Test Drive: รีวิว ทดลองขับ Ford Mustang 2.3 EcoBoost Coupe Performance Pack หล่อ แรง มีเสน่ห์ เท่ห์ทุกเส้นทาง
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 31 พ.ค. 62 00:00
- 17,561 อ่าน
รถยนต์สไตล์ Muscle Car สำหรับตลาดเมืองไทยอาจจะไม่ได้เป็นที่นิยมมากเท่าไหร่ แต่สำหรับชาวอเมริกันแล้ว รถสปอร์ต 2 ประตูเครื่องแรงอย่างนี้ เป็นเหมือน Iconic ของคนเมืองลุงแซมไปแล้ว เอาเป็นว่าถ้าเราเอ่ยมาว่า รถยนต์สไตล์อเมริกัน เกือบทุกคนก็ต้องบอกว่า เป็นรถทรง Muscle Car เกือบทั้งนั้น
แล้วถ้าถามว่า ไอ้รถ Muscle Car สไตล์อเมริกันเนี่ย มันคือรถแบบไหน จริง ๆ แล้วมันก็คือรถสปอร์ตทั่วไปตามตลาดโลกเนี่ยแหล่ะ แต่มันจะนำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ระดับ V8 และแรงด้วยพลังดิบ ไม่มีการอัดอากาศด้วย Turbocharged หรือ Supercharged ดังนั้นความจุของห้องจุดระเบิด มันจึงต้องมีขนาดใหญ่ระดับเกิน 4 ลิตรขึ้นไปทั้งนั้น เวลาวิ่งไปไหนทีก็ดังเสียงสนั่น มันสะใจผู้เป็นคนขับขี่อย่างเต็มที่
รถ Muscle Car นั้น ก็มีให้เลือกใช้งานหลายค่าย หลากรุ่น แต่ถ้าให้พูดถึงการเป็นที่นิยมมากที่สุดของชาวเมืองลุงแซม คงต้องยกให้เป็นของ Ford Mustang ที่เริ่มผลิตรุ่นแรกมาตั้งแต่ปี 1965 และได้รับความนิยมอย่างสูงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และปัจจุบันก็ยังคงเป็นสปอร์ตคูเป้ที่มียอดขายสูงสุดในโลกอยู่ดี ด้วยยอดขายได้ทั้งหมด 113,066 คันเมื่อปี 2018 ถือเป็นยอดขายมากที่สุดในรถกลุ่มนี้ 4 ปีต่อเนื่องกัน และมียอดสะสมรวมแล้วมากกว่า 10 ล้านคัน ในระยะเวลา 54 ปีที่ผ่านมา
สำหรับตลาดเมืองไทยนั้น คนที่ขับรถ Muscle Car คงยังเป็นกลุ่มเล็กอยู่ ด้วยความที่เป็นรถขนาดไม่ใหญ่ แต่เครื่องยนต์ใหญ่เกินตัวไปมาก กินน้ำมันเยอะ และค่าตัวก็ถือว่ายังคงอยู่ในระดับสูงอยู่ ในเมืองไทยจึงมีขับกันตามท้องถนนไม่ได้เยอะมาก การจำหน่ายเมื่อก่อนก็คือผ่านทางตัวแทน Grey Market เท่านั้น แต่ผมเองเชื่อว่า มันคือรถในฝันของชายหนุ่มน้อย-ใหญ่หลายคนแน่นอน
แต่ใครจะเชื่อว่า อยู่ดี ๆ วันหนึ่ง ก็มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ทางค่ายเจ้าของอย่าง ฟอร์ด ประเทศไทย เตรียมที่จะนำเข้า Ford Mustang เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ที่โต๊ะข่าวทีม AUTODEFT ยังมานั่งวิเคราะห์กันเองเลยว่า ราคาน่าจะโดดไปจาก Grey Market พอสมควร (ช่วงนั้นมีขายราคาตั้งแต่ 3 ล้านขึ้นไป) น่าจะอยู่ที่ 5 ล้านขึ้นไป จากค่าภาษีนำเข้าที่โดนค่าจัดเก็บมหาโหดแน่นอน จากความจุเครื่องยนต์ที่สูงมากเหลือเกิน แต่เมื่อวันที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ทำเอาตัวแทนนำเข้าสะอึกสะอื้นกันเป็นทิวแถว เพราะฟอร์ดดันตั้งราคาเริ่มต้นเอาไว้ที่เพียง 3,599,000 บาท เท่านั้นเอง แถมราคานี้ยังเป็นตัว Performance Pack อีกต่างหาก พ่วงด้วยการรับประกันแบบมีมาตรฐาน ทำเอาคนที่สั่งจองไปก่อนหน้านี้ แทบจะเผาใบจองทิ้งกันไปเลย
