Test Drive: ทดลองขับ Ford Ranger Raptor บทพิสูจน์ใหม่ ที่สะใจมากกว่าเดิม
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 27 ก.พ. 62 00:00
- 7,925 อ่าน
สร้างปรากฏการณ์อย่างยิ่งใหญ่ไปแล้วเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา กับการเปิดตัวของกระบะพันธุ์แข่งตัวแรง Ford Ranger Raptor ที่ได้รับการชื่นชมไปอย่างมากจากบรรดาสื่อมวลชนที่ได้ทดสอบกันไปอย่างเต็มที่ จนบางสื่อใช้เรียกชื่อกันว่า “กระบะบินได้” รวมทั้งผมเองในฐานะทีมงานของ AUTODEFT ก็ได้เป็นวส่วนหนึ่งในการทดสอบเช่นกัน และถือเป็นรถที่ดีเป็นอันดับต้น ๆ ของการทดสอบในรอบปีที่ผ่านมา
ผ่านระยะเวลาไปเพียงไม่กี่เดือน ทาง AUTODEFT ก็ได้รับหมายเรียนเชิญจากทาง ฟอร์ด ประเทศไทย อีกครั้ง โดยเชิญไปทดสอบเจ้าตัวโหดอย่าง Ford Ranger Raptor กันอีกครั้ง ทำเอาผมกับน้อง ๆ ในทีมมองหน้ากันว่า ก็ไม่ได้มีตัวใหม่ออกมาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงได้มีการเรียกไปเพื่อทดสอบอีกครั้ง แต่ในหมายเชิญนั้นถูกแจ้งเอาไว้ว่า การเดินทางเพื่อทดสอบในครั้งนี้ เป็นไปตามรูปแบบ Ford Ranger Raptor – The Mysterious Journey การเดินทางอันแสนลึกลับ เอาวะ มันจะลึกลับได้สักขนาดไหน ลองไปให้รู้กันเลย
การเดินทางครั้งนี้ เราเริ่มกันที่สนามบินดอนเมืองในเช้าตรู่วันอาทิตย์ (วันหยุดก็ต้องทำงานนะฮะ) โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ใช้เวลาการเดินทางบนอากาศไม่ถึง 1 ชั่วโมง (นั่งรอที่สนามบินยังนานกว่า) พวกเราก็เดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย โดยที่สนามบินนั้น ก็มีเจ้าตัวโหด Ford Ranger Raptor จอดเรียงรายรอพวกเราให้ไปขึ้นควบกันแล้ว โดยทาง PR สาวสุดสวยก็ได้แจ้งกำหนดการทดสอบในรอบนี้ว่า ต้องขับลุยกันยาวตลอด 3 วัน ดังนั้นต้องเตรียมร่างกายให้ดีนะ แล้วจะได้เจอกับเส้นทางที่น้อยคนนักจะได้ไปเยือน
ก่อนออกเดินทาง เรามาย้อนกันหน่อยกับสเปกของเจ้า Ford Ranger Raptor คันนี้ โดยขออนุญาตคัดลอกบางส่วนมาจาก Test Drive: ทดสอบรถยนต์ Ford Ranger Raptor นิยามได้อย่างเดียวว่า “ของจริง”
Ford Ranger Raptor เป็นรถกระบะที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดแล้วในบรรดากระบะสไตล์ passenger Pickup ด้วยกัน (ปกติ Ford Ranger ก็มีด้านกว้างใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว) โดยตัวรถมีขนาด กว้างxยาวxสูง = 2,180x5,398x1,873 มม. ใต้ท้องรถสูง 283 มม. ส่วน Wheelbase นั้นเท่ากันกับ Ranger คือ 3,220 มม. ด้วยใต้ท้องรถที่สูงมากขนาดนี้ รวมทั้งการออกแบบในส่วนของกันชนหน้าและหลังที่ต่างจากของรุ่นปกติ ทำให้มุมเข้าและมุมจากของตัวรถสามารถทำได้มากกว่ารุ่นอื่น ๆ หมายถึงมันสามารถขับลุยในพื้นที่ ที่โหดกว่านั่นเอง ตัวล้อใช้เป็นขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางแบบ All Terrain เพื่อเอาไว้ใช้งานแบบลุยได้ประมาณหนึ่ง ตัวขนาดของยางคือ 285/70 R17 ของ BF Goodrich
