ซัดทางออฟโรด ลุยทะเลทราย ไกลถึงเวียดนามกับ Ford Ranger Raptor 2020
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 16 มี.ค. 63 00:00
- 8,879 อ่าน
ถึงแม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 2 ปี หลังจากการเปิดตัวรถกระบะพันธุ์แกร่ง Ford Ranger Raptor ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีรถกระบะคันไหนที่จะมีสมรรถนะสูงไปกว่าเจ้าไดโนเสาร์คันนี้ได้อีกแล้วในประเทศไทย เป็นสิ่งที่หลายคนเถียงไม่ได้ว่า ถ้ามีโอกาสคงต้องอยากได้เจ้ากระบะคันนี้มาครอบครองให้ได้สักคัน
ผมเองในฐานะทีมงานของ AUTODEFT ได้ทำการทดสอบไปแล้วรวม 2 ครั้ง (Test Drive: ทดสอบรถยนต์ Ford Ranger Raptor นิยามได้อย่างเดียวว่า “ของจริง” , Test Drive: ทดลองขับ Ford Ranger Raptor บทพิสูจน์ใหม่ ที่สะใจมากกว่าเดิม ) และนายเต้ยก็เคยนำมาเทสเดี่ยวอีก 1 รอบ (Test Drive : รีวิว ทดลองขับ Ford Ranger Raptor กระบะพันธุ์ดุ ดิบ แรงโหด 213 แรงม้า) เรียกได้ว่าทอสอบจนแทบจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่พ้นปีใหม่ 2020 มาได้ไม่นาน ผมก็ได้รับจดหมายทดสอบมาจากทาง ฟอร์ด ประเทศไทย อีกครั้ง เพื่อเข้าร่วมทดสอบเจ้า Ford Ranger Raptor กันอีกรอบ แต่คราวนี้ต้องเหนือกว่าทุกครั้ง เพราะเราจะเดินทางไปทดสอบกันถึงประเทศเวียดนาม
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองทันทีก็คือ ทำไมฟอร์ด ถึงได้เลือกการทดสอบ Ford Ranger Raptor กันไกลถึงเวียดนาม เมื่อไปถึงพื้นที่แล้วจึงทราบเลยว่า จุดการทดสอบ 2 แห่งที่เราไปลุยกันนั้น ที่แรกซึ่งเป็นพื้นที่การทดสอบแบบ Off-Road นั้นอาจพอจะหาในเมืองไทยได้ แต่สำหรับแห่งที่ 2 นั้น ในประเทศไทยไม่มีแน่นอน นั่นก็คือทุ่งทะเลทรายขนาดใหญ่ แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเป็นลำดับต้น 2 ของประเทศเวียดนาม นั่นคือทะเลทราย Muine (คนไทยอ่าน มุยเน่ คนท้องถิ่นอ่าน หมุยแหน่) พื้นที่ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอีกเหตุผลก็คือ ฟอร์ดตั้งใจเต็มที่ ที่จะเปิดตลาดในประเทศเวียดนามให้มากขึ้น หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการจำหน่ายรถตู้ Ford Transit ที่มียอดส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มนี้ที่ประเทศเวียดนามสูงถึง 90% จนถึงขั้นตั้งโรงงานผลิตที่นั่น และยอดขายรถกระบะก็มีอยู่ไม่น้อย และกำลังเริ่มทำตลาดในตัว Ford Ranger Raptor ด้วย ดังนั้นการทดสอบของพวกเราไนรอบนี้ ถูกจัดขึ้นหลายกลุ่ม และกลุ่มสุดท้ายของทริปนี้จะเป็นสื่อมวลชนจากประเทศเวียดนามด้วย (ทีมงานไทยจัดในประเทศเวียดนามให้สื่อเวียดนามทดสอบ ไม่งงงนะ)
ก่อนออกเดินทาง เรามาทบทวนข้อมูลของ Ford Ranger Raptor กันอีกรอบก่อนครับ (ขออนุญาตคัดลอกบางส่วนกลับมาลงอีกครั้งนะครับ ใครที่เคยอ่านแล้วข้ามไปได้เลย)