ย้อนไปช่วงปลายปีที่แล้ว ผมเองในฐานะทีมงาน AUTODEFT ก็ได้ร่วมในงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมกับขับทดลองทั้ง 2 รุ่น ทั้ง ฟอร์ด มัสแตง 5.0L V8 GT Coupe Performance Pack และ 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นจำนวนคันละ 1 รอบถ้วน ในสนามพีระเซอร์กิต แหม่ มันยังไม่สะใจเลย จึงหาโอกาสอันดีที่จะขอยืมทาง ฟอร์ด มอเตอร์ ประเทศไทย ที่จะลองเอามาขับในชีวิตประจำวันกันอีกครั้ง (ขอบคุณมากครับ)
รอบนี้ได้วาระโอกาสเอารถที่เป็นความฝันแสนยาวนานที่อยากได้ขับเล่นรอบเมืองสักครั้งเสียที โดยจะเริ่มต้นกันที่ Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack กันเสียก่อน เป็น 1 ใน 2 รุ่นที่ทางฟอร์ดนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ รูปร่างหน้าตาของทั้ง 2 รุ่น มันก็คล้ายกันแหล่ะครับ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกัน ก็คือเรื่องของด้านในล้วน ๆ เอาเป็นว่า เรามาค่อยทำความรู้จักกับรถสปอร์ตคูเป้ยอดนิยมกันดีกว่าครับ
Ford Mustang ที่ผลิตขึ้นมาตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีที่ผ่านมา ใช้โรงงานที่เมืองซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนีย เมืองเมทัชเชน รัฐนิวเจอร์ซีย์ และเมืองเดียร์บอร์น มิชิแกน เป็นโรงงานผลิตในช่วงแรก จากนั้นตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา ก็ได้ย้ายมาผลิตที่โรงงานแฟลตร็อค รัฐมิชิแกน เพียงที่เดียว ดังนั้นเจ้าม้าป่าคะนองยุคใหม่ จะคลอดออกมาจากที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เช่นเดียวกับ ฟอร์ด มัสแตง 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack คันนี้ที่ผมกำลังจะทดสอบ
เราเริ่มมาทำความรู้จักกับตัวรถกันก่อนดีกว่า (ขออนุญาตคัดลอกบางส่วนมาจาก Test drive: ทดลองขับม้าป่าคะนอง Ford Mustang ทั้งหล่อและแรง) โดย Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack นั้น ใช้เครื่องยนต์เบนซิน EcoBoost 2.3 ลิตร 4 สูบเรียง GTDI สามารถผลิตกำลังได้มากถึง 300 แรงม้าที่ 5,400 รอบ/นาที และแรงบิดมากถึง 440 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด มี Paddle Shift ที่พวงมาลัย มาถึงตรงนี้อาจจะมีคนสงสัยว่า อ้าว ไหนว่ารถ Muscle Car สไตล์อเมริกัน ต้องแรงแบบดิบ ไม่มีระบบอัดอากาศไง แล้วไหงตัวนี้มี EcoBoost ล่ะ ก็ต้องเข้าใจกันบ้างครับว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนไป อะไร ๆ ก็เปลี่ยนตาม เหมือนใจนาง (ฮิ้ว) กระแสเรื่องการใช้รถประหยัดน้ำมัน ก็ต้องแพร่หลายไปยังกลุ่มรถอเมริกันเช่นกัน ฟอร์ด จึงได้ตัดสินใจใส่เครื่องยนต์เล็ก เพิ่มระบบอัดอากาศเข้าไปด้วย เพื่อยังคงเป็นรถที่อยู่ในระดับ Performance Car ได้เช่นเดิม แต่ก็ยังคงเอาไว้ในเครื่องยนต์ความจุ 5.0 ลิตรเอาไว้เช่นเดิม เรียกกันง่าย ๆ ว่า ขยายตลาดลูกค้านั่นเอง ส่วนมิติรถนั้นเท่ากันทุกประการกับตัวเครื่องใหญ่ นั่นคือ 4,784 x 2,080 x 1,381 มม. (ยาว x กว้าง x สูง)