เครื่องยนต์ที่ใส่มา ใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว เทอร์โบคู่อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลัง 213 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750 - 2,000 รอบ แรงบิดสูงขนาดนี้ที่รอบไม่สูงมาก ต้องของคุณการทำงานของเทอร์โบคู่ ที่แบ่งการทำงานอย่างดี เทอร์โบ 1 ลูกจะเป็นแบบ High Pressure ทำงานที่รอบต่ำ อีกลูกเป็น Low Pressure จะทำงานที่รอบสูง โดยเมื่อเครื่องยนต์อยู่ในรอบต่ำ ทั้ง 2 ลูกจะเริ่มทำงานพร้อม ๆ กัน โดยที่ตัวเล็กจะหมุนเยอะหน่อย แต่เมื่อถึงรอบสูง ตัวเล็กจะถูก Bypass ออกให้หยุดทำงาน แล้วใช้แรงอัดอากาศจากลูกใหญ่เข้าไปที่เครื่องยนต์เท่านั้น จึงทำให้อัตราเร่งนั้น สามารถตอบสนองได้ตั้งแต่เกียร์แรกยันเกียร์สุดท้ายเลย ส่วนเกียร์นั้น ใช้เป็นเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ลูกเดียวกับที่ใช้บน Ford Mustang สามารถเลือกเป็นโหมด Manual ให้เราควบคุมได้อย่างเต็มที่ โดยที่ตัวเกียร์จะไม่เปลี่ยนให้ถ้าเราไม่สั่ง หรือจะใช้โหมดอัตโนมัติตามปกติ แล้วเล่นเปลี่ยนเกียร์ด้วย Paddle Shift ที่พวงมาลัยก็ได้ สามารถเล่รนได้ตั้งแต่โหมด D ปกติเลย โดยก้านของ Paddle Shift เป็นวัสดุจากแมกนีเซียม อัลลอย ให้ความดุดัน มีสัมผัสที่แตกต่างกับแบบพลาสติกในรุ่นส่วนใหญ่ที่ใช้งานกันอย่างมากมาย พวงมาลัยควบคุมด้วยไฟฟ้า สามารถปรับระดับความรู้สึกในการหมุนได้ตามโหมดที่เราเลือกใช้งาน ล้อเป็นดิสก์เบรกทั้งหมด 4 ล้อ ขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมครีบระบายความร้อน เฟืองท้ายแบบ แบบ Locking Rear Differential (Locking Rear Differential)
สิ่งที่เป็นไฮไล์ชูโรงของ Ford Ranger Raptor คันนี้ ก็คือชุดช่วงล่างจาก Fox นั่นเอง โดยด้านหน้าจะเป็นแบบ อิสระปีกนกอลูมิเนียม 2 ชั้นพร้อมโช๊ค Fox Racing Shox แบบมีระบบบายพาสภายใน พร้อมด้วยเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบ คอยล์โอเวอร์ช็อคพร้อมโช๊ค Fox Racing Shox แบบมีซับแท๊งค์และระบบบายพาสภายในพร้อมด้วยวัตต์ลิงค์ เป็นช่วงล่างที่ถอด DNA มาจากช่วงล่างที่ใช้ในรถแข่ง ที่ลงทำการแข่งขันทาง Off-Raod สุดโหดอย่าง Baja 1000 มาทั้งชุด
ระบบความปลอดภัยนั้น Ford Ranger Raptor มีดังนี้
- ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll Mitigation Function)
- ระบบลดอาการส่ายขณะลากจูง (Trailer Sway Control)
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) และระบบควบคุมการบรรทุก (Load Adaptive Control)
- ระบบป้องกันล้อล็อคและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) และระบบช่วยการออกตัวขณะจอดรถบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist)
- ถุงลมนิรภัย 6 ลูก บริเวณด้านหน้า ด้านข้าง และด้านข้างกระจก
- กล้องมองหลัง
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control)
ทีนี้ ครั้งที่แล้ว ผมยังไม่ได้อธิบายการทำงานของโหมดการขับขี่ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า Terrain Management System ที่มีให้ทั้งหมด 6 แบบ ก็คือ Normal, Sport, Rock, Mud/Sand, Snow/Gravel/Gravel และ Baja กันอย่างละเอียด ว่าแต่ละโหมดทำงานแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะมาขยายความกันหน่อยครับ
Normal Mode: เป็นโหมดที่เอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เน้นเรื่องการประหยัดน้ำมัน พวงมาลัยนั้นจะอยู่ในโหมด Normal ที่ให้ความหนืดอยู่ในระดับกลาง การตอบสนองของเครื่องยนต์กับเกียร์ก็อยู่ในระดับกลาง ใช้งานได้ทั้งในระบบ 2H, 4H และ 4L
