Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition มีเสน่ห์ แรง ดุดัน
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 19 เม.ย. 64 00:00
- 7,955 อ่าน
2 ปีก่อน ผมเองในฐานะทีมงาน AUTODEFT มีโอกาสได้ทดสอบรถ Muscle Car ยอดนิยมของชาวโลกมาแล้วกับ Ford Mustang 2.3 EcoBoost Coupe Performance Pack ซึ่งเป็นอะไรที่มันมาก โคตรประทับใจ แต่ผมจะบอกว่าความจริงแล้วรอบนั้นไม่ได้ตั้งใจจะเอารุ่นนี้มารีวิวเลย เพราะความจริงแล้วทีมงานยื่นเรื่องขอทดสอบในตัว 5.0 ลิตรไป แต่ด้วยก่อนรับรถ 1 วัน ดันเกิดเหตุที่รถไม่พร้อม เลยต้องเริ่มด้วยการเทสตัว 2.3 ไปก่อน
รอบนี้อดรนทนไม่ได้ เพราะเจอบรรดาบรรดาเพื่อน ๆ ชาว AUTODEFT ทีไรที่สนใจเจ้ารถ Muscle Car คันนี้ ต้องถามทุกทีว่าแล้วตัว 5.0 มันขับมันกว่าเยอะไหมพี่ เราเองจะเอาความรู้สึกในตอนที่ขับในสนามพีระในระยะทางสั้น ๆ มาตอบก็กะไรอยู่ รอบนี้เลยจัดใหม่อีกรอบ โดยรอบนี้ดันได้มาเป็นรุ่นพิเศษเสียด้วยกับ Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition ที่เป็นรุ่นฉลองครบรอบ 55 ปีในการกำเนิดรถรุ่นนี้ออกมาสู่สายตาชาวโลก
แน่นอนครับว่าก่อนออกเดินทางไปรีวิวกัน เราก็ต้องมาทำความรู้จักข้อมูลรถสปอร์ตคันนี้เสียก่อน โดย Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition แน่นอนว่าจะแพคมากับเครื่องยนต์แบบ N/A ก็คือเบนซิน 5.0 ลิตร V8 Ti-VCT ที่ให้กำลังได้สูงสุดถึง 449 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 529 นิวตันเมตร กำลังได้น้อยกว่าในรุ่นปกติ ที่ 460 แรงม้า แรงบิด 556 นิวตันเมตร ซึ่งอันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมทางฟอร์ดถึงได้ปรับจูนเครื่องยนต์ให้มีกำลังเครื่องยนต์ลดลง ทั้งที่รุ่นพิเศษโดยทั่วไป ถ้าไม่มีกำลังเครื่องยนต์ที่แรงขึ้น แต่อย่างน้อยก็ต้องมีพละกำลังเท่าเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังคงใส่เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะมาให้เช่นเคย
มิติตัวรถของ Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition นั้น ก็เท่ากันทุกประการกับรุ่น 2.3 นั่นคือ 4,784 x 2,080 x 1,381 มม. (ยาว x กว้าง x สูง) ช่วงล่างด้านหน้าเลือกใช้แบบแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมลูกหมากคู่ โดยข้อต่อลูกหมากคู่นั้น มีการติดตั้งให้ต่ำลงกว่ารถทั่วไป เพื่อรองรับการเบรกอย่างรุนแรง ลดการเอียงขององศาล้อให้เหลือน้อยที่สุด แล้วยังเสริมด้วยเหล็กกันโคลงด้านหน้า ป้องกันการบิดตัวของโครงสร้าง ลดการเสียการทรงตัวเมื่อยามเข้าโค้ง