ตัวรถของ Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack เป็นรถในรูปแบบทรงสปอร์ต 2 ประตู รองรับผู้โดยสารได้ 4 คนนะ แต่ 2 ที่นั่งข้างหลังนี่อึดอัดอยู่ ยิ่งคนตัวใหญ่อย่างผมไปลองนั่งดูแล้ว ติดทั้งขา ทั้งหัวเลย เอาเป็นว่า มันเป็นรถที่ถูกออกแบบมาให้นั่ง (แบบสบาย) แค่ 2 คน เบาะหลังเอาไว้วางของแล้วกัฯ แต่ไม่ได้แปลว่ามันนั่งไม่ได้นะ แค่จะบอกว่ามันนั่งไม่ได้สบายเหมือนรถเก๋งทั่วไปเท่านั้นเอง ส่วนการออกแบบตัวรถนั้น ก็ยังคงเป็นสไตล์ Muscle Car ที่ทำให้ด้านหน้าที่เป็นส่วนฝากระโปรงมีขนาดใหญ่ แต่ด้านท้ายรถสั้น เพราะเน้นเอาไว้ใส่เครื่องยนต์ขนาดยักษ์เข้าไป ไม่ได้เน้นการขนของ (แต่ช่องในฝากระโปรงหลังก็ไม่ได้เล็กนะ) ฝากระโปรงหน้าโค้งคล้ายหลังเต่า ช่องกระจังหน้าขนาดใหญ่ พร้อมตราม้าป่าวิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ที่ใครเห็นแล้วต้องมอง ไฟหน้านั้นเป็นแบบ LED มี Daytime Running Light และไฟตัดหมอกที่เป็นแบบ LED เช่นกัน โดยที่ไฟ DRL จะเป็นลาย 3 ขีด เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Mustang เช่นเดียวกับไฟเบรกด้านท้าย ด้านหลังนั้น มีสปอยเลอร์ติดเอาไว้เพื่อเพิ่มความสวยงาม ท่อไอเสียมีมาทั้งหมด 2 ท่อ ตัวนี้แหล่ะที่จะทำให้เห็นว่าแตกต่างกันระหว่างเครื่อง 2.3 EcoBoost กับตัว 5.0 ลิตร เพราะตัวหลังนั้นให้มา 4 ท่อ ความดุดันของเสียงมันจึงแตกต่างกันไปพอตัว
ล้อที่ใส่มาใน Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack นั้น ด้านหน้าและด้านหลังเท่ากัน เป็นขนาด 19x9 นิ้ว มาพร้อมยาง Pirelli P Zero ขนาด 225/40 ZR19 เบรกหน้าใช้จานดิสก์เบรกขนาด 352x32 มม. คาลิปเปอร์ขนาด 46 มม. 4 ลูกสูบ ส่วนด้านหลังเป็นขนาด 330x25 มม. และตัวคาลิปเปอร์ขนาด 45 มม. 1 ลูกสูบ ช่วงล่างด้านหน้าใช้เป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมลูกหมากคู่ โดยข้อต่อลูกหมากคู่นั้น มีการติดตั้งให้ต่ำลงกว่ารถทั่วไป เพื่อรองรับการเบรกอย่างรุนแรง ลดการเอียงขององศาล้อให้เหลือน้อยที่สุด แล้วยังเสริมด้วยเหล็กกันโคลงด้านหน้า ป้องกันการบิดตัวของโครงสร้าง ลดการเสียการทรงตัวเมื่อยามเข้าโค้ง ส่วนด้านหลังใช้แบบอิสระ อินทิกรัลลิงค์พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ปีกนกตัวล่างนั้นผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมแบบ H-Arm มีการยึดด้วยลิงค์แนวตั้ง, ลิงค์มุมแคมเบอร์ด้านบน และลิงค์มุมโทด้านล่าง, สปริง, โช๊ค และบู๊ชรับแรงต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความนุ่มสบายแต่ยังมีการเกาะถนนได้อย่างดีในช่วงความเร็วสูง ส่วนชุดดุมล้อนั้น ทำจากอลูมิเนียม เพื่อช่วยลดน้ำหนักของตัวรถ ส่วนเฟืองท้ายนั้น มีระบบ Limited Slip ที่ทำงานแบบอัตโนมัติ ตรวจจับการหมุนทั้ง 4 ล้ออยู่ตลอดเวลา โดยจะมีการส่งกำลังไปยังล้อที่มีการยึดเกาะกับถนนสูงสุด เช่น เมื่อเราเข้าโค้ง ซ้าย ล้อที่อยู่ด้านขวาจะมีแรงกดมากกว่าล้อที่อยู่ข้างซ้าย ระบบนี้จะทำการส่งกำลังไปที่ล้อด้านขวามากกว่าด้านซ้าย และคอยประคองการหมุนของล้อมให้เหมาะสมกับการหมุนของพวงมาลัย ซึ่งจะทำให้ตัวรถสามารถขับผ่านโค้งไปได้อย่างง่ายดาย
