BMW Driving Experience 2016 เปิดประสบการณ์ใหม่ของการขับขี่
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 30 พ.ค. 59 00:00
- 7,940 อ่าน
BMW ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ให้กับบรรดาสื่อมวลชนใน BMW Driving Experience 2016 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ที่สนามปทุมธานี สปีดเวย์ เพื่อร่วมทดสอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น BMW 118i M Sport, BMW 320d Luxury, BMW 320d Sport, BMW 525d M Sport, BMW 330e M Sport และ BMW X5 xDrive40e ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีปลั๊กอิน ไฮบริด ภายใต้รูปแบบ eDrive เอกสิทธิ์เฉพาะของ BMW
ในงาน BMW Driving Experience 2016 ครั้งนี้ มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ การแนะนำเทคโนโลยี eDrive ที่เป็นเทคโนโลยีในรถยนต์ BMW แบบ ปลั๊กอิน ไฮบริด ซึ่งสามารถใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนอย่างเดียวได้ไกลสุด 40 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และสามารถทำความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งครั้งนี้ทาง บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้จัดมาให้ทดสอบ 2 รุ่นคือ BMW 330e M Sport รถเก๋งสไตล์สปอร์ต เน้นความประหยัดจากการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 65 กิโลวัตต์ ให้กำลังได้สูงสุด 88 แรงม้าช่วยในการขับเคลื่อน พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2 ลิตร เบนซิน 4 สูบ BMW TwinPower Turbo ให้พลังสูงสุด135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า พร้อมแรงบิด 290 นิวตันเมตร เมื่อรวมกันทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ จะมอบกำลังสูงถึง 185 กิโลวัตต์/252 แรงม้า ให้เร่งความเร็วได้อย่างใจนึก ทั้งยังประหยัดน้ำมันด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 41.7กิโลเมตรต่อลิตร และอีกรุ่นคือ X5 xDrive40e รถ SUV สไตล์สปอร์ต มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 ลิตรแบบ 4 สูบ ที่ให้พลังสูงสุด 313 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 83 กิโลวัตต์
ซึ่งการทดสอบในครั้งนี้ ให้ลองเปรียบเทียบกันระหว่าง การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าอย่างเดียว และการใช้ระบบผสมผสานระหว่างมอเตอร์และเครื่องยนต์ โดยรอบแรกนั้นจะเปิดโหมด MAX eDrive ให้ลองแบบมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว เมื่อเหยียบคันเร่ง จะรับรู้ได้เลยถึงพลังที่ส่งไปที่ล้อ แรงไม่แพ้แบบที่ใช้น้ำมันเลยทีเดียว ถึงแม้จะเร่งไปถึงระดับ 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง พลังก็ไม่ตก แต่ด้วยระยะทางที่สั้น เลยยังไม่ได้ลองให้ได้ความเร็วสูงกว่านี้