ส่วนด้านหลังใช้แบบอิสระ อินทิกรัลลิงค์พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ปีกนกตัวล่างนั้นผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมแบบ H-Arm มีการยึดด้วยลิงค์แนวตั้ง, ลิงค์มุมแคมเบอร์ด้านบน และลิงค์มุมโทด้านล่าง, สปริง, โช๊ค และบู๊ชรับแรงต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความนุ่มสบายแต่ยังมีการเกาะถนนได้อย่างดีในช่วงความเร็วสูง ส่วนชุดดุมล้อนั้น ทำจากอลูมิเนียม เพื่อช่วยลดน้ำหนักของตัวรถ ส่วนเฟืองท้ายนั้น มีระบบ Limited Slip ที่ทำงานแบบอัตโนมัติ ตรวจจับการหมุนทั้ง 4 ล้ออยู่ตลอดเวลา โดยจะมีการส่งกำลังไปยังล้อที่มีการยึดเกาะกับถนนสูงสุด เช่น เมื่อเราเข้าโค้ง ซ้าย ล้อที่อยู่ด้านขวาจะมีแรงกดมากกว่าล้อที่อยู่ข้างซ้าย ระบบนี้จะทำการส่งกำลังไปที่ล้อด้านขวามากกว่าด้านซ้าย และคอยประคองการหมุนของล้อมให้เหมาะสมกับการหมุนของพวงมาลัย ซึ่งจะทำให้ตัวรถสามารถขับผ่านโค้งไปได้อย่างง่ายดาย
ส่วนการออกแบบตัวรถ Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition นั้น ก็ยังคงเป็นสไตล์ Muscle Car ที่ทำให้ด้านหน้าที่เป็นส่วนฝากระโปรงมีขนาดใหญ่ แต่ด้านท้ายรถสั้น เพราะเน้นเอาไว้ใส่เครื่องยนต์ขนาดยักษ์เข้าไป ไม่ได้เน้นการขนของ (แต่ช่องในฝากระโปรงหลังก็ไม่ได้เล็กนะ) ฝากระโปรงหน้าโค้งคล้ายหลังเต่า ช่องกระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมตราม้าป่าวิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ที่ใครเห็นแล้วต้องมอง ไฟหน้านั้นเป็นแบบ LED มี Daytime Running Light และไฟตัดหมอกที่เป็นแบบ LED เช่นกัน โดยที่ไฟ DRL จะเป็นลาย 3 ขีด เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Mustang เช่นเดียวกับไฟเบรกด้านท้าย ด้านหลังนั้น มีสปอยเลอร์ติดเอาไว้เพื่อเพิ่มความสวยงาม ท่อไอเสียมีมาทั้งหมด 4 ท่อ ซึ่งจุดนี้เป็นอีกจุดที่ดูได้ว่าต่างกับเครื่อง 2.3 อย่างไร เพราะรุ่นนั้นจะให้มาแค่ 2 ท่อ ในท่อนั้นจะมีฝาปิดที่เปิดได่ด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อเปลี่ยนเสียงให้ดังขึ้นได้นั่นเอง
ความต่างอีกอย่างของ Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition ก็คือตัวล้อและเบรกที่ให้มาดูดีกว่าตัว 2.3 นั่นคือด้านหน้าเป็นล้ออัลลอยขนาด 19"x9" และล้ออัลลอยคู่หลัง เป็นขนาด 19"x9.5" รัดมาด้วยยาง Michelin Pilot Sport 4S ขนาด 255/40ZR19 ที่ด้านหน้า และ 275/40ZR19 ที่ด้านหลัง ส่วนเบรกนั้นต้องบึ้มกว่าแน่นอน เพราะกำลังเยอะกว่ามาก ด้านหน้าเลยใส่มาเป็น Brembo 6 สูบ เส้นผ่าศูนย์กลาง 36 มม. พร้อมจานเบรก 380 x 34 มม. แต่ด้านหลังใช้เท่ากันกับขนาด 330x25 มม. และตัวคาลิปเปอร์ขนาด 45 มม. 1 ลูกสูบ
