั้น จึงทำให้อัตราเร่งนั้น สามารถตอบสนองได้ตั้งแต่เกียร์แรกยันเกียร์ 10 ส่วนรอบการทำงานของเครื่องในช่วงความเร็ว 90-120 กม./ชม.ทำผลงานไม่ถึง 2,000 รอบ/นาที และแต่ละช่วงของความเร็วมาแบบรวดเร็วติดปีก ด้วยรอบตั้งแต่ 1,400, 1,550, 1,700 และ 1,800 รอบ/นาที ตามลำดับ และเมื่อกดปุ่ม สตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์เงียบกว่าเดิมในช่วงรอบต่ำจนถึงขับปกติ 60-110 กม./ชม.เพราะการออกแบบฉนวนกันเสียงรบกวนที่หนาขึ้นพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ทาง Ford เขาบอกว่าเป็นลูกเดียวกับ Ford Mustang Muscle Car ม้าผยองสามารถเลือกเป็นโหมด Manual ให้เราควบคุมได้อย่างเต็มที่ โดยที่ตัวเกียร์จะไม่เปลี่ยนให้ถ้าเราไม่สั่ง หรือจะใช้โหมดอัตโนมัติตามปกติ แล้วเล่นเปลี่ยนเกียร์ด้วย Paddle Shift ที่พวงมาลัยก็ได้ สามารถเล่นได้ตั้งแต่โหมด D ปกติเลย โดยโครงสร้างเกียร์ผลิตจากวัสดุเหล็กกล้า อะลูมิเนียมอัลลอยและคอมโพสิทเพื่อให้มีความทนทานและมีน้ำหนักเบา ทำให้มีอัตราทดที่แคบลง จึงส่งผลให้มีอัตราเร่งและการตอบสนองที่ดีขึ้น สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำ
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นแบบ Part-Time Shift-On-The-Fly มีทั้ง 2H, 4H และ 4L (ปรับจาก 4H เป็น 4Lไม่ต้องหยุดรถในความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.) พร้อมเฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential (Locking Rear Differential) อรรถรสในการขับเร้าใจมากขึ้นด้วยโหมดการขับขี่ Terrain Management System (TMS) ทั้งหมด 6 รูปแบบ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลาย โดย 6 โหมดดังกล่าวทำงานแตกต่างกัน ประกอบด้วย
1. Normal Mode: เป็นโหมดสำหรับใช้งานทั่วไป เน้นความประหยัดน้ำมัน พวงมาลัยนั้นจะอยู่ในโหมด Normal ที่ให้ความหนืดอยู่ในระดับกลาง การตอบสนองของเครื่องยนต์กับเกียร์ก็อยู่ในระดับกลาง ใช้งานได้ทั้งในระบบ 2H, 4H และ 4L
2. Sport Mode: โหมดนี้จะเอาไว้ใช้งานในตอนที่เราอยากจะใช้ความเร็วสูงกว่าปกติ เครื่องยนต์จะทำการตอบสนองได้เร็วขึ้น เกียร์จะทำงานลากรอบให้มากขึ้น พวงมาลัยจะเข้าสู่โหมด Sport เพื่อให้มีความหนืดตึงมือมากกว่าเดิม จะได้ควบคุมในช่วงความเร็วสูงได้แม่นยำ โดยโหมดนี้จะใช้งานได้เฉพาะในระบบ 2H เท่านั้น
3. Snow/Gravel/Gravel Mode: โหมดนี้จะมีการใช้งานอยู่บนพื้นผิวที่มีความลื่น เช่นบนหิมะ, กรวด หรือพื้นหญ้า โดยระบบนี้จะปรับการทำงานของเกียร์ให้เริ่มต้นทำงานที่เกียร์ 2 เพื่อไม่ให้ล้อนั้นหมุนเร็วตอนออกตัว คันเร่งจะตอบสนองช้ากว่าปกติ พวงมาลัยปรับไปในโหมด Normal และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี จะทำงานได้ไวกว่าปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการล้อหมุนฟรีจนรถเสียหลัก ทำงานได้เฉพาะระบบ 4H เท่านั้น
4. Mud/Sand Mode: เหมาะกับการใช้งานบนถนนที่มีความหน่วงล้อ ไม่ว่าจะเป็นพื้นทรายนุ่ม หรือบนพื้นโคลน โดยระบบนี้จะปรับการทำงานของพวงมาลัยให้อยู่ในโหมด Comfort เพื่อให้การหมุนนั้นทำได้เบามือมากที่สุด เกียร์จะทำงานในรอบที่สูงขึ้น เพื่อให้เกิดแรงบิดลงสู่ล้อให้มากที่สุด ปรับการทำงานของระบบป้องกันล้อหมุนฟรีให้ทำงานช้าลง เปิดโอกาสให้รถสามารถหมุนล้อฟรีได้บ้างเล็กน้อย รวมทั้งปรับให้รถสามารถรักษาการทรงตัวให้ดีขึ้น จะใช้งานได้เฉพาะในระบบ 4H และ 4H เท่านั้น
