Deft Drive: ทดสอบรถยนต์ Toyota C-HR HV Hi จิ๋ว, แจ๋ว ประหยัดจริง
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 23 ก.พ. 61 00:00
- 87,428 อ่าน
มีกระแสการเฝ้ารอรถยนต์ Crossover ใหม่จากโตโยต้าอย่าง Toyota C-HR ของแฟนๆชาวไทยมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะมีการเปิดตัวจำหน่ายที่ต่างประเทศกันไปนานแล้ว แต่เมืองไทยนั้นมีแต่ข่าวหลุดมาว่าจะมา แต่ก็ไม่มีการเปิดตัวสักที จนล่าสุดที่งาน Motor Expo เมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ได้มีการนำตัวจริงออกมาให้ได้ยลโฉมกันสักที แต่ก็ยังเปิดให้ชมและแสดงความจำนงค์เพื่อจองเท่านั้น ยังไม่มีการวางจำหน่ายจริงแต่อย่างไร
บรรดาเพื่อนๆสื่อมวลชนสายยานยนต์ด้วยกัน ก็พูดคุยและคาดเดาไปต่างๆนาๆว่า สรุปแล้ว Toyota C-HR จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่นะ แต่ข้อสรุปที่ได้มาก็พูดตรงกันว่า ไม่น่าจะเกินกลางปีนี้แน่นอน แต่แล้ววันหนึ่งก็มีจดหมายเชิญมาจากทาง โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เทียบเชิญให้ทีมงานของ Autodeft ได้ไปร่วมทดสอบเจ้า Crossover ตัวนี้ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ท่ามกลางความงงๆของพวกเรานิดหน่อยว่า สรุปแล้วไม่มีงานเปิดตัวเหมือนรุ่นอื่นแล้วใช่มั้ย
เมื่อถึงกำหนดวันทดสอบ มีการนัดหมายกันที่ Toyota Driving Experience Park บนถนนบางนา-ตราด ทำให้รู้ว่าทริปการทดสอบวันนี้ จะเป็นตัวท็อป นั่นคือเครื่องยนต์ Hybrid ทั้งหมด และแน่นอนของการทดสอบทุกครั้ง ก่อนเดินทางพวกเราก็จะได้รับบรีฟในส่วนของข้อมูลตัวรถอย่างเป็นทางการของ Toyota C-HR คันนี้ก่อนครับ
Toyota C-HR คันนี้ ถือเป็นรถในขนาด Sub-Compact Crossover รุ่นที่เราทำการทดสอบวันนี้เป็นรุ่น HV Hi ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร รหัส 2ZR-FXE ให้กำลังที่ 98 แรงม้า แรงบิด 142 นิวตันเมตร รวมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 53 กิโลวัตต์ แรงบิด 163 นิวตันเมตร ทำให้ได้กำลังรวม 122 แรงม้า ตัวแบตเตอรี่ ใช้เป็นแบบ Nickel Metal Hydride (NiMH) สามารถเก็บประจุไฟฟ้า 6.5 แอมแปร์ 3 ชั่วโมง (เอกสารแจ้งแบบนี้) ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ E-CVT พร้อม Shift Lock ที่ทีมงานวิศวกรของโตโยต้าบอกว่า ตัวนี้มันเจ๋งและคูลกว่าตัวเดิมอย่างมาก (เดี๋ยวมาบอกอีกทีว่าเป็นยังไง)
Toyota C-HR นั้น มีการใช้โครงสร้างใหม่ของทางโตโยต้าที่เรียกว่า Toyota New Global Architecture หรือเรียกสั้นๆว่า TNGA ที่จะให้ความแข็งแกร่งแต่อ่อนโยนมากกว่าเดิม หมายถึงตัวเหล็กมีความแข็งแรง แต่วางจุดสูงถ่วงที่ต่ำกว่าเดิม ทำให้การเข้าโค้งต่างๆนั้นยึดเกาะถนนได้ดีมากกว่าเดิม และสามารถติดตั้งช่วงล่างด้านหลังแบบ Double Wishbone ที่ลดจุดยึดและจุดหมุนให้น้อยกว่าเดิม ช่วยให้ลดแรงสะเทือนได้ดีกว่าเดิม และมีความคงทนกว่าเดิม เหมาะกับถนนที่แสนจะผุพังทั่วทั้งประเทศได้อย่างดี เพิ่มการควบคุมตัวรถให้ดีกว่าเดิม และสามารถลดจุดมุมอับต่างๆไได้มากกว่าเดิมด้วย