สำหรับตัวห้องโดยสาร Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition ทำมาเพื่อให้คนขับขี่รู้สึกสบาย เลยอัดเอาอุปกรณ์หลากหลายมายัดใส่อย่างเต็มที่ ทั้งเบาะหนัง Recaro สไตล์สปอร์ต ในคู่หน้าแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง แต่ตัวพนักพิงยังคงต้องปรับด้วยคันโยกมือปกติ เพราะต้องรองรับการใช้งานเข้าออกเบาะแถว 2 ให้รวดเร็วมากขึ้นนั่นเอง (ใช้บ่อยแบบไฟฟ้า อาจจะพังง่ายกว่านะ) พวงมาลัยเป็นทรงกลม หุ้มด้วยหนัง มีตราม้าป่าอยู่ตรงกลางจุดที่เป็นแตร มีปุ่ม Multi-Function ควบคุมอุปกรณ์ภายในตัวรถ ส่วนแอร์เป็นแบบอัตโนมัติ แยกอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา มีหน้าปัดดิจิตอล 100% ขนาดใหญ่ 12.4 นิ้ว สามารถปรับเปลี่ยนการวาง หรือการแสดงสถานะของตัวรถได้อย่างใจเราต้องการเลย อย่างเช่น ถ้าอยากให้แสดงเฉพาะความเร็ว, อุณหภูมิน้ำ, อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง ก็สามารถปรับเปลี่ยนเองได้เลย แถมยังปรับสีได้อีกด้วย ส่วนหน้าจอ Infotainment นั้นเป็นขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่อแบบ Sync3 ระบบที่ทางฟอร์ดภูมิใจนำเสนอ มีรองรับให้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto และระบบนำทาง Navigator ส่วนกุญแจนั้น ใช้แบบ Keyless Entry และปุ่ม Push Start เรียกได้ว่า ฟอร์ดมีเทคโนโลยีอะไรบ้าง ก็จัดใส่มาให้หมด และเครื่องเสียงก็จัดเต็มด้วยเครื่องเสียง Bang & Olufsen กําลังขับ 1,000 วัตต์ ลําโพง 12 ตําแหน่ง พร้อมซับวูฟเฟอร์และแอมพลิไฟเออร์ ไพเราะเสนาะหูมาก แถมมีเสียงท่อดังกระหึ่มเป็น Background แบบนี้จะไม่ให้รื่นรมย์ในการขับขี่ได้อย่างไร
ส่วนเรื่องระบบความปลอดภัยใน Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition นั้นเพียบ โดยเฉพาะเรื่องถุงลมนิรภัย มีมาให้มากถึง 8 จุด คือด้านหน้า 2 ใบ, ถุงลมนิรภัยด้านข้างอีก 2 ใบ, ม่านด้านข้างอีก 2 ใบ, ที่หัวเข่าคนขับอีก 1 ใบ และอีกใบที่เหลือ จะอยู่ตรงหัวเข่าคนนั่ง แต่มันจะไม่ระเบิดมารองเหมือนกับฝั่งคนขับ แต่มันจะติดอยู่กับฝาช่องเก็บของ ที่มันจะเด้งออกมานิดเดียวออกมาพร้อมกับตัวฝา แต่มันจะไม่มากระแทกที่หัวเข่าคนนั่ง เหตุผลเนื่องจากว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วจุดนี้ไม่มีถุงลมนิรภัย ขาของคนนั่งอาจจะไปกระแทกฝาช่องเก็บของที่แข้ง ๆ ได้ จนอาจจะทำให้บาดเจ็บรุนแรง แต่ถุงลมนิรภัยจุดที่ 8 จะพุ่งออกมาคล้ายเป็น Bumper เมื่อขาคนนั่งไปกระแทก ตัวฝาก็จะยุบลงไปได้ ทำให้ลดอาการบาดเจ็บได้อย่างดี ส่วนระบบความปลอดภัยอื่น ๆ ก็จะมีทั้ง
- ระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน อัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB)
- ระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection)
- ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control)
- ระบบแจ้งเตือนระยะห่าง (Distance Alert)
- ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกนอกช่องทาง และช่วยหักพวงมาลัยเล็กน้อยเพื่อนำรถกลับเข้าสู่ช่องทาง (Lane Keeping System)
- ระบบควบคุมการทรงตัว ESP, TC และ HLA
- กล้องมองหลังขณะถอยจอด
- สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหลัง
- ระบบเปิดปิดไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam)
จบเรื่องข้อมูลรถไปแล้ว เรามาเริ่มขับกันเลยดีกว่าครับ ซึ่งแน่นอนว่า เกือบทุกอย่างใน Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition มันก็เหมือนกับ Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ที่เคยรีวิวไปแล้วแบบเด๊ะ ๆ เมื่อก้าวเข้าสู่ตัวรถ ท่านั่งมันอยู่แนบพื้นมากเลยครับ แต่มันก็เป็นเอกลักษณ์ของรถทรงสปอร์ตคูเป้อยู่แล้ว เบาะรอบนี้ใส่มาเป็นของ Recaro ที่มีความสปอร์ตมากกว่าเดิม ทำให้รู้สึกถึงความกระชับได้มากกว่าเดิมอีก นั่งแลวสัมผัสได้ถึงไอปีศาจของความสปอร์ต ขานั้นมีลักษณะการวางที่เหยียดไปข้างหน้ามากกว่าปกติเล็กน้อย ท่านั่งขับเลยออกไปแนวนอนกว่าทรงอื่น ส่วนการจัดวางคอนโซลกลางที่คั่นระหว่างคนขับกับคนนั่งด้านข้าง สำหรับผมแล้วถือว่าจัดวางได้ดีเลย สามารถเอาเป็นที่วางเท้าแขนได้สบายมาก เบาะนั่งด้านหลังนั้น ออกแบบให้เป็นหลุมนั่งได้ 2 คนถ้วน มีที่เหลือวางขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งถ้าเจอคนขายาวเซ็ตเบาะขับรถ คนนั่งหลังเบาะคนขับแทบจะนั่งไม่ได้เลย หรือนั่งได้ก็คงอึดอัดมาก และด้วยหลังคาโค้งลาดมาด้านหลังของมัน ทำให้เพดานอยู่ในตำแหน่งที่เตี้ย แค่พอนั่งได้นะ แต่ถ้าให้ผมนั่งนาน ๆ ก็คงอึดอัดน่าดู ส่วนเบาะพนักพิงด้านหลังพับได้ ให้เข้าสู่ห้องท้ายกระโปรงได้เลย
จุดเด่นสุดที่โคตรดีงามสำหรับการขับรถ Muscle Car อย่าง Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition คันนี้คือเรื่องเครื่องยนต์แบบ N/A V8 ที่ให้กำลัง 449 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 529 นิวตันเมตร แรงแบบดิบ ๆ ไม่มีระบบอัดอากาศ สิ่งที่ได้คือความดิบขั้นสุด ที่กดเท้าแล้วมาทั้งแรงดึงและเสียงอันดุดัน มันสุดเท่าที่เคยขับมา รวมทั้งมันยังสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ที่ไม่ใช่เครื่องสั่น (จะอธิบายยังไงให้เข้าใจได้ดีหว่า) สัมผัสได้ถึงพละกำลังที่พร้อมจะปลอดปล่อยอยู่ตลอดเวลา ทำให้ใจเราฮึกเหิมอยากจะกดเท้าให้คันเร่งมิดมากกว่าเดิม สนุกมากจริง ๆ