Sport Mode: โหมดนี้จะเอาไว้ใช้งานในตอนที่เราอยากจะมันกับการขับขี่ให้มากขึ้น และใช้ความเร็วสูงกว่าปกติ เครื่องยนต์จะทำการตอบสนองได้เร็วขึ้น เกียร์จะทำงานลากรอบให้มากขึ้น พวงมาลัยจะเข้าสู่โหมด Sport เพื่อให้มีความหนืดตึงมือมากกว่าเดิม จะได้ควบคุมในช่วงความเร็วสูงได้แม่นยำ โดยโหมดนี้จะใช้งานได้เฉพาะในระบบ 2H เท่านั้น
Snow/Gravel/Gravel Mode: โหมดนี้จะมีการใช้งานเมื่อต้องวิ่งอยู่บนพื้นผิวที่มีความลื่น เช่นบนหิมะ, กรวด หรือพื้นหญ้า โดยระบบนี้จะปรับการทำงานของเกียร์ให้เริ่มต้นทำงานที่เกียร์ 2 เพื่อไม่ให้ล้อนั้นหมุนเร็วตอนออกตัว คันเร่งจะตอบสนองช้ากว่าปกติ พวงมาลัยปรับไปในโหมด Normal และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี จะทำงานได้ไวกว่าปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการล้อหมุนฟรีจนรถเสียหลัก ทำงานได้เฉพาะระบบ 4H เท่านั้น
Mud/Sand Mode: โหมดนี้ เหมาะกับการใช้งานบนถนนที่มีความหน่วงล้อ ไม่ว่าจะเป็นพื้นทรายนุ่ม หรือบนพื้นโคลน โดยระบบนี้จะปรับการทำงานของพวงมาลัยให้อยู่ในโหมด Comfort เพื่อให้การหมุนนั้นทำได้เบามือมากที่สุด เกียร์จะทำงานในรอบที่สูงขึ้น เพื่อให้เกิดแรงบิดลงสู่ล้อให้มากที่สุด ปรับการทำงานของระบบป้องกันล้อหมุนฟรีให้ทำงานช้าลง เปิดโอกาสให้รถสามารถหมุนล้อฟรีได้บ้างเล็กน้อย รวมทั้งปรับให้รถสามารถรักษาการทรงตัวให้ดีขึ้น จะใช้งานได้เฉพาะในระบบ 4H และ 4H เท่านั้น
Rock Mode: โหมดนี้ เอาไว้ใช้งานในสภาพถนนที่มีความขรุขระเป็นอย่างมาก มีหลุม มีบ่อ หรือหินก้อนใหญ่ให้ข้ามผ่าน โดยเกียร์จะถูกล็อกให้ใช้งานที่เกียร์ 1 เท่านั้น ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและระบบควบเสถียรภาพการทรงตัวจะถูกปิด ดังนั้นล้อสามารถจะหมุนฟรี หรือลื่นไถล ตัวรถเซเอียงได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ตัวรถส่งกำลังแรงบิดไปที่ล้อได้มากที่สุด วงมาลัยเข้าสู่โหมด Comfort สามารถใช้งานได้เฉพาะในระบบ 4H เท่านั้น
Baja Mode: โหมดแห่งความมัน ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกระบะคันไหนของ Ford Ranger Raptor เพราะจะเป็นโหมดที่ใช้งานด้วยความเร็วสูง ใช้งานได้ทั้งในถนนอบบออฟโรดและออนโรด โดยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีจะถูกลดระดับการทำงานให้อยู่ในระดับต่ำ เกียร์จะลากรอบให้สูงขึ้น เครื่องยนต์ตอบสนองคันเร่งได้ดีขึ้น พวงมาลัยเข้าสู่โหมด Comfort ทำให้รถสามารถวิ่งไปในถนนกรวดหรือขรุขระได้อย่างสนุกสนาน ระบบการป้องกันการไถลจะเข้ามาเป็นตัวช่วยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้รถสามารถไถลไปตามทางที่เราอยากให้ไปได้ สามารถใช้งานได้ทั้ง 2H, 4H และ 4L
อ่ะ คราวนี้เราก็รู้ข้อมูลกันหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางกันได้แล้วครับ โดยช่วงแรกนั้น ผมทำหน้าที่เป็นผู้ขับขี่ก่อน โดยเส้นทางในการเดินทางช่วงแรกนั้น ยังเป็นทางวถนนหลวงอยู่ สามารถใช้กำลังได้เต็มที่ แต่ด้วยความที่เราไปเป็นขบวน จึงซ่ามากไม่ได้ ต้องวิ่งไปตามคันข้างหน้า ซึ่งมี ผู้นำขบวนจากทางฟอร์ดคอยควบคุมความเร็วอยู่ ช่วงนี้ผมใช้โหมด Sport ครับ ซึ่งรู้สึกถึงน้ำหนักพวงมาลัยที่ตึงมือมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องออกแรงจนกล้ามขึ้นนะ แค่ตึงเบา ๆ ทำให้ช่วงที่เราหันล้อในช่วงความเร็วสูง มันไม่ไปเร็วเกินกว่าที่เราอยากจะให้ไป ส่วนกำลังเครื่องนั้น ก็ดีอยู่แล้วครับ แต่ถึงแม้มันจะเป็นเครื่องยนต์ระดับ 213 แรงม้า แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่มันมากเอาการ รถมันก็ไม่ได้กระชากปรู๊ดปร้าดวิญญาณหลุดได้ แต่ก็เร่งแซงได้ กดคันเร่งมันอยู่ในระดับหนึ่ง หากระบะมาวิ่งแซงได้ยากเหมือนกัน