ระบบความปลอดภัยนั้นก็เป็นอีกตัวที่ทางโตโยต้าภูมิใจนำเสนอมากๆ เพราะใน Toyota C-HR จัดเต็มมาแบบไม่เกรงใจใคร นอกจาก Airbag ที่มาเท่ากับ Yaris Ativ และ Yaris Hatchback ก็คือ 7 ลูกแล้ว ยังใส่ Function ความปลอดภัยระดับ Hi-end อย่าง ระบบความปลอดภัยก่อนการชน Pre-Collision System ที่จะทำการเตือน และเบรกรถให้ก่อนเบื้องต้นถ้ามีการตรวจจับได้ว่าจะมีการปะทะที่ด้านหน้า, ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ Dynamic Radar Cruise Control, ระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beams และระบบเตือนและดึงกลับเมื่อออกนอกเลน Lane Departure Alert with Steering Assist รวมทั้งระบบเตือนจุดบอดด้านข้าง ที่ปกติเราจะเห็นระบบพวกนี้ได้เฉพาะตัว Camry Hybrid ตัวล่าสุดเท่านั้น ก็ถือว่ามางวดนี้ ทางโตโยต้าเองก็เทหมดหน้าตักเหมือนกัน
อีกระบบที่เป็นตัวใหม่ ก็คือ TConnect Telematics เป็นระบบหน้าจอที่แอดแวนซ์ขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการเพิ่ม e-Sim เข้าไป (ระบบเครือข่ายของ AIS) เพื่อให้หน้าจอสามารถสื่อสารกับเราและ Operator Service ได้ โดยเจ้าหน้าที่จะทำการคอยรับเรื่องคล้ายเลขาส่วนตัว เช่นส่งพิกัดปลายทางมาให้, รับเรื่องฉุกเฉิน หรือแม้กระทั่งเตือนเมื่อถึงระยะเข้าศูนย์บริการ เพราะตัวระบบจะส่งข้อมูลจากตัวรถไป แล้วปลายทางจะรู้ได้ทันทีว่ารถคันนี้วิ่งไประยะทางเท่าไหร่แล้ว และถึงระยะเวลาที่ควรเข้าศูนย์บริการหรือยัง รวมทั้งยังสามารถปล่อย Wi-Fi Hotspot เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเชื่อมต่อเพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ด้วย โดยแพลนของซิมตัวนี้จะมีข้อมูล FUP ให้ 1 GB. ถ้าเกินกว่านี้ก็ปรับสปีดลง ใช้ได้ฟรี 1 ปีและ ปีต่อไปยังไม่ชัดเจนว่าจะเก็บเท่าไหร่ แต่คร่าวๆประมาณปีละ 1,500 - 2,500 บาท
ตัวสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือระบบ Hybrid ที่ทางโตโยต้าภูมิใจนำเสนอ ซึ่งระบบไฮบริดที่ใส่มานี้มีการปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมหลายอย่าง ทั้งตัวแบตเตอรี่ที่เป็นแบบ Nickel Metal Hydride (NiMH) ที่ทำการจัดวางสล็อตใหม่ให้เรียงตัวดีขึ้น เพื่อให้ลมสามารถเป่าระบายอากาศผ่านทุกเซลล์อย่างทั่วถึง, มีขนาดเล็กลง แต่เก็บประจะไฟได้ไม่ต่างจากเดิม, จัดวางตำแหน่งใหม่จากท้ายรถให้มาอยู่ใต้เบาะหลัง เพื่อรักษาอุณหภูมิไม่ให้ร้อนเกินไปและยังทำให้น้ำหนักไหลกลับมาอยู่กลางตัวรถมากขึ้น