สิ่งที่ดีงามอีกอย่างบน Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition ก็คือ การที่มันสามารถเลือกเปลี่ยนเสียงได้ ถ้าอยากขับแบบเงียบ ๆ ไม่กวนใจใคร (เท่าไหร่ แต่ก็ยังดังอยู่แบบคำรามในคอ) ใช้วิธีการปิดท่อตรงด้วยบานเปิด-ปิดไฟฟ้า แล้วให้เสียงไปผ่านหม้อกรองเพื่อให้เสียงเบาลงแทน แต่เมื่อไหร่อยากได้ความคำรามสะท้านปฐพี ก็เปลี่ยนได้เลย เสียงที่ออกมาจะส่งตรงแบบดิบสู่หูของเราทันที ไอ้ตอนปิดกระจกขับมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะการเก็บเสียงมันดีมาก แต่เปิดกระจกลงเมื่อไหร่ เสียงแน่น ๆ จากปลายท่อจะกระหึ่มสู่ห้องโดยสารทันที มันมาก ยิ่งขับเร็วยิ่งมัน ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่คนขับรถสไตล์นี้มักจะขับช้าไม่เป็น (ชอบขับรถช้าคงไม่ซื้อรุ่นนี้)
สิ่งที่ต้องทำใจในการขับรถสปอร์ต Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition นั่นคือเรื่องของความนุ่มนวลของช่วงล่าง เพราะคุณจะไม่มีทางหาความนุ่มนวลจากมันได้ แต่มันก็แลกมาซึ่งความนิ่งในการทรงตัวยามเข้าโค้งและการทำความเร็วสูง แน่นอนว่าการที่คุณเลือกใช้งานรถสปอร์ต Muscle Car สายพันธุ์ม้าป้า มันก็ต้องแลกมากับความตึงตังกันบ้าง แต่มันก็ไม่ได้แย่ประดุจขับรถกระบะหัวเดี่ยวนะ ผมว่ามันจะกระดอนประมาณรถกระบะ 4 ประตูประมาณนั้นครับ ดังนั้นถ้าใช้รถคันนี้ ถ้าขับระดับ 60-90 กม./ชม. มันก็จะกระดอนหน่อย แต่ถ้ายัดเกิน 100 ขึ้นไป รับรองว่าดีขึ้นแน่นอน ขนาดผมจัดระดับ 200 ยังนิ่งกริ๊บ แถมเสียงที่เข้าตัวรถยังน้อยด้วย การเก็บเสียงนี่ระดับเทพจริง ๆ ส่วนการควบคุมพวงมาลัยนั้น ก็คมตามสไตล์ของฟอร์ดอยู่แล้ว แถมยังประระดับความหนืดได้ 3 ระดับคือ Comfort - Normal - Sport ไล่จากเบาไปหาหนักอีกด้วย
ของชอบต่อมาบน Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition ก็คือเรื่องของระบบความปลอดภัย ที่ทำงานได้แม่นจริง โดยเฉพาะระบบระบบแจ้งเตือนเมื่อออกนอกช่องทาง และช่วยหักพวงมาลัยเล็กน้อยเพื่อนำรถกลับเข้าสู่ช่องทาง (Lane Keeping System) ที่เมื่อเผลอขับรถทับเส้นเมื่อไหร่ จะมีการสั่นเตือนที่พวงมาลัยแล้วพยายามดึงรถกลับมาให้อยู่ในเลน แต่ถ้ายังฝืนออกอีก จะมีเสียงเตือนขึ้นมาทันที แต่ระบบนี้จะไม่ทำงานทันทีเมื่อเราเปิดไฟเลี้ยว หรือขับไม่เกิน 60 กม./ชม.