ผ่านไปราว 80 กิโลเมตรได้ ก็หมดหน้าที่สารถีของผมเสียที ได้โอกาสมานั่งด้านหน้าดูบ้าง เส้นทางรอบนี้เป็นถนนวิ่งขึ้นถูเขาครับ ส่วนใหญ่เป็นเลนสวน มีทางโค้งตลอดทาง อันนี้แหละที่ทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างช่วงล่างของรถกระบะธรรมดา และกระบะตัวแกร่งอย่าง Ford Ranger Raptor ที่ทุกโค้งที่เข้าไปนั้น มันมีความนิ่ง ไม่โคลงเคลง มีความนุ่มนวล สบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึก (ในกระบะคันอื่น) มาก่อน ถึงแม้ตัวรถจะโย่งสูงก็ตาม ทำให้บางช่วงเผลอหลับไปเล็กน้อย (ก็ตื่นเช้าเน่) แต่พยายามเก็บอาการไม่ให้พี่คนขับ (พี่โย จาก Heavy69) เห็น เดี๋ยวแกจะบ่นเอา ฮ่า
ผ่านมาถนนปกติแค่ระยะเดียว ก็วิ่งมาถึงบททดสอบจริงจังบทแรกแล้ว โดยปลายทางช่วงนี้จะเป็นการเดินทางเพื่อมุ่งหน้าขึ้นภูตาจอ ตำบล เหล อำเภอ กะปง จังหวัดพังงา โดยยอดเขาแห่งนี้ อยู่ในการดูแลของอุทยานแห่งชาติคลองพนม เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดพังงา ตั้งอยู่บนพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนปริวรรต ถึงแม้จะเส้นทางไปยังจุดชมวิวจะเต็มไปด้วยความท้าทาย เนื่องจากตั้งอยู่บนภูเขาที่มีระดับความสูงกว่าน้ำทะเลเกือบ 1,300 เมตร แต่ภูตาจอก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันงดงามที่ให้ผู้เยี่ยมชมสามารถมองเห็นวิวทะเลอันดามันได้รอบ 360 องศา และแนวทิวเขาเรียงตัวสลับซับซ้อน พร้อมสัมผัสทะเลหมอกยามเช้าสวยไม่แพ้ป่าดอยเมืองเหนือ นอกจากนี้ พื้นที่ด้านบนยอดภูนั้นมีลานกว้างเนื่องจากเป็นขุมเหมืองแร่เก่า เหมาะแก่การท่องเที่ยวแบบแคมปิ้งและผจญภัย โดยระหว่างทางขึ้นลงภูตาจอง นักท่องเที่ยวสามารถแวะเที่ยวน้ำตกโตนต้นหมากท่ามกลางผืนป่าดิบชื้น และอาจได้พบ “ดอกบัวผุด” ดอกไม้ขนาดยักษ์หายาก มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 60 - 80 เซนติเมตร และจะบานประมาณสัปดาห์เดียวเท่านั้น ทั้งนี้ สภาพเส้นทางเป็นทางลูกรังที่มีความหลากหลายทั้งเป็นหินกรวด ดินปนทราย ทางสูงชันและมีความลื่นในบางช่วงที่ทางน้ำผ่าน
แต่วันนี้เราจะแวะเพียงแค่ 2 ที่ ก็คือ ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนปริวรรต กับยอดเขาภูตาจอเท่านั้นครับ เส้นทางที่เดินทางในวันนี้ จะเป็นถนนลูกรังบนภูเขา ที่พัง พัง และก็พังครับ มีตั้งแต่ขรุขระน้อย ไปโดยแบบขับ 2 ได้ จนถึงทางหลุมลึก แถมชัน ต้องขึ้นด้วย 4L เท่านั้น ระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 20 กิโลเมตรได้ เรื่องกำลังเครื่องในการไต่นั้น ไม่ห่วงเลยครับ แต่เรื่องของความนุ่มนวลเนี่ย ยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่า ช่วงล่างของ FOX นั้นมันเป็นของจริง ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ไส้ไม่กองรวมกัน ทำให้การเดินทางเส้นทางแบบนี้ สนุกมากครับ ไม่มีอาการคลื่นเหียน จุก จากการโดนกระแทกบ่อย ๆ ตลอดเส้นทาง สบายมากจริง (เพราะไม่ต้องขับเอง)
หลังจากเดินทางด้วยรถพันธุ์แกร่งจนถึงด้านบนแล้ว แต่ยังครับ เรายังต้องเดินขึ้นไปอีกราว 300 เมตรในแนวดิ่ง เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดสูงสุดกัน พิสูจน์ความแกร่งของคนบ้างล่ะ บรรยากาศด้านบนยอดสูงสุดของภูตาจอนั้น เป็นวิวที่สวยงามมากครับ เห็นวิวด้านล่างได้แบบ 360 องศา เห็นทิวทัศน์ของป่าเขาที่เป็นผืนเขียวกว้างใหญ่ไพศาล ถือเป็นที่ท่องเที่ยวแบบ Unseen ที่ผมว่า น้อยคนที่จะรู้ว่า ในจังหวัดพังงา จะมีที่ท่องเที่ยวแบบนี้อยู่ครับ