Ford Ranger Raptor เป็นรถกระบะที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดแล้วในบรรดากระบะสไตล์ passenger Pickup ด้วยกัน (ปกติ Ford Ranger ก็มีด้านกว้างใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว) โดยตัวรถมีขนาด กว้างxยาวxสูง = 2,180x5,398x1,873 มม. ใต้ท้องรถสูง 283 มม. ส่วน Wheelbase นั้นเท่ากันกับ Ranger คือ 3,220 มม. ด้วยใต้ท้องรถที่สูงมากขนาดนี้ รวมทั้งการออกแบบในส่วนของกันชนหน้าและหลังที่ต่างจากของรุ่นปกติ ทำให้มุมเข้าและมุมจากของตัวรถสามารถทำได้มากกว่ารุ่นอื่น ๆ หมายถึงมันสามารถขับลุยในพื้นที่ ที่โหดกว่านั่นเอง ตัวล้อใช้เป็นขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางแบบ All Terrain เพื่อเอาไว้ใช้งานแบบลุยได้ประมาณหนึ่ง ตัวขนาดของยางคือ 285/70 R17 ของ BF Goodrich
สิ่งที่เป็นไฮไล์ชูโรงของ Ford Ranger Raptor คันนี้ ก็คือชุดช่วงล่างจาก Fox นั่นเอง โดยด้านหน้าจะเป็นแบบ อิสระปีกนกอลูมิเนียม 2 ชั้นพร้อมโช๊ค Fox Racing Shox แบบมีระบบบายพาสภายใน พร้อมด้วยเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบ คอยล์โอเวอร์ช็อคพร้อมโช๊ค Fox Racing Shox แบบมีซับแท๊งค์และระบบบายพาสภายในพร้อมด้วยวัตต์ลิงค์ เป็นช่วงล่างที่ถอด DNA มาจากช่วงล่างที่ใช้ในรถแข่ง ที่ลงทำการแข่งขันทาง Off-Raod สุดโหดอย่าง Baja 1000 มาทั้งชุด
ระบบความปลอดภัยนั้น Ford Ranger Raptor มีดังนี้
- ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll Mitigation Function)
- ระบบลดอาการส่ายขณะลากจูง (Trailer Sway Control)
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) และระบบควบคุมการบรรทุก (Load Adaptive Control)
- ระบบป้องกันล้อล็อคและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) และระบบช่วยการออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist)
- ถุงลมนิรภัย 6 ลูก บริเวณด้านหน้า ด้านข้าง และด้านข้างกระจก
- กล้องมองหลัง
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control)
สำหรับโหมดการขับขี่ ระบบการทำงานเป็นดังนี้ครับ
Normal Mode: เป็นโหมดที่เอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เน้นเรื่องการประหยัดน้ำมัน พวงมาลัยนั้นจะอยู่ในโหมด Normal ที่ให้ความหนืดอยู่ในระดับกลาง การตอบสนองของเครื่องยนต์กับเกียร์ก็อยู่ในระดับกลาง ใช้งานได้ทั้งในระบบ 2H, 4H และ 4L
Sport Mode: โหมดนี้จะเอาไว้ใช้งานในตอนที่เราอยากจะมันกับการขับขี่ให้มากขึ้น และใช้ความเร็วสูงกว่าปกติ เครื่องยนต์จะทำการตอบสนองได้เร็วขึ้น เกียร์จะทำงานลากรอบให้มากขึ้น พวงมาลัยจะเข้าสู่โหมด Sport เพื่อให้มีความหนืดตึงมือมากกว่าเดิม จะได้ควบคุมในช่วงความเร็วสูงได้แม่นยำ โดยโหมดนี้จะใช้งานได้เฉพาะในระบบ 2H เท่านั้น
Snow/Gravel/Gravel Mode: โหมดนี้จะมีการใช้งานเมื่อต้องวิ่งอยู่บนพื้นผิวที่มีความลื่น เช่นบนหิมะ, กรวด หรือพื้นหญ้า โดยระบบนี้จะปรับการทำงานของเกียร์ให้เริ่มต้นทำงานที่เกียร์ 2 เพื่อไม่ให้ล้อนั้นหมุนเร็วตอนออกตัว คันเร่งจะตอบสนองช้ากว่าปกติ พวงมาลัยปรับไปในโหมด Normal และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี จะทำงานได้ไวกว่าปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการล้อหมุนฟรีจนรถเสียหลัก ทำงานได้เฉพาะระบบ 4H เท่านั้น