สำหรับตัวห้องโดยสาร Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ทำมาเพื่อให้คนขับขี่รู้สึกสบาย เลยอัดเอาอุปกรณ์หลากหลายมายัดใส่อย่างเต็มที่ ทั้งเบาะหนังแบบ Bucket Seat ในคู่หน้าแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง แต่ตัวพนักพิงยังคงต้องปรับด้วยคันโยกมือปกติ เพราะต้องรองรับการใช้งานเข้าออกเบาะแถว 2 ให้รวดเร็วมากขึ้นนั่นเอง (ใช้บ่อยแบบไฟฟ้า อาจจะพังง่ายกว่านะ) พวงมาลัยเป็นทรงกลม หุ้มด้วยหนัง มีตราม้าป่าอยู่ตรงกลางจุดที่เป็นแตร มีปุ่ม Multi-Function ควบคุมอุปกรณ์ภายในตัวรถ ส่วนแอร์เป็นแบบอัตโนมัติ แยกอุณหภูมิอิสระซ้าย-ขวา มีหน้าปัดดิจิตอล 100% ขนาดใหญ่ 12.4 นิ้ว สามารถปรับเปลี่ยนการวาง หรือการแสดงสถานะของตัวรถได้อย่างใจเราต้องการเลย อย่างเช่น ถ้าอยากให้แสดงเฉพาะความเร็ว, อุณหภูมิน้ำ, อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง ก็สามารถปรับเปลี่ยนเองได้เลย แถมยังปรับสีได้อีกด้วย ส่วนหน้าจอ Infotainment นั้นเป็นขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่อแบบ Sync3 ระบบที่ทางฟอร์ดภูมิใจนำเสนอ มีรองรับให้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto และระบบนำทาง Navigator ส่วนกุญแจนั้น ใช้แบบ Keyless Entry และปุ่ม Push Start เรียกได้ว่า ฟอร์ดมีเทคโนโลยีอะไรบ้าง ก็จัดใส่มาให้หมด
ส่วนเรื่องระบบความปลอดภัยนั้น เพียบ โดยเฉพาะเรื่องถุงลมนิรภัย มีมาให้มากถึง 8 จุด คือด้านหน้า 2 ใบ, ถุงลมนิรภัยด้านข้างอีก 2 ใบ, ม่านด้านข้างอีก 2 ใบ, ที่หัวเข่าคนขับอีก 1 ใบ และอีกใบที่เหลือ จะอยู่ตรงหัวเข่าคนนั่ง แต่ มันจะไม่ระเบิดมารองเหมือนกับฝั่งคนขับ แต่มันจะติดอยู่กับฝาช่องเก็บของ ที่มันจะเด้งออกมานิดเดียวออกมาพร้อมกับตัวฝา แต่มันจะไม่มากระแทกที่หัวเข่าคนนั่ง เหตุผลเนื่องจากว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วจุดนี้ไม่มีถุงลมนิรภัย ขาของคนนั่งอาจจะไปกระแทกฝาช่องเก็บของที่แข้ง ๆ ได้ จนอาจจะทำให้บาดเจ็บรุนแรง แต่ถุงลมนิรภัยจุดที่ 8 จะพุ่งออกมาคล้ายเป็น Bumper เมื่อขาคนนั่งไปกระแทก ตัวฝาก็จะยุบลงไปได้ ทำให้ลดอาการบาดเจ็บได้อย่างดี ส่วนระบบความปลอดภัยอื่น ๆ ก็จะมีทั้ง ระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist) ที่ผสานระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน อัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความรุนแรง และในบางกรณียังสามารถลดอัตราการชนยานพาหนะหรือคนเดินถนนจากด้านหน้ารถได้, ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) และระบบแจ้งเตือนระยะห่าง (Distance Alert) เป็นครั้งแรก ช่วยรักษาระยะห่างที่เหมาะสมจากรถคันหน้า, ระบบแจ้งเตือนเมื่อออกนอกช่องทาง และช่วยหักพวงมาลัยเล็กน้อยเพื่อนำรถกลับเข้าสู่ช่องทาง (Lane Keeping System), ระบบควบคุมการทรงตัว ESP, TC และ HLA
ข้อมูลของตัวรถ Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ก็มีครบถ้วนแล้ว เรามาเริ่มขับกันเลยดีกว่าครับ เมื่อก้าวเข้าสู่ตัวรถ ท่านั่งมันอยู่แนบพื้นมากเลยครับ แต่มันก็เป็นเอกลักษณ์ของรถทรงสปอร์ตคูเป้อยู่แล้ว แต่ที่ชอบก็คือเรื่องของเบาะครับ มันพอดีกับตัวผมมาก โอบได้พอดี มีโป่งเล็กน้อยเพื่อช่วยดันหลัง ขานั้นมีลักษณะการวางที่เหยียดไปข้างหน้ามากกว่าปกติเล็กน้อย ท่านั่งขับเลยออกไปแนวนอนกว่าทรงอื่น ส่วนการจัดวางคอนโซลกลางที่คั่นระหว่างคนขับกับคนนั่งด้านข้าง