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศสวย ๆ บนภูตาจอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องเดินทางมุ่งหน้าสู่ที่พักกันแล้วครับ โดยก่อนเดินทางนั้น ทางผู้นำทางได้บอกเพียงแค่ว่า เราต้องเดินทางไปขึ้นแพขนานยนต์กันที่แถวบ้านน้ำเค็มกัน โดยไม่ได้บอกว่าปลายทางที่พักของเรานั้นอยู่ที่ไหน (ตามแบบการเดินทางแห่งความลึกลับจริง ๆ) ขาลงนั้น ผมรับอาสาขับอีกรอบครับ เส้นทางก็ย้อนมาทางเดิม แต่มันเป็นขาลง ก็เลยทำให้มันมีความยากเพิ่มขึ้นไปอีกเล็กน้อย แต่เรื่องอะไรจะใช้ฝีมือตัวเองให้เมื่อยล่ะครับ ขาลงก็เลยจัดการเปิดโหมดระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา Hill Descent Control ซะเลย ปล่อยให้ตัวรถคำนวนความเร็วจากความเอียงและสภาพพื้นถนนด้วยตัวเอง ไหลลงมาเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องสนใจแตะเบรกอะไรมากมาย ถ้าช้าไป ก็กดคันเร่งให้เพิ่มความเร็วขึ้นมา ขับได้อย่างสบายใจ
หลังจากลงเขามาแล้ว พวกเราชาวคณะ ก็ได้เดินทางต่อไปยังบ้านน้ำเค็ม ชื่อของที่นี่น่าจะเป็นที่คุ้นเคยของคนที่ติดตามข่าวเมื่อช่วงสึนามิเข้าประเทศไทย เพราะตรงจุนี้เป็นจุดที่โดนคลื่นยักษ์ถล่มมาหนักมากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย จนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่วันนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว สภาพหมู่บ้านนี้ กลับสู่สภาวะปกติ และยังเป็นจุดขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปยัง “เกาะคอเขา” (ฮะ อะไรนะ) เกาะที่ผมสอบถามเพื่อนร่วมทริปว่า เคยมาหรือเปล่า เกือบทุกคนตอบแทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า “อย่าว่าแต่เคยมาเลย แค่ชื่อยังได้ยินเป็นครั้งแรก” โดยเกาะคอเขานั้น เป็นเกาะที่อยู่ในความดูแลของอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นเกาะตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอันดามัน นักท่องเที่ยวสามารถนำรถยนต์ส่วนตัวข้ามไปได้ที่ท่าเรือบ้านน้ำเค็มได้ เกาะคอเขาเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ โดยมีป่าชายเลนผืนใหญ่ที่ทอดตัวทางทิศตะวันออกและหาดทรายขาวทางทิศตะวันตก ทำให้นักท่องเที่ยวได้ชมทัศนียภาพอันแปลกตาของพื้นที่ พร้อมทั้งต้นไม้ที่หายาก เช่น ดอกบัวบา ดอกบัวที่มีขนาดเล็กที่สุดและต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ขึ้นอยู่จำนวนมาก
นอกจากจะได้สัมผัสกับธรรมชาติแล้ว เกาะคอเขายังมีแหล่งโบราณคดีและร่องรอยความเจริญของวัฒนธรรมในอดีตให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้อีกด้วย จากการสันนิษฐานของนักโบราณคดี เดิมที่นี่เป็นอาจจะเป็นศูนย์กลางในการค้าขายของศรีวิชัย เส้นทางการค้าข้ามคาบสมุทรของชาวอินเดีย จีน อาหรับ และมลายู เนื่องจากเป็นเมืองท่าค้าขายและที่จอดเรือหลบมรสุม บ่งบอกประวัติศาสตร์ของเกาะแห่งนี้ที่มีมานานนับพันปี โดยมี “เมืองโบราณคดีบ้านทุ่งตึก” เป็นแหล่งโบราณคดีและพันธุ์ไม้หายากบนเกาะคอเขา ภายในบริเวณเมืองโบราณคดีบ้านทุ่งตึกมีซากอาคารโบราณสถานอยู่ถึง 3 แห่ง นอกจากนี้ยังได้พบฐานเทวรูป สัญลักษณ์รูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ เหรียญเงินอินเดีย เศษภาชนะดินเผาที่ผลิตในสมัยราชวงศ์ถังของจีน และเครื่องแก้วของชาวเปอร์เซีย