Mud/Sand Mode: โหมดนี้ เหมาะกับการใช้งานบนถนนที่มีความหน่วงล้อ ไม่ว่าจะเป็นพื้นทรายนุ่ม หรือบนพื้นโคลน โดยระบบนี้จะปรับการทำงานของพวงมาลัยให้อยู่ในโหมด Comfort เพื่อให้การหมุนนั้นทำได้เบามือมากที่สุด เกียร์จะทำงานในรอบที่สูงขึ้น เพื่อให้เกิดแรงบิดลงสู่ล้อให้มากที่สุด ปรับการทำงานของระบบป้องกันล้อหมุนฟรีให้ทำงานช้าลง เปิดโอกาสให้รถสามารถหมุนล้อฟรีได้บ้างเล็กน้อย รวมทั้งปรับให้รถสามารถรักษาการทรงตัวให้ดีขึ้น จะใช้งานได้เฉพาะในระบบ 4H และ 4H เท่านั้น
Rock Mode: โหมดนี้ เอาไว้ใช้งานในสภาพถนนที่มีความขรุขระเป็นอย่างมาก มีหลุม มีบ่อ หรือหินก้อนใหญ่ให้ข้ามผ่าน โดยเกียร์จะถูกล็อกให้ใช้งานที่เกียร์ 1 เท่านั้น ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและระบบควบเสถียรภาพการทรงตัวจะถูกปิด ดังนั้นล้อสามารถจะหมุนฟรี หรือลื่นไถล ตัวรถเซเอียงได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ตัวรถส่งกำลังแรงบิดไปที่ล้อได้มากที่สุด วงมาลัยเข้าสู่โหมด Comfort สามารถใช้งานได้เฉพาะในระบบ 4H เท่านั้น
Baja Mode: โหมดแห่งความมัน ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกระบะคันไหนของ Ford Ranger Raptor เพราะจะเป็นโหมดที่ใช้งานด้วยความเร็วสูง ใช้งานได้ทั้งในถนนอบบออฟโรดและออนโรด โดยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกลดระดับการทำงานให้อยู่ในระดับต่ำ เกียร์จะลากรอบให้สูงขึ้น เครื่องยนต์ตอบสนองคันเร่งได้ดีขึ้น พวงมาลัยเข้าสู่โหมด Comfort ทำให้รถสามารถวิ่งไปในถนนกรวดหรือขรุขระได้อย่างสนุกสนาน ระบบการป้องกันการไถลจะเข้ามาเป็นตัวช่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้รถสามารถไถลไปตามทางที่เราอยากให้ไปได้ สามารถใช้งานได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L
แต่สำหรับ Ford Ranger Raptor รอบปรับปรุงใหม่ปี 2020 นั้น จะมีเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง ทั้งระบบความปลอดภัยช่วยเบรคอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) ที่จะคอยเตือนด้วยเสียงและภาพบนหน้าปัดเมื่อมีวัตถุอยู่ด้านหน้าและระบบคำนวนแล้วว่ามีโอกาสเกิดการชนได้ พร้อมช่วยเบรก ลดความเสี่ยงในการปะทะ และยังมีการเพิ่มระบบระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ที่จะคอยช่วยประคองพวงมาลัยให้อยู่ในเลนได้อยู่เสมอ ลดอาการเมื่อยล้าของคนขับขี่ได้ด้วย ส่วนไฟหน้าจากเดิมที่ใช้เป็นแบบ HID ผสม LED งวดนี้จัดเต็มด้วยการใส่มาเป็นแบบ Bi-LED ให้เลย มีการเพิ่มช่องต่อ USB หลังกระจกมองหลัง เพื่อให้เสียบใช้งานกล้องบันทึกด้านหน้าได้เลย ไม่ต้องลากสายระโยงระยางลงมาด้านล่างให้เกะกะ แถมที่หน้าปัดยังเสริมออพชั่นในโหมดวัดระดับความอียงของตัวรถเพิ่มมาให้อีกด้วย (ปกติมีแต่ใน Ranger ปกติ)โดยที่รถยังจำหน่ายในราคาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดีงามสุด
เอาล่ะ มาออกเดินทางกันได้เลยครับ สำหรับการทดสอบครั้งนี้ของ Ford Ranger Raptor เราบินกันไปลงที่เมืองดาลัด เป็นเมืองในจังหวัดเลิมด่ง (Lâm Đồng) ทางภาคใต้ของประเทศเวียดนาม มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร (4,900 ฟุต) มีอากาศเย็น โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 18 ถึง 25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นในด่าหลัต คือ 27 องศาเซลเซียส และต่ำสุดคือ 6.5 องศาเซลเซียส ชาวฝรั่งเศสเริ่มสร้างเมืองนี้ในปี พ.ศ. 2453 หลังจากอาแล็กซ็องดร์ แยร์แซ็ง นักวิทยาแบคทีเรียชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาสำรวจที่ดินผืนนี้ เอาจริง ๆ แล้วคือชาวฝรั่งเศสมาเจออากาศในเมืองอื่นอย่างไซ่ง่อนที่ร้อนจัด ตัวเองมาจากเมืองหนาว ไม่ชินกับการเจออากาศร้อนแบบนี้ ก็เลยเสาะแสวงหาพื้นที่ที่มีอากาศเย็นกว่า จนได้มาเจอที่นี่เข้า ซึ่งนอกจากจะมีระดับความสูงมากอยู่แล้ว ยังโดนล้อมรอบไปด้วยภูเขาสูงระดับ 1,700 - 2,000 เมตรเข้าไว้อีก ยิ่งทำให้เมืองนี้มีอากาศหนาวเย็นอยู่ตลอดทั้งปี ชาวฝรั่งเศสเลยสร้างโรงแรม รีสอร์ต รอบเมืองในหุบเขามีทะเลสาบ น้ำตก มหาวิทยาลัยดาลัด สถาบันทหาร ส่วนสนามบินตั้งอยู่ห่างจากเมืองไปทางทิศใต้ 24 กิโลเมตร ในปัจจุบันดาลัดเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม มีประชากร 206,105 คน (พ.ศ. 2553) ในจำนวนนี้มี 185,509 คนที่อาศัยอยู่ในเขตตัวเมือง เมืองมีพื้นที่ 393.29 ตารางกิโลเมตร
หลังจากเดินทางถึงที่พักปั๊บ เราก็ออกเดินทางกันไปทดสอบ Ford Ranger Raptor กันเลยทันที (วางกระเป๋าปั๊บ ออกเดินทางปุ๊บ) โดยเดินทางไปแถบที่เรียกว่าจุดชมวิวโด่ย ก่อ ฮอง (Doi Co Hong) เป็นคล้ายกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติที่เป็นเนินเขาป่าสนที่สวยงาม และถ้ามาในช่วงที่มีอากาศหาว ประมาณเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม จะได้เจอกับทุ่งหญ้าสีชมพูแสนสวยงาม คล้ายกับพื้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนเวียดนามและคนต่างชาติ ที่ต้องแวะมาให้ได้เมื่อมาเยือนเมืองดาลัด แต่รอบนี้เราเจอแต่เส้นทางสุดโหด กับพื้นที่ Off-Road ที่ทางทีมงานจัดเตรียมเอาไว้ให้ โดยเส้นทางทดสอบนั้นครบถ้วนครับ เริ่มต้นตั้งแต่การลงภูเขาด้วยความชันมาก เราต้องพึ่งพาระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) เพื่อช่วยให้ลงเขาได้อย่างนุ่มนวล ควบคุมปรับความเร็วได้เพียงแค่กดปุ่มบนพวงมาลัยเท่านั้น เราก็จะเปลี่ยนความเร็วการลงเขาได้อย่างง่ายดาย และมาเจอต่อกับความเอียงของถนน ระดับเกินกว่า 25 องศา แต่ก็สามารถผ่านไหปได้อย่างง่ายดาย เพราะ Ford Ranger Raptor รองรับความเอียงได้ถึงระดับ 30 องศาอย่างสบาย
จากนั้นก็ได้มาลองโหมด Baja แบบสั้น ๆ โดยรอบนี้ทาง Instructor ได้บรีฟพวกเราว่า อยากให้ลองดูแบบกดแล้วปล่อย กดแล้วปล่อย เพื่อให้ดูรอบเครื่องว่าตอนที่เราปล่อยคันเร่งนั้น ระบบใหโหมดนี้ของ Ford Ranger Raptor จะทำการเร่งเครื่องยนต์ค้างรอบเอาไว้ เพื่อรอให้เรากดคันเร่งแล้วตอบสนองได้เร็วขึ้นกว่าเดิม (ภาษานักแข่งเรียกกรอคันเร่ง) ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่เอาจริงผมซัดกับโหมดนี้มาหลายรอบแล้ว ก็เลยคุ้นเคยกันประดุจเป็นญาติข้างบ้านแล้ว เลยไม่ได้ประหลาดใจอะไรมากเท่าไหร่