สำหรับผมแล้วถือว่าจัดวางได้ดีเลย สามารถเอาเป็นที่วางเท้าแขนได้สบายมาก เบาะนั่งด้านหลังนั้น ออกแบบให้เป็นหลุมนั่งได้ 2 คนถ้วน มีที่เหลือวางขาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งถ้าเจอคนขายาวเซ็ตเบาะขับรถ คนนั่งหลังเบาะคนขับแทบจะนั่งไม่ได้เลย หรือนั่งได้ก็คงอึดอัดมาก และด้วยหลังค้าโค้งลาดมาด้านหลังของมัน ทำให้เพดานอยู่ในตำแหน่งที่เตี้ย แค่พอนั่งได้นะ แต่ถ้าให้ผมนั่งนาน ๆ ก็คงอึดอัดน่าดู ส่วนเบาะพนักพิงด้านหลังพับได้ ให้เข้าสู่ห้องท้ายกระโปรงได้เลย ส่วนฝากระโปรงท้าย เปิดได้จากปุ่มที่อยู่ในตัวรถหรือบนกุญแจรีโมทเท่านั้น ที่ท้ายรถไม่มีปุ่มให้กดเปิด (หรือว่ามีแต่เราหาไม่เจอหว่า)
แผงควบคุมตรงกลาง ฟอร์ดจัดวางให้มีการใช้งานปุ่มเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น อย่างปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ก็จะมีแค่ปุ่มเปิด-ปิด, ปุ่มเสียง, ปุ่มเลื่อนสถานี, เลื่อนเพลง กับเลือกสื่อที่จะใช้เท่านั้น ส่วนแอร์ก็พวกปุ่มเปิด-ปิด, ลด-เพิ่มเสียงอะไรประมาณนี้ ถ้าต้องการปรับละเอียด ก็ต้องเข้าไปปรับในหน้าจอเอาเอง แต่สิ่งที่แตกต่างของ Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ก็คือ มีปุ่มเหมือนที่ใช้ในเครื่องบินหรือยานอวกาศที่เรามักจะเห็นกันในหนัง เป็นปุ่มที่ใช้งานด้วยการยกขึ้น เอาไว้ควบคุมโหมการขับขี่, น้ำหนักพวงมาลัย, ปิดระบบควบคุมการทรงตัว และสุดท้ายคือปุ่มไฟฉุกเฉิน ด้านข้างถัดมาก็เป็นปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยปุ่มเลือกโหมดการขับขี่กับน้ำหนักพวงมาลัยนั้น จะวนเป็น Loop ขึ้นด้านบนอย่างเดียว ไม่สามารถกดลดลงได้ เปลี่ยนเลยแล้วต้องยกเพื่อวนใหม่ อันนี้ไม่รู้ว่าทำไมฟอร์ดไม่ยอมให้วนกลับได้ก็ไม่รู้ และการแสดงผลก็ต้องดูที่หน้าปัดเท่านั้น ที่ปุ่มไม่ได้บอกอะไรไว้ แต่ก็ถือว่าเท่ห์แปลกไม่เหมือนใครดี
แวะมาที่โหมดการขับขี่หน่อย โดยใน Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack นั้น จะมีโหมดการขับขี่มาให้ทั้งหมด 5 โหมดคือ
- Normal สำหรับการขับขี่ทั่วไป ระบบความปลอดภัยจะเปิดทั้งหมด เครื่องยนต์จะเน้นประหยัด และพวงมาลัยจะปรับให้เบามากกว่าปกติ
- Sport+ ทำหรับเพิ่มความมันในการขับขี่ โดยจะมีการปรับเครื่องยนต์ให้ตอบสนองได้เร็วขึ้น, เกียร์ทำงานได้ไวขึ้น และพวงมาลัยจะถูกปรับให้มีความหนืดมากกว่าเดิม
- Snow/Wet เป็นโหมดสำหรับการใช้งานบนทางที่ลื่น เครื่องยนต์จะลดการทำงานในช่วงอออกตัวให้น้อยลง, เกียร์จะข้ามไปออกตัวที่เกียร์ 2 ลดการหมุนฟรีของล้อ
- Track สำหรับการขับในสนามโดยเฉพาะ เครื่องยนต์จะส่งกำลังเต็มที่ เกียร์จะมีการลากรอบมากกว่าเดิม และที่สำคัญคือ ระบบความปลอดภัยทั้งหมดจะตัดการทำงาน (ยกเว้นถุงลมนิรภัยนะจ๊ะ) เรียกได้ว่า ปล่อยให้คนขับสามารถควบคุมรถได้อย่างเต็มที่
- Drag Strip เป็นโหมดสำหรับการขับ Drag หรือที่เราเรียกกันบ่อย ๆ ว่า Quarter Mile นั่นเอง ระบบจะจัดการปล่อยพลังของเครื่องยนต์ออกมาอย่างเต็มที่ และเร่งการทำงานของเกียร์ให้เร็วมากขึ้น
ส่วนน้ำหนักของพวงมาลัยนั้น จะเลือกได้ 3 โหมดคือ
- Comfort พวงมาลัยเบา เอาไว้ขับชิว ๆ ตามถนนทั่วไป