การเข้าโค้งก็จะเกิดอาการท้ายปัดได้ยากกว่าเดิม, ระบบระบายความร้อนในตัวแบตเตอรี่มีตัวกรองฝุ่น ทำให้ไม่มีฝุ่นเข้าไปอุดตามช่องระบายอากาศต่างๆ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะช่วยให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่นานขึ้นได้ด้วย และอีกจุดที่เปลี่ยนก็คือในส่วนของเกียร์ E-CVT ที่มีการจัดเรียงตัวมอเตอร์ปั่นไฟใหม่ จากเดิมที่ Motor-generator ตัว 1 และตัว 2 จะต่อเรียงยาว ในตัวนี้ก็จะมีการจัดวางใหม่ให้ย้ายมาวางข้างกันแทน ทำให้สามารถขยายตัวมอเตอร์ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้มีการปั่นไฟฟ้าเพื่อไปเก็บในตัวแบตเตอรี่ได้เร็วกว่าเดิม
การออกแบบภายนอกนั้น ต้องบอกว่างวดนี้ทำออกมาได้แหวกแนวกว่ารุ่นที่เคยออกมาก่อนหน้านี้ของโตโยต้า เพราะ Toyota C-HR นั้นเน้นการใช้ลายเส้นที่ชัดเจน ออกแบบได้ดูล้ำสมัยมากขึ้นกว่าเดิม ไฟหน้าของรุ่น HV Hi จะเป็นแบบ Full LED ที่สามารถปรับระดับไฟสูงได้อัตโนมัติ มีไฟ LED แบบ Light guiding เป็นไฟ DRL ไฟเลี้ยวด้านหน้าเฟี้ยวฟ้าวมาก เป็นแบบ LED Sequential ที่จะกระพริบจากด้านในไหลไปด้านนอก เสียดายที่มีเฉพาะแต่ข้างหน้า ข้างหลังเป็นกระพริบแบบปกติ ไม่งั้นละก็ สนุกแน่ ส่วนแผงไฟด้านท้ายเป็นแบบรมดำ LED เพิ่มความสวยงามได้มาก ล้อใช้ขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/60 R17 ส่วนลายแม็กซ์นั้น ความเห็นส่วนตัวคือไม่ชอบเท่าไหร่ รถมาล้ำขนาดนี้ ลายล้อแม็กซ์ก็น่าจะล้ำตามไปด้วยนะ
ภายในนั้น เบาะใช้เป็นเบาะหนัง 2 โทน ดำกับน้ำตาล คู่หน้านั้นเป็นทรงสปอร์ต ปรับดันหลังด้วยไฟฟ้า แต่ปรับอย่างอื่นดันเป็นแบบ Manual ซะนี่ เบาะหลังเป็นแบบพับได้ 60:40 แผงคอนโซลหน้าต้องบอกเลยว่ามีการจัดวางใหม่ ให้ทุกอย่างมารวมที่คนขับเป็นศูนย์กลางทั้งหมด อย่างหน้าจอ 7 นิ้วระบบสัมผัสก็หันมาทางคนขับอย่างชัดเจน แอร์อัตโนมัติแยกโซนซ้ายขวา มีระบบฟอกอากาศ Nanoe แท่นเกียร์อัตโนมัติเป็นทรงคล้ายเกียร์ธรรมดา มีปุ่มเบรกมือไฟฟ้า, ปุ่ม Auto Hold, ปุ่ม EV Mode และปุ่มเปิดปิด Traction Control อยู่ข้างแท่นเกียร์ เสียดายอยู่ตรงเดียวที่ จริงๆแล้ว C-HR สามารนเลือกโหมดการขับขี่เป็นแบบ Normal, Sport หรือ Eco ได้ แต่ดันไม่มีปุ่มาหใตรงนี้ ต้องเปิดเข้าไปเลือกในหน้าจอ MID ที่แผงหน้าปัดแทน ซึ่งกว่าจะเปลี่ยนโหมดได้ก็ต้องกดหลายทีอยู่ ไม่ทันใจวัยรุ่นอย่างเราสักเท่าไหร่ ถ้าสามารถเพิ่มปุ่มย้ายมาด้านข้างเกียร์ได้ก็คงจะดี