แต่กับด่านต่อมานี่สิ ที่ทำเอาเราร้อง เอ้ย ไปตาม ๆ กัน เพราะพี่ Instructor พาไปลงบ่อครับ บ่อที่ว่านี้คือบ่อจริง ๆ เป็นบ่อดินลึกประมาณหนึ่งเลย แล้วทางที่พี่เขาให้เราขับขึ้นนั้นมันคือระดับที่ชัน และแทบจะเป็นหน้าผาตัดสูงเป็นเมตรเลย ดูตอนแรกแบบว่า “มันจะขึ้นได้เหรอวะ” แต่ด้วยความแรงระดับ 213 แรงม้า แรงบิดสูง 500 นิวตันเมตร เราก็พา Ford Ranger Raptor ขึ้นมาจากหลุมนั้นได้อย่างง่ายดายโดยแทบไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรเลย ดูแลหันพวงมาลัยตามคนบอกเส้นทาง และกดคันเร่งให้เหมาะเท่านั้นเอง ทุกอย่างเลยกลายเป็นเรื่องง่ายไปหมดเลย
วิ่งลุยมาจนถึงด่านสุดท้าย เราก็ควบ Ford Ranger Raptor มาจนถึงด่านสุดท้าย นั่นคือด่าน “ไต่เขา” โดยเขาลูกนี้สูงขึ้นไปน่าจะประมาณร่วม 50 เมตรได้ (ตามแนวดิ่งนะ) คือมันชันมาก ทางพี่ Instructor ก็บอกว่า “Take ยาวไปเลยนะครับ ห้ามหยุด ห้ามกดเบรก ห้ามปล่อยคันเร่งเด็ดขาด ไม่งั้นต้องถอยหลังแล้วกลับมาเริ่มข้างล่างใหม่นะ” เราก็เชื่อฟังแล้วก็กดมิดเลยครับ รถก็ทะยานขึ้นไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ๆ จนในที่สุดก็ไต่ไปจนถึงยอดเขาจนได้แบบไม่ต้องลุ้นเยอะ แต่ก็น่าจะจริงตรงที่ว่า ถ้าไม่เทคขึ้นไปยาว ๆ ไม่นาจะรอดแหง ๆ ฮ่า ๆ ๆ
จบวันแรกไปอย่างสนุกสนาน กับอุณหภูมิราว 24 องศายามอาทิตย์อัสดง เราชาวคณะ #RangerRaptorinMuine กลับไปพักผ่อนที่เมืองดาลัดอีกคืน ก่อนที่วันถัดมา เราจะขับรถมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายขาว White Sand Dune ใน Miune โดยมีระยะทางอยู่ที่ราว 135 กิโลเมตร ซึ่งการขับขี่ในเวียดนามนั้น จะอยู่ในช่องทางด้านขวา แต่รถ Ford Ranger Raptor ที่เราขับกันนั้นเป็นรถพวงมาลัยขวา ดังนั้นการช่วงชิงช่องว่างเพื่อแซงจะทำได้ไม่ถนัดนัก ต้องอาศัยคนนั่งด้านซ้ายช่วยคอยบอกให้เกือบตลอดทาง เพราะเส้นทางเป็นทางสวนเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ด้วยแถบนี้รถยังไม่มากสักเท่าไหร่ เลยทำให้ไม่ต้องลุ้นมากนัก แถมกำลังเครื่องยนต์ยังมีมากอีกด้วย เลยไม่มีอะไรเป็นที่น่ากังวล
Muine ไม่ได้เป็นชื่อทะเลทราย แต่เป็นชื่อเมืองตากอากาศชายทะเลในจังหวัดบิ่ญถ่วนทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม ชายหาดของ Muine เป็นหาดเขตร้อนแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยม ลมทะเลที่พัดแรงทำให้ที่นี่เป็นที่นิยมมากในการเล่นไคต์เซิร์ฟ (ว่าวโต้คลื่น) และวินด์เซิร์ฟ ฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 27 องศาเซลเซียส สภาพภูมิอากาศร้อนและแห้งเกือบตลอดทั้งปี แต่วันที่เราไปนั้นร้อนระดับ 35 องศาเซลเซียสเลย ซึ่งคนไทยหลายคนยังคิดว่า Muine คือทะเลทราย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันคือชื่อเมือง เพียงแต่ว่าที่นี่มีทุ่งทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนแล้ว แบ่งออกเป็น 2 ส่วนก็คือ Red Sand Dune คือทะเลทรายสีแดง กับ White Sand Dune ทะเลทรายสีขาว ที่เรากำลังจะไปเยือนวันนี้แล