- Normal น้ำหนักความหนืดในระดับกลาง เหมาะกับการใช้งานทั่วไป แต่ดูจริงจังมากกว่าการขับชิว
- Sport เอาไว้ใช้งานช่วงที่จะกดเท้าเพื่อเร่งความเร็ว น้ำหนักของพวงมาลัยจะหนักมากที่สุด
แต่เอาเข้าจริงแล้ว หลังจากที่ได้ลองครบทั้ง 3 โหมด ในการขับทั่วไปแล้ว มันก็ไม่ได้ต่างอะไรมากจนเห็นกันได้ชัด ผมว่า เราก็ใช้มันไปตามที่ระบบตั้งไว้ให้เปลี่ยนไปตามโหมดการขับขี่ จะได้ไม่ต้องมาคอยยุ่งยากกับเปลืองสมองตัวเองคิดว่า จะใช้โหมดไหนดี มันไม่ได้มีผลอะไรมากขนาดนั้นหรอกครับ
ถึงแม้ว่า Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack จะกลายเป็น Muscle Car กลายพันธุ์ ที่ใส่เครื่องยนต์ขนาดเล็กพร้อมระบบอัดอากาศเข้าไป แต่พละกำลังระดับ 300 แรงม้า มันก็ไม่ได้น้อยเลยครับ พอขึ้นขับแล้วเผลอกดเท้าแรงไปหน่อย รถก็แทบจะพุ่งไปข้างหน้าแบบกระชากหงายหลังได้แล้ว โดยเริ่มต้นช่วงแรกที่ผมเอาออกมาจากโกดังของฟอร์ด ก็ใช้โหมด Normal ตามที่รถ Set เอาไว้เป็น Default ของตัวรถเลย ช่วงกลับรถก็กดคันเร่งเพื่อหนีรถที่กำลังวิ่งตามาด้านหลัง หูย รถมันพุ่งออกไปจนเกือบตกใจ อาจจะมีช่วงออกตัวที่เหมือนตัวรถจะดึงเราเอาไว้เล็กน้อย แล้วพอหมดช่วงนั้นเท่านั้นแหละ เหมือนม้ากระโดดออกมาจากกระโปรงหน้าหลายร้อยตัว แล้วลากรถออกไปด้านหน้าเลย และที่เห็นได้อีกอย่างคือ เกียร์ที่มีการแจ้งเอาไว้บนหน้าปัดว่าตอนนี้ใช้งานในเกียร์ไหนอยู่ มันกระโดดข้ามเลย จาก 1 ไป 3 ไป 6 ได้เลย ไม่ได้เรียง 1-2-3-4-5 ต้องนับถือการเขียนโปรแกรมควบคุมเกียร์จริง ๆ ทำให้การขับขี่ แทบจะหารอยต่อในแต่ละเกียร์ไม่เจอเลย มีอาการหน้ายกชวนเวียนหัวให้เห็นน้อยมาก นับถือเรื่องนี้จริง ๆ
แต่ถ้าใครได้มาลองขับ, ลองนั่งบน Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack แล้ว อาจจะมีการบ่นเรื่องช่วงล่างกันบ้าง เพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้นั่งกันอย่างนุ่มนวล มันถูกออกแบบมาให้เกาะถนนมากที่สุด ดังนั้นระหว่างการขับขี่ไปนั้น เราแทบจะรู้สึกถึงทุกความขรุขระที่อยู่บนผิวถนนเลย มันไม่ได้แย่แบบการนั่งรถกระบะตอนเดียวแหนบแข็งนะ แต่มันก็ดีไม่เท่ากับพวกรถเก๋งทั่วไป เจอพวกเส้นสะดุด มันก็ทำเอาสะเทือนไส้ได้อยู่ประมาณหนึ่ง แต่มันแลกมากับรถที่มีการทรงตัวเกาะถนนอย่างดี เพราะทุกช่องที่มุดเข้าไปตามช่องช่วงรถพอจะวิ่งได้ รถสามารถหันไปตามมือที่หมุนพวงมาลัยเลย อาการเป๋เมื่อเบี่ยงเลนแล้วกลับเข้ามาใหม่ จับผิดแล้วยังแทบจะไม่เจอ นอกจากรูปทรงรถที่จัดให้อยู่เรียบกับพื้นถนนแล้ว ช่วงล่างที่ฟอร์ดเซ็ตมาให้อย่างดี ก็ทำให้การทรงตัวนั้น ทำได้ดีอย่างมากเมื่อใช้งานในถนนที่รถเยอะ แ้วเราต้องการมุดเข้าช่องต่าง ๆ ด้วยความรวดเร็ว