หลังจากได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นกันแล้ว ก็เริ่มออกเดินทางกันได้เลย โดยเส้นทางช่วงแรก พวกเราจะออกเดินทางไปยังถนนธนะรัชต์ เขาใหญ่ ระยะทางก็ราวๆร้อยปลายๆ โดยเส้นทางนี้มีทั้งสามารถกดได้ยาวๆอย่างในวงแหวนรอบนอก (ใช้ Normal Mode ตลอดทาง) ซึ่งหลังจากทดลองกดดูแล้ว ขาต้นมันมาไวแบบทันใจ เพราะได้ช่วยกันเสริม 2 แรงทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ ส่วนพอเริ่มย่างเข้าสู่ย่านเกิน 120 กม./ชม.ขึ้นไป ก็เริ่มเหี่ยวลงมาแล้ว แต่ก็ยังสามารถไต่ขึ้นไปได้เรื่อยๆถึงระดับ 180 กม./ชม. ได้เลย ระบบการสลับไฟฟ้าก็ฉลาดตามแบบฉบับของโตโต้า แต่ที่เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นคือ การเติมไฟฟ้าเข้าระบบนั้นทำได้เร็วมากกว่าเดิม ซึ่งน่าจะมาจากการปรับเปลี่ยนตัว Motor-generator ใหม่ให้ใหญ่มากกว่าเดิมนั่นเอง ส่วนบางช่วงก็ติดขัดตามสไตล์เส้นทางไปเขาใหญ่ที่มีรถบรรทุกวิ่งเป็นจำนวนมาก ช่วงนี้ก็มีโอกาสได้ใช้ระบบ EV ได้มากขึ้น เมื่อผสมกันทั้งสองแบบแล้ว เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ที่หน้าจอแจ้งว่าใช้น้ำมันไปเฉลี่ย 19.6 กม./ลิตรเลยน้า (บางคันเท้าเบาได้ 20 กว่าแน่ะ)
หลังจากจัดการเติมพลังให้คนขับเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมเดินทางกันต่อในช่วงต่อไป โดยช่วงนี้เป็นช่วงพิเศษหน่อย ที่ให้พี่น้องสื่อมวลชนร่วมกันขับแบบ Eco Run เพื่อทำการแข่งกันว่าที่หน้าจอใครจะได้อัตราการประหยัดมากที่สุด กติกามีว่า ในระยะทาง 103 กิโลเมตร ต้องเดินทางให้ถึงภายในเวลา 90 นาที ช่วงแรกของการเดินทาง ก็ปั้นตัวเลขได้เยอะระดับ 35 - 40 กม./ลิตรแหล่ะครับ แต่พอเข้าเส้นทางถนนโชคชัย, เดชอุดมเท่านั้นแหล่ะ ตัวเลขลดฮวบเลย เพราะถ้าใครเคยใช้เส้นทางนี้จะรู้ดีว่า เป็นเส้นทางขึ้นลงเขาตลอดเวลา (ยังคงอยู่ใน Normal Mode)การไต่เขาแต่ละทีเลยต้องฉีดน้ำมันมากกว่าปกติ สุดท้ายแล้วการเดินทางเส้นนี้ ผมทำได้ดีที่สุดอยู่ที่ 28.1 กม./ลิตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่า Eco Sticker ของ Toyota C-HR ด้วยซ้ำ
เส้นทางสุดท้ายก็เป็นการปล่อย Free Run โดยผมลองเปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสารดูบ้างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จุดหมายปลายทางอยู่ที่สนาม Chang International Circuit การนั่งด้านหน้านั้นมันก็ปกติแหล่ะครับ แต่จะแตกต่างนิดนึงตรงที่หน้าจอมันหันเอียงไปให้กับทางคนขับมากกว่า ทำให้ถ้าคนนั่งอยากจะใช้หน้าจอบ้าง ก็ต้องเอียงตัวไปหาซักหน่อย ส่วนการนั่งด้านหลังนั้น ตอนแรกก็คิดว่านั่งแล้วหัวมันจะติดเพดานหรือเปล่า แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว ยังพอเหลือช่องว่างระหว่างหัวกับเพดานประมาณกำปั้นกว่าๆได้ (ผมสูง 172) แต่ก็ต้องยอมรับอยู่อย่างว่า มันก็รู้สึกว่าแคบอยู่ นั่ง 2 คนก็พอได้ แต่ถ้านั่ง 3 คนก็คงจะอึดอัดน่าดู แต่ก็อย่างว่าแหล่ะครับ รถ Toyota C-HR ถูกวางตำแหน่งการตลาดไว้ที่วัยรุ่นวัยมัน ใช้รถคนเดียวหรือไม่ก็พาแฟนไปอีกคน ไม่ได้เน้นขนคนเป็นหลักอยู่แล้ว ส่วนความนุ่มสบายก็ทำได้ดีเลย ไม่มีอาการเหวี่ยงตอนเข้าโค้งหรืออาการกระเด้งกระดอนช่วงเจอถนนไม่ดี น่าจะมาจากการที่เปลี่ยนโครงสร้างใหม่มาเป็นแบบ TNGA นั่นเอง เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ก็มีการจัด Q&A นิดหน่อย ก่อนแยกย้ายกันตามอัธยาศัย