นะ ส่วนอีกระบบที่ทำงานได้เจ๋งไม่แพ้กัน คือระบบ Adaptive Cruise Control ที่ทำงานได้เนียนพอตัว เวลาเราเจอรถตัดเข้าช่องว่างข้างหน้าเรา มันก็ไม่เบรกพรวดพราด โดยจะทำการถอนคันเร่งก่อน แล้วดูก่อนว่ามันเข้าใกล้เกินไปหรือเปล่า ถ้าใกล้เกินก็จะเริ่มเบรกเบา ๆ ถ้ายังใกล้เข้ามากขึ้น ถึงจะเริ่มเบรกหนักขึ้น เวลารถออกจากด้านหน้าไปแล้ว รถก็ไม่ได้ถึงขนาดเฆี่ยนให้ถึงความเร็วที่เราตั้งให้เร็วที่สุด แต่จะกดเหมือนเราขับรถปกติ เอาเป็นว่าใช้แล้วไม่เวียนหัวแน่นอน เสียดายอย่างเดียวที่ระบบนี้ไม่ทำงานจนถึงรถอยุด จะตัดการทำงานที่ประมาณ 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง เอาจริงนะ นาทีนี้ควรจะมีระบบ Stop/Go ได้แล้วนะฟอร์ด
Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition มีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้งานถึง 5 โหมด เหมือนกับรุ่น 2.3 เลย ทั้ง
- Normal สำหรับการขับขี่ทั่วไป ระบบความปลอดภัยจะเปิดทั้งหมด เครื่องยนต์จะเน้นประหยัด และพวงมาลัยจะปรับให้เบามากกว่าปกติ
- Sport+ ทำหรับเพิ่มความมันในการขับขี่ โดยจะมีการปรับเครื่องยนต์ให้ตอบสนองได้เร็วขึ้น, เกียร์ทำงานได้ไวขึ้น และพวงมาลัยจะถูกปรับให้มีความหนืดมากกว่าเดิม
- Snow/Wet เป็นโหมดสำหรับการใช้งานบนทางที่ลื่น เครื่องยนต์จะลดการทำงานในช่วงอออกตัวให้น้อยลง, เกียร์จะข้ามไปออกตัวที่เกียร์ 2 ลดการหมุนฟรีของล้อ
- Track สำหรับการขับในสนามโดยเฉพาะ เครื่องยนต์จะส่งกำลังเต็มที่ เกียร์จะมีการลากรอบมากกว่าเดิม และที่สำคัญคือ ระบบความปลอดภัยทั้งหมดจะตัดการทำงาน (ยกเว้นถุงลมนิรภัยนะจ๊ะ) เรียกได้ว่า ปล่อยให้คนขับสามารถควบคุมรถได้อย่างเต็มที่
- Drag Strip เป็นโหมดสำหรับการขับ Drag หรือที่เราเรียกกันบ่อย ๆ ว่า Quarter Mile นั่นเอง ระบบจะจัดการปล่อยพลังของเครื่องยนต์ออกมาอย่างเต็มที่ และเร่งการทำงานของเกียร์ให้เร็วมากขึ้น
แต่โหมดที่อยากจะพูดถึงที่สุดก็คงเป็น Sport+ ที่บอกเลยว่าเมื่อมาใช้งานบนเครื่อง 5.0 ลิตร V8 นี่คือความสุดของความมัน แตะเมื่อไหร่เป็นมา แถมด้วยเสียงคำรามของกระบอกสูบ 8 ลูกที่ชักขึ้น-ลงสลับกันไปมา สร้างความสั่นสะเทือนในรูหูเป็นอย่างมาก กระหึ่มประดุจติดเครื่องเสียงที่มี Sub-Woofer 8 ดอกพร้อมเปิดเพลงเฮวี่เมทัลดังกระหึ่ม มันสะใจคนขับเป็นอย่างยิ่ง เอาเป็นว่าอธิบายผ่านตัวอักษรคงไม่สามารถบอกความมันได้ อยากให้ได้ไปลองฟังกันเอง