และเมื่อเข้าถึงเส้นทางที่รถน้อยลง และถนนก็กว้างขวางพอที่จะประลองกำลังเครื่องยนต์ได้บ้างแล้ว ก้ปรับเปลี่ยนโหมดเข้าสู่ความมันด้วยการเปลี่ยนเป็น Sport+ พร้อมปรับเกียร์เข้าสู่โหมด S เท่านั้นแหละครับ เครื่องยนต์เหมือนกับไม่ได้ออกสู่แสงสว่างมาเป็นเวลานาน รอบเครื่องเร่งไปรอเท้าเราเยียบแป้นคันเร่งทันที เพียงเราแตะย่ำลงไปเท่านั้น เครื่องยนต์ระดับ 300 แรงม้าก้คำรามพร้อมพาตัวรถทะยานพุ่งออกไปแบบไม่ต้องเกรงใจใคร (รวมทั้งน้ำมันในถังด้วย) เผลอดพรวดเดียวรถก็ได้ไปถึงระดับ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้อย่างสบายใจ จริง ๆ รถยังขึ้นได้อีกนะ แต่ด้วยความปลอดภัยของทั้งตัวเองและผู้อื่น เอาเป็นว่ายืนในระดับนี้ก็พอจะเห็นกำลังเครื่องยนต์แล้วว่ามันเจ๋งขนาดไหน และสิ่งที่รักมากในการขับขี่ในความเร็วขนาดนี้ ก็คือความนิ่งของตัวรถ ที่ไม่ได้ปลิวไหวไปกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นเลย คุณเคยขับรถของคุณที่ความเร็วประมาณ 100-1200 กิโลเมตร/ชั่วโมงแล้วตัวรถนิ่งแบบไหน ตอนผมซัด Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ในระดับเกือบ 200 มันก็นิ่งไม่ต่างกันมาก แถมระบบการเก็บเสียงนั้นทำได้ดีมาก ผมยังสามารถคุยกับคนที่นั่งมาด้านข้างได้โดยไม่ต้องเร่งเสียงตัวเองขึ้นแต่อย่างใด แสดงว่าการออกแบบ Aerodynamic ในตัวนี้ สามารถรีดลมให้ผ่านจากด้านหน้า ไหลออกด้านหลังได้ดีมาก ลมปะทะตัวรถแล้วสร้างเสียงรำคาญนั้นมีไม่มากเลย เจอแบบนี้เข้าไป ก็พอเข้าใจแล้วว่า คนที่ขับรถแบบ Muscle Car หรือ Sport Coupe ทำไมถึงได้ดูชิวจังในการขับด้วยความเร็วขนาดนี้
หลังจากลองการขับขี่ในถนนแบบทั่วไปแล้ว คราวนี้เรามาลองกันดูกับการออกตัวกันบ้าง ว่าจะทำ 0-100 ได้ดีขนาดไหน โดยใน Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack นั้น จะมีแอพที่เราสามารถใช้งานจับเวลาการออกตัวได้ จะเลือกแบบ 0-60, 0-100 ก็ได้ เพียงแค่กดปุ่มรูปม้าที่อยู่บนพวงมาลัย (ไม่ใช่แตรนะ) ที่หน้าปัดก็จะมีโหมดให้เรามาเลือก เราก็เลือกเข้าไปที่แอพจับเวลา จากนั้นก็กดเริ่มใช้งานซะ โดยผมทดสอบทั้งหมด 3 รอบ ใช้งานโหมด Drag Strip แล้วโหมดเกียร์เป็น S ได้ผลทดสอบมาเป็น 7.8, 7.9 และ 7.5 ตามลำดับ ถือว่าเป็นรถที่มีอัตราเร่งดีมากครับ และจากการสังเกตุดูจากการเปลี่ยนเกียร์ รถมีการลากรอบใช้งานแต่ละเกียร์เต็มที่ ไล่ทีละเกียร์เพื่อให้รถพุ่งออกไปได้เร็วมากที่สุด จนมีอาการยกหน้าช่วงเปลี่ยนเกียร์ให้เห็นตลอด ช่วงที่ปั่นความเร็วไปถึง 100 แล้ว เหลือบไปมองที่เกียร์ยังใช้แค่เพียงเกียร์ 5-6 เท่านั้นเอง ถึงมันจะห่างจากตัว 5.0 ลิตร ที่มีการเคลมเอาไว้ที่ประมาณ 4.3 วินาที แต่ผมว่า เท่านี้ก็มันแล้วล่ะ
ทดสอบตัว Performance กันไปแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงอยากรู้แล้วว่า อัตราการซัดน้ำมันของ ฟอร์ด มัสแตง 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack นั้น จะโหดขนาดไหน งวดนี้ผมแบ่งอัตราการกิจน้ำมันเอาไว้ 3 รูปแบบคือ
โหมดรถติด+กดแบบโหดหลายรอบ ว่างไม่ได้เป็นกดคันเร่งหนัก ระยะทางรวมประมาณ 100 กิโลเมตร ทำอัตราการกินน้ำมันเอาไว้ที่ 7.1 กิโลเมตร/ลิตร
โหมดใช้งานปกติทั่วไป ใช้คันเร่งเหมือนขับรถใช้งานในชีวิตประจำวัน มีรถติดบ้างสลับวิ่งได้ในเมือง ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร อัตราการบริโภคอยู่ที่ 10.7 กิโลเมตร/ลิตร
โหมด Eco Run เอาแบบเบาเท้าสุด วิ่งโคตรสุภาพ เสียงคำรามแทบไม่ได้ยิน วิ่งอยู่ประมาณ 20 กิโลเมตร ได้ออกมาที่ 12.6 กิโลเมตร/ลิตร