ก้าวเข้าสู่วันใหม่ พวกเราสื่อมวลชนก็ยังมีภารกิจเหลืออยู่อีกอย่างก็คือ การทดสอบแบบ On Track ในสนามแข่งที่ได้มาตรฐานโลกอย่าง Chang International Circuit ซึ่งมีจัด Station ต่างๆเพื่อทดสอบสมรรถนะของ Toyota C-HR อย่างเต็มที่ เริ่มต้นด้วยการเข้าสู่สถานี Slalom เดินความเร็วด้วยประมาณ 60 กม./ชม. ซึ่งสามารถเข้าได้อย่างสบายๆ ไม่มีอาการท้ายปัดหรือหน้าดื้อมากซักเท่าไหร่ ก่อนจะเข้าสู่โค้งรูปตัว U ด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. ก็เข้าได้แบบเนียนๆ ไม่มีการต้องฝืนหรือปล่อยเท้าไปแตะเบรกเพื่อลดความเร็วเลย เมื่อหลุดโค้งมาก็เจอกับด่าน Moose Test ในตำนาน ที่เราต้องจัดการหักขวาแล้วหักซ้ายทันที แล้วดูว่ารถยังทรงตัวได้อยู่เหมือนเดิมหรือไม่ ในย่านความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. ซึ่งก็ผ่านมาได้ แต่ต้องกะดีๆหน่อย เพราะบางคนก็หมุนกลับเร็วไปหน่อย ซัดกรวยไปบ้างนิดหน่อย แต่ทุกคันก็ผ่านมาได้แบบไม่มีอาการเสียหลักเลย จากนั้นก็เข้าโค้งกว้าง ซึ่งทาง Instructor ก็บอกให้ลองกดดูว่าเข้าได้ขนาดไหน รอบแรกผมลองเข้าที่ 100 กม./ชม. ผลคือยังเหลือๆ น่าจะเร่งเข้าโค้งได้มากกว่านี้อีก
จากนั้นก็วิ่งตามเส้นทางไปเรื่อยๆ จนเจอกับสถานีสุดท้ายคือการทำ Lane Change ด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. ก็สบายๆ ผ่านมาได้โดยไม่มีความหวาดเสียวอะไร จากนั้นก็มาต่อกันที่รอบ 2 เข้าสู่สถานี Slalom อีกครั้ง คราวนี้ผมไม่เอาที่ 60 กม./ชม. กดลองที่ 100 นึงเลย เอาเท่าที่เคยลองกับ Porsche Panamera S ที่ผ่านได้มาแล้ว ผลปรากฎว่า กินกรวยจ้า หน้ามีอาการดื้อเมื่อผ่านไปได้เพียง 2 กรวย ก่อนจะกินกรวยที่ 3 ไปแบบเกือบพ้น จนต้องแตะเบรกลดความเร็วเพื่อให้รถอยู่ในทางต่อไป สรุปว่า มันเข้าได้นะจ๊ะ แต่อย่าให้มันเร็วเกิน ฮ่า แต่เอาจริงๆแล้วถึงหน้าจะดื้อจนคุมเกือบไม่ได้ แต่รถก็ไม่ได้มีอาการปัดหรือเสียการทรงตัวเลย ถือว่าภาพรวมในการทรงตัวสอบผ่านเลยครับ
หลังจากซัดกรวยไปแล้ว สถานีไหนที่วางกรวย ผมก็เพิ่มความเร็วเข้าไปเพียงเล็กน้อยพอ เอาให้ผ่านได้แบบไม่ฝืนมากไป แต่อีกสถานีที่ลองเข้าด้วยความเร็วมากกว่าเดิมก็คือตัวโค้งกว้าง ที่ทำการซัดเข้าไปที่ 120 กม./ชม. มันก็ยังเอาอยู่ รถควบคุมให้อยู่ใน Track ได้อย่างปลอดภัย และเชื่อว่าถ้าเติมไปอีกเล็กน้อย รถก็น่าจะเอาอยู่แน่นอน ต้องขอบคุณการจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์ใหม่ ทั้งแบตเตอรี่และเกียร์ชุดใหม่ ที่ให่เข้ามาอยู่ตรงกลางรถมากกว่าเดิมบนโครงสร้างใหม่ TNGA ทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง และมีน้ำหนักอยู่ตรงกลางรถมากขึ้น ทำให้รถสามารถเข้าโค้งได้ดีกว่าเดิม