5. Rock Mode: ใช้งานในสภาพถนนที่มีความขรุขระเป็นอย่างมาก มีหลุม มีบ่อ หรือหินก้อนใหญ่ให้ข้ามผ่าน โดยเกียร์จะถูกล็อกให้ใช้งานที่เกียร์ 1 เท่านั้น ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและระบบควบเสถียรภาพการทรงตัวจะถูกปิด ดังนั้นล้อสามารถจะหมุนฟรี หรือลื่นไถล ตัวรถเซเอียงได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ตัวรถส่งกำลังแรงบิดไปที่ล้อได้มากที่สุด วงมาลัยเข้าสู่โหมด Comfort สามารถใช้งานได้เฉพาะในระบบ 4H เท่านั้น
6. Baja Mode: โหมดขีดสุดแห่งความมัน ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกระบะคันไหนของ เพราะเป็นโหมดที่ใช้งานด้วยความเร็วสูง ใช้งานได้ทั้งในออนโรดและออฟโรด โดยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกลดระดับการทำงานให้อยู่ในระดับต่ำ เกียร์จะลากรอบให้สูงขึ้น เครื่องยนต์ตอบสนองคันเร่งได้ดีขึ้น พวงมาลัยเข้าสู่โหมด Comfort ทำให้รถสามารถวิ่งไปในถนนกรวดหรือขรุขระได้อย่างสนุกสนาน ระบบการป้องกันการไถลจะเข้ามาเป็นตัวช่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้รถสามารถไถลไปตามทางที่เราอยากให้ไปได้ สามารถใช้งานได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L
การทำงานทั้งเกียร์และระบบขับเคลื่อนบอกได้เลยว่าราบรื่นต่อเนื่องจนสุดถึงเกียร์ 10 โดยถ้าใช้ในงานเมืองทั่วๆไปหรือต่างจังหวัดทางลาดยาง สองหรือสี่เลน สามารถใช้โหมด Normal หรือ โหมด Sport ยิ่งโหมดนี้เรียกเค้นกำลังตอนเร่งแซงได้อย่างทันใจจริงๆ ระบบพวงมาลัยเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electronic Steering Program) สามารถปรับระดับความรู้สึกในการหมุนได้ตามโหมดที่เราเลือกใช้งานทั้งทางออนโรดและออฟโรด เช่นถ้าเข้าโหมด Sport จะตึงมือมากพอสมควร แต่ออกแรงไม่มาก ทำให้ช่วงที่เราหันล้อในช่วงความเร็วสูง มันไม่ไปเร็วเกินแต่ถ้าเข้าโหมด Normal ใช้งานเบาสบาย คล่องมือ ทัศนวิสัยที่ใหญ่โต ถึงตัวรถจะใหญ่แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการขับขี่เรียกว่าคุณผู้ชายแมนๆหรือสาวห้าวๆก็ขับได้กะระยะการมองได้ชัด
อีกหนึ่งหัวใจของเจ้าไดโนเสาร์พันธุ์ดุ นั่นคือช่วงล่างและระบบห้ามล้อโดยออกแบบรับมือกับการขับขี่ความเร็วสูงบนสภาพพื้นผิวขรุขระ โดยที่ผู้ขับขี่ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์แบบและได้รับความสบายอย่างเต็มที่ กับช่วงล่างหน้าแบบปีกนก 2ชั้นที่ทำจากอะลูมิเนียมพร้อมเหล็กกันโคลง โดยปีกนกบนทำด้วยวิธีการฟอร์จและปีกนกล่างใช้วิธีการหล่อ เพื่อให้ระบบช่วงล่างทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แข็งแรงทนทานต่อการขับขี่แบบออฟโรดถึงขีดสุดและช่วงล่างด้านหลังแบบวัตต์ลิงค์และสปริงคอยล์โอเวอร์ช็อคทำให้เพลาเคลื่อนที่อย่างมั่นคง เท่านั้นยังไม่พอโช้คอัพหน้า-หลังใช้บริการจาก FOX Racing Shox ติดตั้งเป็นออพชั่นจากโรงงานไม่ต้องเสียตังค์เพิ่มอีก สเป็คโช้คเป็นแบบ Position Sensitive Damping (PSD) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่แบบออฟโรดให้ดียิ่งขึ้นโดยใช้ลูกสูบขนาด 46.6 มิลลิเมตร ทั้งคู่หน้าและหลัง
เรื่องการทรงตัวของช่วงล่าง ทั้งถนนลาดยางยาวๆ ทางขุรขระ ทุกโค้งมันมีความนิ่ง ไม่โคลงแน่นปึ้ก หนึบนำนุ่มตาม สบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกจริง ด้านความเร็วสูงไม่มีอาการท้ายออก แม้แต่ทางออฟโรดซับแรงกระแทกได้ดียิ่ง ถึงแม้ตัวรถจะโย่งสูงก็ตาม