ถามว่า กินเยอะไหม ถ้าแลกกับความแรงที่รถให้มา ผมว่าไม่เท่าไหร่ครับ เพราะถ้าขับแบบปกติทั่วไป สามารถแตะ 10 กิโลเมตร/ลิตรได้ ถือว่าโอเคเลยครับ แต่การมีรถระดับนี้ใช้งาน เขาไม่คุยกันเรื่องอัตราการกินน้ำมันหรอก ใครได้ลองแตะคันเร่งดูสักครั้ง คุณก็ไม่อยากวิ่งแบบเรื่อยไปหรอก ใจมันอยากจะพุ่งไปข้างหน้าตลอดเวลา
มีอยู่เรื่องหนึงที่รู้สึกว่า มันไม่ค่อยจะโอเคเท่าไหร่ คือเรื่องของวงเลี้ยวที่มันกว้างมาก ๆ ชนิดที่กว้างประดุจตัวเองเป็นรถกระบะเลยทีเดียว ครั้งแรกที่จะขับตรง U-Turn ทำเอาตกใจเล็กน้อย เพราะหมุนสุดแล้ว กลับรถเกือบไม่พ้น 2 เลน ดีว่าตีวงเผื่อเอาไว้แล้ว ไม่งั้นต้องถอยอีก อายเขา อีกเรื่องที่ยังไม่สุด ก็คือเสียงท่อ ที่มันออกจากดูสุภาพนิ่มนวลไปเกินหน้าตา ด้วยเครื่องที่เป็นบล๊อกเล็กด้วยแหล่ะ มันเลยทำให้ไม่สามารถสร้างความกระหึ่มสะใจให้คนอย่างผมได้ แต่ถ้าเทียบกับรถทั่วไป มันก็เสียงเพราะอยู่แหล่ะ แต่ขาดความสะใจเท่านั้นเอง
Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack มันคือม้าป่าคะนอง ที่ถึงแม้จะถูกเจ้าของกำราบด้วยการผูกบังเหียนเอาไว้อยู่ ถึงแม้จะพยายามเอามันให้กลายเป็นม้าวิ่งในลานอย่างสวยงาม แต่ทุกครั้งที่คุณกระตุกบังเหียน มันก็จะคอยทะทะยานพุ่งไปข้างหน้าตลอด ต้องคอยดึงไว้ไม่ให้คึกเกิน แต่เมื่อไหร่ที่คุณฟาดบังเหียนไปเต็มที่ เจ้าม้าป่าคะนองตัวนี้เหมือนได้ปลดปล่อย กระโจนออกไปแบบไม่ใยดีอะไร กำลังมีอยู่เท่าไหร่ ปล่อยออกมาหมด สร้างความมันให้กับคาวบอยอย่างเราแน่นอน
Ford Mustang 2.3L EcoBoost Coupe Performance Pack ทางฟอร์ด มอเตอร์ ประเทศไทย ตั้งราคาเอาไว้ที่ 3,599,000 บาท ที่มาพร้อมแพ็กเก็จ ฟอร์ด พรีเมี่ยม แคร์ ที่มาพร้อมการรับประกันคุณภาพรถนานสูงสุดถึง 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมบริการฟรีค่าแรงและค่าอะไหล่ในการตรวจเช็คตามระยะ 5 ครั้ง ยาวนานถึง 60 เดือน หรือ 75,000 กิโลเมตร อีกทั้งบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 ปี เป็นราคาที่ทำเอาค่ายนำเข้าอิสระน้ำตาร่วงไปตาม ๆ กัน เพราะราคานี้ถูกกว่าบางเจ้าที่นำเข้ามาด้วยซ้ำ งานนี้ ฟอร์ด เลยต้องตกเป็นเป้าจากค่าย Grey Market ไปในทันที ถ้าถามผมว่า คุ้มไหมที่จะซื้อ ผมบอกเลยว่าถ้ามีอัฐมากพอ จัดเลยครับ นอกจากคุณจะได้รถที่มันโคตรหล่อ ขับไปไหนมีแต่คนมองแล้วร้องว่า “เฮ้ย มัสแตงว่ะ” ได้กำลังเครื่องยนต์ที่ขับมันเท้า คุณยังได้ความความเหนือระดับ ต่างจากรถทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อใดก็ตามที่คุณขับรถเข้าไปในห้าง พวกคุณพี่ รปภ. จะมองคุณเป็นคนอีกเกรดหนึ่งทันที จะรีบจัดหาที่จอดรถให้ ดูแลโบกให้อย่างดี มีที่จอดแบบพิเศษให้ บางห้างสามารถจอดรถ Super Car ได้เลย (ยกเว้น Central พระราม 2 ที่ให้จอดได้แต่ตัว 5.0 ลิตร เพราะยามดูเป็น ฮ่า) ลงจากรถนี่แทบจะอุ้มเข้าห้าง และยังมีคนมาแอบถ่ายรูปคู่กับรถอีกต่างหาก แต่ก็อาจจะเป็นได้ที่รถที่ทำการทดสอบครั้งนี้ เป็นรถสีดำแต่ถูกแต่งคาดแถบสีแดงไปด้วย มันเลยเพิ่มความหล่อขึ้นไปอีก 36.456% ดังนั้นถ้ามีตัง ก็ซื้อไปเถอะครับ รถมันหย่อ รถมันแรง รถมันมีเสน่ห์จะตายไป เขื่อผมเถอะ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com