สิ่งที่ยังขัดใจเสมอในการขับขี่ม้าคะนอง Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition ก็คือเรื่องของวงเลี้ยวที่กว้างเกินกว่ารถสปอร์ตทั่วไป กว้างเป็นรถกระบะเลย และการเปิดประตูก็ต้องให้มัน “กว้างงงงงง” มากถึงจะลงได้สะดวก เวลาจอดในห้างที่มีช่องจอดไม่ใหญ่มากนี่โคตรลำบาก นึกสภาพชายวัยกลางคนตัวใหญ่ใจเด็ดก้าวขึ้นลงรถแต่ละที เหนื่อยแท้ แต่ทำยังไงได้ ถ้าอยากเท่ก็ต้องยอม
เรามาดูเวลาในการทดสอบ 0-100 กันดีกว่า โดยการทดสอบ Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition รอบนี้ ผมจะใช้แอพ iBolid ที่ติดตั้งบน iPhone 11 เป็นตัวจับเวลา รอบแรกที่ทดสอบนั้น จะใช้งานเป็นโหมด Normal ในการออกตัว ได้เวลาดังนี้ครับ
- ครั้งที่ 1 - 5.29 วินาที
- ครั้งที่ 2 - 6.70 วินาที
- ครั้งที่ 3 - 5.54 วินาที
- เฉลี่ย - 5.84 วินาที
จะเห็นได้ว่ามีรอบนึงที่เวลาโด่งออกไปที่ 6.7 วินาที เลยทำให้ตัวเลขโดดเกินไปนิด เนื่องจากดูแล้วน่าจะมีความผิดพลาดในการบันทึกเพราะโทรศัพท์ดันล้มไปช่วงนั้นพอดี แต่ผมเองได้บันทึกเอาไว้ในคลิปที่ถ่ายทำช่วงนั้น ที่มีการใช้งานจับเวลาผ่านตัวรถด้วย ออกมาที่ 5.6 วินาที แต่เพื่อความเป็นธรรมต่อรถรุ่นอื่น ๆ ในการทดสอบ ก็ยึดเวลานี้ก็แล้วกันครับ
มารอบ 2 ผมใช้งานเป็นโหมด Drag Strip ที่เอาไว้ใช้งานสำหรับแข่ง ¼ ไมล์โดยเฉพาะ โดยได้ตัวเลขออกมาดังนี้ครับ
- ครั้งที่ 1 - 5.92 วินาที
- ครั้งที่ 2 - 5.65 วินาที
- ครั้งที่ 3 - 5.84 วินาที
- เฉลี่ย - 5.80 วินาที
เห็นตัวเลขแล้วบางคนอาจจะบอกว่า เฮ้ย ทำไมมันไม่ดีกว่าโหมด Normal ล่ะ ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า ตอนทดสอบผมทำการทดสอบบนถนนปกติ และไม่ได้มีการวอร์มยางแต่อย่างใด ดังนั้นช่วงที่กดคันเร่งไป ผมรู้สึกได้ถึงการปั่นฟรีทิ้งไปประมาณหนึ่ง เลยทำให้รถไม่สามารถสร้างอัตราเร่งได้ดีเท่าที่ควร นี่จึงเป็นที่มาของการใช้งาน Line Lock หรือการเบิร์นล้อหลังให้มีความร้อนเพิ่มขึ้น เมื่อยางมีความร้อน การออกตัวจะทำให้ยางนั้นเกาะถนนได้มากขึ้น เราจึงได้เห็นการเบิร์นยางก่อนการแข่งขันในสนาม Drag อยู่เสมอ เขาไม่ได้ทำเอาเท่นะครับ เขาทำเพื่อต้องการให้เวลาออกตัว ยางจะเกาะกับพื้นได้มากที่สุดนั่นเอง
รายละเอียดอื่น ๆ ผมคงไม่พูดต่อแล้ว ใครอยากดูรายละเอียดเพิ่มเติมมากกว่านี้ ลองย้อนไปอ่านได้ตอนทดสอบตัว 2.3 ที่ “Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Ford Mustang 2.3 EcoBoost Coupe Performance Pack หล่อ แรง มีเสน่ห์ เท่ห์ทุกเส้นทาง” เลยครับ รอบนี้เราขับ Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition มาว่ากันที่เรื่องอัตราการบริโภคน้ำมันเลยดีกว่าครับ รอบนี้ช่วงแรกจัดเป็นแบบใช้งานปกติตามเมืองแบบชีวิตประจำวัน