พอมาถึงที่จุดหมายแล้ว ทีมงานก็นำ Ford Ranger Raptor ไปเตรียมตัวให้พร้อม (แน่นอนว่าต้องมีการปล่อยลมยางให้อ่อนลง เพื่อให้หน้ายางสามารถสัมผัสกับทรายได้อย่างเต็มที่) พวกเราก็ต้องมารับบรีฟกันก่อนไปลุยในทะเลทราย ต้องบอกว่าจุดนั้นจะเป็นจุดเดียวกับที่นักท่องเที่ยวทั่วไปมาเที่ยวด้วยเช่นกัน ไม่ได้มีการปิดสถานที่แต่อย่างใด พิเศษแต่เพียงว่า ปกติทางสถานที่จะไม่อนุญาตให้นำรถอื่นเข้าไปในพื้นที่เลย จะให้ใช้งานได้เฉพาะรถของพื้นที่เท่านั้น (มีแบบรถกระบะกับ ATV เลือกเอาได้ ราคาแตกต่างกันไป) แต่รอบนี้ฟอร์ดจัดให้เป็นพิเศษ ให้เราได้ซัดโหมด Baja กันเต็มที่ ซึ่งเส้นทางวันนี้บอกได้เลยว่าโหดสุด เพราะพื้นทรายนอกจากร่วนจนเป็นแป้งแล้ว เส้นทางยังมีทั้งขึ้นเขา ลงเขา ไต่เขา แบบที่หาไม่ได้อีกแล้วในที่อื่น (โหดกว่านี้ก็ Dakar แล้ว)
เริ่มจากการไต่เนินทรายขึ้นไปสูงระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าเทคไม่ดี หรือเครื่องยนต์ไม่มีสมรรถนะมากพอ ไม่รอดแน่นอน ขนาด Ford Ranger Raptor ยังเกือบมีจังหวะขึ้นไม่รอดเลยถ้าเผลอไปกดเบรกลดความเร็ว เพราะทรายมันร่วนมาก ดิ้นอยู่ตลอดเวลา ต้องงัดทักษะในการขับรถออกมาใช้มากกว่าปกติเลย พอถึงยอดแล้ว ก็ต้องขับลงหน้าผาทรายสูงชัน ระดับเกินกว่า 45 องศาอีก ช่วงปักหัวลงมานี่เสียวมาก เห็นแต่พื้นที่อยู่ด้านล่าง แต่ไม่ต้องห่วงครับ เพราะรถเอาอยู่แน่นอน เราซัดกันไปบนทางทรายแบบไม่มียั้ง ไถลบ้าง หลุดบ้างก็ไม่มีปัญหา เพราะความกว้างขวางแบบสุดลูกหูลูกตาของทะเลทรายแห่งนี้ ไม่มีทางที่จะไปปะทะกับของอย่างอื่นได้แน่นอน ยกเว้นจะพลิกคว่ำไปด้วยตัวเอง (เสียวอยู่เหมือนกันตอนอยู่สันทราย เพราะถ้าหลุดเอียงลงผา ก็กลิ้งได้เหมือนกัน) เอาจริงนะ ไม่รู้จะอธิบายเป็นตัวอักษรได้อย่างไร แต่การขับนั้นสนุกมาก เอาอยู่ตลอดทั้งเส้นทาง ถึงจะลุ้นมากหน่อยเพราะรถคอยจะไหลหนีทางที่ควรจะไปตลอด ประดุจขับอยู่บนน้ำแข็ง แต่บอกได้เลยว่าประสบการ์แบบนี้ หาที่ไหนได้ยากครับ ถือว่าเป็นประสบการณืในการขับขี่ที่ฟอร์ดจัดให้อย่างเต็มที่ ไม่กลัวว่ารถจะเกิดความเสียหายเลย (แต่จบปริปผมก็ไม่เสียหายอะไรเลยนะ ออกตัวไว้ก่อน)
กับทริป #RangerRaptorinMuine รอบนี้ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ในการทดสอบรถยนต์ของผมจริง ๆ เพราะโอกาสที่จะเอารถมาขับในทะเลทรายแบบนี้ หาได้ยากมาก แต่โชคดีที่ทาง ฟอร์ด ประเทศไทย จัดให้แบบสุดติ่ง แถมยังได้รถสมรรถนะสูงอย่าง Ford Ranger Raptor มาเป็นพาหนะคู่ใจอีก อะไรที่ดูเหมือนยาก มันก็กลายเป็นง่ายไปหมด กับราคาค่าตัวที่ 1,699,000 บาท ถ้ามีตัง ซื้อเถอะครับ แล้วคุณจะไม่มองมันเป็นรถกระบะ แต่จะมองเป็นรถที่สร้างความมันให้ตลอดเส้นทาง
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com