แน่นอนว่า ก่อนจะขึ้นเกาะได้ เราก็ต้องขนเอา Ford Ranger Raptor ขับขึ้นเรือเฟอร์รี่ แล้วข้ามน้ำไปยังตัวเกาะ ใช้เวลาไม่นานครับ ประมาณ 15 นาทีได้ ก็สามารถเอาล้อแตะกับแผ่นดินของเกาะได้แล้ว ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ก็ต้องเจอกับบททดสอบต่อมาอีกแล้ว นั่นก็คือการเดินทางบนทรายที่ชายหาดบนเกาะนั่นเอง ปลายทางอยู่ที่ “หัวแหลม” หาดบริสุทธิ์บนแหลมปลายเกาะคอเขา ที่มีน้ำใสสีฟ้าคราม พร้อมความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่มีนักท่องเที่ยวน้อย ไม่พลุกพล่าน และเงียบสงบ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความสงบ รักความเป็นส่วนตัว ต้องการหนีความวุ่นวายจากชีวิตในเมือง และนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาสถานที่สุดโรแมนติกริมชายหาดทรายขาวเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติยามพลบค่ำ เนื่องจากเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย
การขับขี่บนหาดนี้ ต้องใช้โหมด Mud/Sand Mode เลยครับ สิ่งที่เห็นชัดเจนก็คือ พวงมาลัยเบาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (เปลี่ยนจาก Sport มาเป็น Comfort) และท้ายรถมีอการปัดมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับไถลไปเยอะ ผมเลยลองขับแบบหักซ้าย-ขวา บนชายหาดแบบเอาสนุก ตัวกำลังเครื่องไม่มีปัญหาในการลุยอยู่แล้ว ส่วนการควบคุมนั้น ถ้าใครเคยขับบนทรายจะรู้เลยว่า รถมันจะไถลทั้งหน้าและหลัง ควบคุมยากมาก แต่การใช้งานในโหมดทรายของ Ford Ranger Raptor นั้น มันทำได้ไม่ยากเลยครับ ถึงแม้พื้นทรายจะร่วนขนาดไหนก็ตาม และเมื่อมาถึงจุดหมาย ก็อย่างที่เขาบอกเอาไว้จริง ๆ ว่า จุดนี้คือจุดที่ชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงามแห่งหนึ่ง ยิ่งเอาเจ้าไดโนเสาร์มาจอดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ตัวรถเพิ่มความงามได้อีกหลายเท่าตัวเลยครับ
ก้าวเข้าสู่วันที่ 2 กับวันที่เราจะได้จับเอา Ford Ranger Raptor มาบินกันอีกแล้ว โดยวันนี้ ผมรับหน้าที่เป็นผู้โดยสารเพียงอย่างเดียว (ยกเว้นช่วงลงสนาม) โดยระหว่างทางไปสนามนั้น จะมีการออกกำลังกายเพื่อวอร์มร่างกายและรถกันก่อนเล็กน้อย ซึ่งเราจะต้องวิ่งในถนนที่ชาวบ้านวิ่งเข้าไร่ เข้าสวน เป็นเส้นขนานไปกับถนนหลัก มีพื้นเป็นดินลูกรังผสมทรายอยู่ตลอดเส้นทาง มีทั้งทางตรงและทางโค้งเล็กน้อย งานนี้พี่โย Heavy69 จัดการกดเต็มที่ รถก็วิ่งไปตามเส้นทางได้อย่างมัน อาจจะมีบางช่วงที่เจอทางโค้งที่ดันเป็นทรายร่วน ก็เจออาการไถลออกเล็กน้อย แต่ด้วยระบบความปลอดภัยที่มีอยู่ ทั้งระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control) และ ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ (Roll Mitigation Function) ทำการตัดกำลังจากเครื่องยนต์ แล้วจัดการปรับการหมุนล้อให้กลับมาอยู่ในเส้นทางได้ตามปกติ ผ่านไปจนสุดเส้นทางอย่างปลอดภัย