เป็นกระบะไม่กี่รุ่นของเมืองไทยที่ติดตั้งระบบทรงพลังเป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อนที่มีขนาดใหญ่ถึง 332 x 32 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์เบรกคู่หน้าเป็นแบบลูกสูบคู่ ที่เพิ่มขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขึ้น 9.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านหลังเป็นจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อนขนาด 332 x 24 มิลลิเมตรคู่กับคาลิปเปอร์เบรกใหม่ขนาด 54 มิลลิเมตร พร้อมกับระบบ brake actuation master cylinder ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเบรกให้ดียิ่งขึ้นเสริมด้วยระบบเบรก ABS และกระจายแรงเบรก EBD เรียกว่าหยุดได้ตามใจสั่งกันเลยทีเดียว
ตัวช่วยในด้านความปลอดภัยระดับสูงตั้งแต่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP (Electronic Stability Program) ทำงานร่วมกับฟังก์ชั่นลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ มาพร้อมกับระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง TSC (Trailer Sway Control) ระบบช่วยออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน HLA (Hill Launch Assist) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน HDC (Hill Descent Control) และระบบควบคุมการบรรทุก LDC (Load Adaptive Control) และถุงลมนิรภัยรอบคัน 6 จุด
ค่าตัว 1,699,000 บาท กับกระบะจอมซาดิสท์ ออกแบบมาสนองความความโหดได้อย่างครบครันทั้งเครื่องยนต์ ตัวตนที่แข็งแกร่ง ระบบช่วงล่างพรีเมี่ยมที่ใช้ของ FOX ติดจากโรงงาน นับว่าคุ้มค่าไม่ต้องไปแต่งเพิ่มเติมอีก กำลัง 213 แรงม้าจากเครื่องเทอร์โบคู่ 2 ลิตรออกตัวแนวผู้ดี แต่ลึกๆมีความดุดันอย่างคาดไม่ถึงเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ทดเกียร์ได้ชิดกระชับรองรับความแรงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ถือได้ว่าคันเดียวครบครันสำหรับไดโนเสาร์พันธ์ดุ Ford Ranger Raptor
เรื่องและขับทดสอบโดย นายเต้ย
ขอขอบคุณ บริษัท ฟอร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ Ford Ranger Raptor มารีวิวทดลองขับครั้งนี้
สิ่งที่ชอบ >>> ดีไซน์ดุดัน ตัวรถใหญ่โต ขับขี่สนุก แม้ทางออฟโรดยังสามารถเรียกกำลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ข้าวของที่จัดมาสมราคากับความเป็นกระบะสมรรถนะสูงอัตราสิ้นเปลืองทางไกลทำผลงานได้น่าพอใจด้วยตัวเลข 11.01 กม./ลิตร
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> แว่วๆว่าจะมีระบบความปลอดภัยยกชุดจากรุ่น Wildtrak 4WD ทั้ง ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB), ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System), ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System), ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) และระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto Highbeam Control ซึ่งถ้ามาครบก็จะทำให้ค่าตัวสูงขึ้นก็เป็นได้ แต่ถ้าเพิ่มมาจริงควรทำตลาดแบบ 2 รุ่นย่อย เพิ่มทางเลือกทั้งรุ่นไม่มีกับมีออพชั่นความปลอดภัยเพิ่มมา
ชม Gallery Test Drive Ford Ranger Raptor ได้ที่นี่ !!
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com