ไปทำงาน ไปซื้อของ พาลูกไปเที่ยวตามห้าง (ช่วงนั้นยังโควิดเบาอยู่) ระยะทางรวมประมาณ 248 กิโลเมตร โดนไป 6.3 กิโลเมตร/ลิตร อยากจะร้องว่า “เชรดโด้” แต่เอาจริงก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าเจอระดับนี้แน่ ขนาดตัว 2.3 ลิตรยังโดนไป 10.7 กิโลเมตร/ลิตร ตัวนี้ใหญ่กว่าเท่าตัวแถมไร้โบ เครื่อง V8 อีกต่างหาก ระดับนี้ถือว่าโอเค (เติมน้ำมันไปร้องไห้ไป) แต่เอามาลองวิ่งทางไกลประมาณ 54 กิโลเมตร แบบวิ่งด้วยความเร็ว 80-120 กม./ชม. ออกมาแค่ 12.4 กิโลเมตร/ลิตรเอง ถือว่าใช้ได้เลยนะ ผมว่าตัวแปรสำคัญมันคือช่วงรถติดกับช่วงออกตัวนี่แหล่ะ เพราะช่วงรถติดนี่เห็นได้ชัดเลยนะว่าตัวเลขมันลดลงอย่างเพลิดเพลิน ยิ่งรถติด ยิ่งลดเยอะ เอาเป็นว่าถ้าอยากใช้งานคันนี้แบบประหยัด แนะนำให้ใช้งานวิ่งนอกเมืองจะเวิร์คครับ
สรุปการใช้งานกว่า 400 กิโลเมตร ในเวลา 5 วัน สรุปความชอบและไม่ชอบใน Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition ได้ตามนี้ครับ
ชอบ
- พละกำลังของเครื่อง กดเป็นมา โดยเฉพาะโหมด Sport+ ที่ขับแล้วมันสุดทรีน
- เสียงท่อกระหึ่มสะใจหู
- ระบบความปลอดภัยเพียบ ยิ่งขับยิ่งมั่นใจ ทำงานแม่นเป๊ะ.
- เก็บเสียงห้องโดยสารระดับเทพ
ไม่ชอบ
- วงเลี้ยวกว้างมากถึงมากที่สุด นี่รถสปอร์ตหรือรถกระบะ
- ขับช้าแล้วช่วงล่างสะเทือนมาก (ทำใจ)
- รุ่นพิเศษอะไร (วะ) ลดกำลังเครื่องลง
ถ้าให้พูดตามตรง ต้องบอกว่า Ford Mustang 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack Fifty Five Years Edition ไม่ใช่รถที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบ Everyday Life เพราะเวลาขับมันก็เหนื่อยเอาการ กับการต้องขับรถพลังสูงแบบนี้ แถมช่วงล่างก็แข็งอีกด้วย โดยเฉพาะคนวัยผมนี่ไม่น่าจะใช้งานได้ทุกวัน แต่มันคือรถที่เอาไว้ขับตอบสนองความดิบของตัวเองที่อยากจะปลดปล่อยพลังแฝงในตัวเองบ้าง เอาไว้กดเล่นมัน ๆ ฟังเสียงเครื่องกับท่อที่คำรามด้วยความกึกก้องกังวาลไกล สะใจทุกครั้งที่ได้ขับ ในราคาค่าตัว 4,899,000 บาท ถ้าถามว่าคุ้มไหม เอาเป็นว่าถ้าคุณจะซื้อรถคันนี้มาใช้เป็นคันเดียวของตัวเอง อย่าไปซื้อเลยครับ มันเกินความจำเป็น เอาไปซื้อ SUV หรู ๆ หรือ Sedan ขนาดใหญ่สักคันดีกว่า แต่ถ้ามันคือรถคันที่ 2-3-4-5 นี่คือรถที่จะตอบสนองเท้าด้วยความสะใจได้มากที่สุดแล้ว โดยเฉพาะพวกที่ต้องการความดิบ ถ้ามีตัง ซื้อเลยครับ ส่วนตัวผมว่ามันสะใจกว่าขับเครื่อง 2.3 Ecoboost เยอะเลย ถ้าไม่เชื่อต้องไปหาลองดูเอง แล้วจะร้อง “หูย” ตอนกดคันเร่งมิดแน่นอน
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com