และแล้ว พวกเราทุกคนก็เดินทางมาจนถึงสนามทดสอบแล้ว โดยสนามนี้ เป็นสนามบินเก่าสมัยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คาดกันว่าเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรสร้างเอาไว้เป็นฐานในการบินไปถล่มฐานที่มั่นของญี่ปุ่นที่อยู่แถวพระนคร แต่วันนี้จะเปลี่ยนภารกิจให้กลายเป้นสนามทดสอบความแกร่งของ Ford Ranger Raptor พื้นสนามนั้นจะเป็นดินผสมทราย และแถมด้วยพื้นหญ้าอีกเล็กน้อย ระยะทางความยาวน่าจะอยู่ประมาณ 2-3 กิโลเมตร และแน่นอนว่า ต้องปิดท้ายด้วยการกระโดดแท่น และครั้งนี้จัดเต็มครับ เพราะช่วงการกระโดดนั้น ได้รับบรีฟมาว่า ต้องขับให้ได้ 100 กม./ชม. (มันล่ะครับ) และมีส่งท้ายว่า อยากจะใช้งงานโหมดไหนก็ได้ จะเป็น Sand หรือ Baja ก็ตามใจ จะบร้าเหรอ มาขนาดนี้แล้ว ก็ต้องกดโหมด Baja สิคร้าบ
สนามนี้ ถือว่าขับยากพอตัวเลยครับ เพราะเมื่อเราจัดการกดเข้าสู่โหมด Baja ตัวรถก็จัดการเพิ่มความไวของตัวเครื่องยนต์, ปรับการทำงานของเกียร์ให้วิ่งรอบสูงขึ้น แถมยังแทบจะตัดการทำงานของตัวช่วยบนรถหมด แถมยังเจอพื้นสนามที่แสนจะลื่นไถลตลอดระยะทางที่วิ่งไป (ทางเก่าที่ทดสอบรอบที่แล้วว่าลื่นแล้ว รอบนี้ลื่นกว่าเยอะ) แต่ด้วยความมันเท้า ผมก็กดกันยับตลอดทางครับ จังหวะไหนที่ปีนเนินแล้วหักกลับรถก็จะไถลท้ายหันไปเล็กน้อย เราก็คอยแก้อาการเอาจากพวงมาลัย เข้าโค้งก็กดเต็มที่ (ตามความเร็วที่คิดว่าเอาอยู่) รถนี่แทบจะหมุนเพราะในโค้งนี่เป็นทรายผสมหญ้า แต่ก็ยังพอมีระบบความปลอดภัยเขจ้ามาคอยช่วยเหลืออยู่บ้างเป็นครั้งคราวเมื่อรถเสียอาการเยอะ แต่ก็ไม่ได้ช่วยมากจนหมดสนุก และจุดสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์ ก็คือแท่นกระโดดนั่นเอง ผมกดคันเร่งจนมิด และเหลือบไปมองไมล์เล็กน้อย ความเร็วแตะไปที่ 100 กม./ชม. ในจังหวะที่พอดีกับขึ้นแตะเนินพอดี รถก็เหินลอยละล่องไปได้แบบสะใจ ก่อนที่จะสัมผัสพื้น ด้วยการที่ตัวรถไม่เสียอาการเลย ต้องย้ำอีกทีว่า ช่วงล่างของ FOX เค้าดีงามมากจริง ๆ ทำให้จบการทดสอบไปด้วยความสนุกเต็มที่ทุกคน
จบจากสนามทดสอบแรกของวันที่ 2 แล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังริมชายหาด เพื่อทดสอบการใช้งานในโหมด 4L กันดูบ้าง โดยที่แห่งนี้จะมีคูน้ำธรรมชาติ ที่ตอนนี้ไม่มีน้ำอยู่ ลัดเลาะไปขนานกับชายหาด คดเคี้ยวไปมา ระยะทางไม่ไกลมาก ราว 100 เมตรได้ แต่เราจะต้องเอา Ford Ranger Raptor วิ่งลงไปเลาะข้ามไปมาในคูน้ำนี้ เป้นการทดสอบใช้งานในโหมด 4L ซึ่งการทดสอบนั้น ทุกคันที่ลงไปแต้องเจอปัญหาเดียวกันหมดก็คือ ล้อหลังลอย จนทำให้รถไม่สามารถไต่ขึ้นจากคูน้ำได้ เพราะกำลังลงไปที่ล้อที่แตะพื้นได้ไม่มากพอ ตัวช่วยที่จะทำให้รถสามารถเดินข้ามคูได้ ก็คือปุ่ม Diff-Lock นั่นเอง ปุ่มนี้จะอยู่ข้างคันเกียร์ เมื่อกดใช้งานแล้ว ล้อหลังจะทำการล็อกให้หมุนส่งกำลังได้เท่ากันทั้ง 2 ล้อ (ถ้าไม่กด ล้อที่ลอยอยู่จะหมุนฟรี เสียกำลังจากเครื่องยนต์ทิ้งไปโดยที่ล้อแตะพื้นไม่มีกำลังหมุน) แค่นั้น รถก็สามารถไต่ขึ้นลงผ่านคูน้ำได้อย่างสบายใจ
จบการทดสอบระบบ 4L เป้นที่เรียบร้อย ช่วงบ่ายจะเป็นการผ่อนคลายกันเล็กน้อย ด้วยการจัด Rally หา RC ในจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่มีอยู่บนเกาะคอเขา ทั้งไปตามหาต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติเป็นจำนวนมาก, บัวบา ดอกบัวที่มีขนาดเล็กที่สุด,เมืองโบราณคดีบ้านทุ่งตึก, เตาเผาถ่านโบราณ ที่ชาวบ้านบนเกาะนี้ยังใช้งานอยู่ และเป้นรายได้หลักของหลายครอบครัวบนเกาะนี้ เป็นต้น เมื่อเจอ RC เหล่านั้นแล้ว ก็ต้องเอาทั้งหมดไปส่งให้กรรมการ ณ จุดปลายทาง แล้วมารอลุ้นกันว่า ใครจะได้คะแนนสะสมมากที่สุด เป้นเกมที่เล่นกันแบบคลายเคลียด ปิดการทดสอบวันที่ 2 ไปอย่างสนุกสนาน