หลังจากการทดสอบผ่านมา 2 วัน ทั้งแบบ On Road และ On Track กับ Toyota C-HR HV Hi สามารถบอกไได้ว่า รถคันนี้เป็นรถที่ขับสนุกในย่านความเร็วระดับไม่เกิน 120 กม./ชม. ขยับขึ้นลงได้รวดเร็วทันใจ ช่วงปลายอาจจะแผ่วบ้าง แต่ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรมากมาย, เกียร์ธรรมงานได้ฉลาด เรียบเนียนแบบหารอยต่อไม่เจอ มีการสลับไปใช้ไฟฟ้าได้อย่างดี ถ้าไม่มองไปที่หน้าจอ บางครั้งก็อาจจะไม่รู้ว่ามีการใช้งานแบบ EV Mode แล้ว ระบบการเก็บเสียงทำได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆ อาจจะเก็บไม่หมดซะทีเดียว แต่ดีกว่าเดิมแน่นอน การทรงตัวนั้นดีขึ้นอย่างชัดเจน สลับเปลี่ยนเลนยามมุดไปช่องต่างๆหรือเข้าโค้งแคบๆ ก็สามารถเข้าได้โดยไม่เสียอาการ พวงมาลัยไฟฟ้าทำงานได้ดี หมุนได้ไม่หน่วงมือ ระบบการทำงานด้านความปลอดภัยต่างๆสามารถใช้งานได้จริง โดยเฉพาะระบบ Lane Departure Alert with Steering Assist ที่ช่วยให้เรายังคงอยู่ในเส้นทางอย่างปลอดภัย ระบบ Dynamic Radar Cruise Control เหมาะกับการเดินทางเป็นหมู่คณะ เพียงแค่คุณตั้งความเร็วล็อกให้สูงๆเข้าไว้ เช่นเกิน 130 กม./ชม. แล้วปล่อยไหลตามคันหน้าไปเรื่อยๆ เท่านี้ก็เหมือนคันหน้ามีเชือกมาลากรถเราตามไปโดยที่เราไม่ต้องเหยียบคันเร่งเลย ส่วนเรื่องประหยัดก็หายห่วง ขนาดขับแบบไม่เกรงใจใครเท่าไหร่ ยังได้เกือบ 20 กม./ลิตรเลย ถ้าขับแบบใช้งานทั่วไป น่าจะได้มากกว่านี้อีกพอสมควรครับ ส่วนการนั่งโดยสารด้านหน้าก็ไม่มีอะไร แต่ด้านหลังอย่านั่งเกิน 2 คน เพราะน่าจะอึดอัดพอตัว
Toyota C-HR HV Hi มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี Premium Red/BlackRoof, Blue Metallic/BlackRoof, Radiant Green Metallic/BlackRoof, White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic และ Attitude Black Mica ราคาค่าตัวอยู่ที่ 1,159,000 บาท โดยผู้ที่จองมา 2,000 คันแรกจะได้รับ Custom Name Plate ที่สามารถทำชื่อติดไปใต้คำว่า C-HR ได้ แต่จองตอนนี้ไม่ทันแล้ว เพราะยอดจองเกินไปแล้วจ้า แถมโตโยต้ายังใจดีเพิ่มขึ้นไปอีก ด้วยการเพิ่มระยะการรับประกันจากเดิมทั่วไป 3 ปี 100,000 กิโลเมตร เพิ่มให้เป็น 5 ปี 150,000 กิโลเมตร ส่วนแบตเตอรี่ก็รับประกัน 10 ปีเช่นเคย เอาเป็นว่าถ้าใครอยากหารถที่ประหยัด, ขับสนุก, ไม่เน้นการขนของขนคน, ระบบความปลอดภัยเพียบ และงบถึง Toyota C-HR HV Hi ก็เป็นตัวเลือกตอนนี้ที่เหมาะสมที่สุดเลยครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย Earthpark02
ติดตามข่าวสารยานยนต์ รวดเร็วก่อนใคร ได้ที่ Autodeft.com