เข้าสู่วันสุดท้ายของการทดสอบ วันนี้ได้รับแจ้งในช่วงเช้าว่า จะเป็นวันที่ไม่ได้ทดสอบตัวรถอะไรมากมาย แต่จะพาไปเปิดประสบการณ์ที่หลายคนยังไม่เคยเจอมาก่อน นั่นก็คือการได้ไปชมความสวยงามตามธรรมชาติของ กะปง แกรนด์ แคนยอน ประติมากรรมธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นภูเขาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีทางเดินขนาดเล็กลัดเลาะขึ้นไปบนสันเขาทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปสำรวจบนยอดเขาได้ และเมื่อมองลงมา นักท่องเที่ยวจะได้พบกับวิวน้ำตกขนาดเล็กที่ไหลลงสู่ลำธารขนาดใหญ่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา โดยปรากฏการณ์นี้เกิดจากการทำเหมืองแร่ในสมัยก่อนที่มีการขุดหาแร่ดีบุก ด้วยระบบเหมืองฉีด จึงทำให้มีกองทรายอยู่จำนวนมหาศาล ต่อมาถูกน้ำกัดเซาะจนพังทลายเป็นพื้นที่รูปร่างแปลกตากว่า 50 ไร่ เป็นที่น่าประทับใจของนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยือน ในดินแดนหินผาที่ดูคล้ายสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องลือในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับทรัพยากรธรรมชาติอันสมบูรณ์เขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดเล็กใหญ่ เฟิร์นป่า และต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง พืชกินสัตว์หายาก ที่จะขึ้นให้เห็นได้โดยทั่วใปในสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ คณะของ Ford Ranger Raptor ได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถนำรถเข้าไปในพื้นที่กลางแกรนด์แคนยอนได้ ซึ่งปกติแล้วทางพื้นที่จะไม่อนุญาต จะยอมให้เพียงคนเดินเข้าไปด้วยเท้าเท่านั้น ก็ถือเป็นโอกาสพิเศษที่สุดจริง ๆ
จบภารกิจ 3 วันไปอย่างสนุกสนาน เอาจริงแล้ว การทดสอบครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรที่เราต้องการรู้จากตัวรถมากสักเท่าไหร่ เพราะเราเองได้ทดสอบกันไปอย่างบ้าคลั่งเมื่อรอบที่แล้วจนหมดสิ้น แต่สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างก็คือ ฟอร์ด ประเทศไทย ใจถึงอย่างมาก ที่ยอมให้บรรดาสื่อมวลชนจับเอากระบะตัวท็อปของค่าย มาให้ปู้ยี่ปู้ยำกันอย่างเต็มที่ ไม่ห่วงว่ารถจะเป็นอย่างไร และมั่นใจในสมรรถนะของรถเป็นอย่างมาก คณะของเรานั้นเป้นกลุ่มที่ 2 ของการเดินทางในรอบนี้ ซึ่งกลุ่มแรกทำการทดสอบกันเต็มเท้าเหมือนกัน แต่ผ่านไป 6 วันทั้ง 2 กรุ๊ป ก็ไม่ได้มีอาการแปลกไปแตกต่างจากตอนแรกเมื่อได้ขับขี่แต่อย่างใด ดังนั้นความแข็งแกร่งก็ถือว่า ยังคงสมชื่อเช่นเดิม
Ford Ranger Raptor ไม่ใช่รถกระบะที่บินได้ครับ แต่มันสามารถเอาไปลุยได้มากกว่ากระบะทั่วไป และมันนั่งได้สบายมากกว่ากระบะทั่วไปอีกด้วย ถ้าถามว่าใครที่ต้องซื้อรถคันนี้ ผมมองเป็นคนในกลุ่มที่มีครอบครัว แต่ชีวิตยังชอบการใช้งานรถแบบ Extreme อยู่ แต่ไม่สามารถมีรถ 2 คันที่ใช้งานทั้งแบบขับสบาย พาครอบครัวนั่งไปอย่างนุ่มนวล แต่เมื่ออยากลุยป่า ก็เอารถคันเดียวกันนี้ไปซัดกันแบบเต็มเท้าได้ ดังนั้นการควักเงิน 1,699,000 บาท เพื่อครอบครองเจ้าไดโนเสาร์สักคัน ผมว่ามันก็คุ้มค่าอยู่เหมือนกัน แถมยังได้ความมันแบบที่รถหลายคนไม่สามารถให้ได้เท่ากับ Ford Ranger Raptor ครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com