จากนั้นรอบที่ 2 ได้เปิดโหมด Auto eDrive ที่สมองกลจะทำการเลือกการใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับคันเร่ง เมื่อมีการเหยียบคันเร่งเบาๆ มอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานอย่างเดียว แต่เมื่อมีการเหยียบคันเร่งที่แรงขึ้น ระบบจะเปลี่ยนการใช้งานเข้าสู่โหมดเครื่องยนต์ทันที เพื่อเพิ่มกำลังให้มากขึ้น ตอบสนองกับความต้องการของผู้ขับขี่ได้ทันที ถึงแม้จะเป็นการเปลี่ยนระบบในทันที แต่ก็ไม่ได้ทำให้การขับขี่สะดุดลงแต่อย่างใด ซึ่งถ้าเป็นการเหยียบแบบค่อยๆเพิ่มความเร็ว ก็แทบจับความรู้สึกในการเปลี่ยนระบบไม่ได้เลย และทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี ปลั๊กอิน ไฮบริด ที่สามารถเสียบสายเพื่อชาร์จไฟในช่วงที่รถจอดได้ โดยใช้เวลาในการชาร์จผ่านทางสายชาร์จที่มาพร้อมกับรถ จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง (คำนวณจากการชาร์จเมื่อแบตเตอรี่ต่ำสุด) หรือสามารถซื้อ BMW i Wallbox Pure เพื่อเพิ่มความเร็วในการชาร์จให้เหลือเพียง 3 ชั่วโมงได้
ส่วนต่อมา กับการทดสอบสมรรถภาพของรถยนต์ BMW ทั้ง 3 รุ่นคือ BMW 118i M Sport รถเก๋งขนาดเล็ก ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ทวินพาวเวอร์ เทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า, BMW 320d Luxury และ 320d Sport มาพร้อมกับขุมพลังระดับ 190 แรงม้า ในเครื่องยนต์ขนาด 2 ลิตร 4 สูบ และรุ่น BMW 525d M Sport เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 16 วาล์ว BMW TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุดที่ 160 กิโลวัตต์/ 218 แรงม้า ซึ่งทุกรุ่น จะทดสอบสมรถนะในหลายสถานี ทั้ง Slalom ทดสอบการบังคับ, DOUBLE CIRCLES ทดสอบการเข้าโค้ง, EVASION BLOCK ทดสอบการเลี้ยวกะทันหัน เป็นต้น
เริ่มจากการทดสอบน้องเล็กอย่าง BMW 118i M Sport เป็นรถที่ตอบสนองช่วงต้นในการออกตัวได้อย่างดี มีความปราดเปรียว บังคับง่าย ถึงแม้ในการเข้าฐานในส่วนของ DOUBLE CIRCLES อาจจะมีอาการ OVER/UNDER STEERING เมื่อเข้าโค้งแบบแรงๆ แต่ก็จะมีระบบ Dynamic Stability Control (DSC) และ Dynamic Traction Control (DTC) ที่คอยควบคุมไม่ให้รถหลุดจากโค้งได้ ทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจได้ย่างเต็มที่ ส่วนการทดสอบอัตราเร่ง การออกตัวถือว่าจี๊ดจ้าด แต่เมื่อเข้าสู่ย่านความเร็วสูง กำลังเริ่มจะลดลง แต่ก็ไม่ได้ลดลงอย่างน่าเกลียดแต่อย่างใด
ต่อมากับ BMW 320d Sport ที่ใช้เครื่อง 2.0 ดีเซล แต่ช่วงออกตัว ถือว่าแรงเกินตัวจริงๆ แถมยังปราดเปรียว ให้การบังคับที่ง่ายดายในการหมุนพวงมาลัยทุกครั้ง เข้าโค้งได้นิ่งกว่ารุ่นน้องอย่าง BMW 118i M Sport และอัตราเร่งก็ให้สม่ำเสมอจากต้นจนถึงย่านความเร็วสูง แถมไม่อุ้ยอ้าย เมื่อมีการหักหลบอย่างกะทันหันอีกด้วย
สุดท้ายกับการทดสอบ BMW 525d M Sport พี่ใหญ่ประจำการทดสอบครั้งนี้ ถึงแม้จะตัวใหญ่ แต่กำลังเครื่องแบบดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อัตราเร่งมาเร็วและสม่ำเสมอ ไม่แพ้รุ่นน้องอย่าง BMW 320d Sport เลย ช่วงเข้าโค้งแบบ Slalom อาจจะดูหนักจากขนาดรถที่ใหญ่กว่ารุ่นน้อง แต่ก็ไม่ทำให้การเข้าโค้ง มีอาการหลุดหรือสะบัดให้เห็นเลย ยิ่งการเข้าโค้งแบบวงเวียน ยิ่งรู้สึกได้เลยว่านิ่ง และมั่นใจมาก ถึงแม้จะเข้าด้วยความแรงพอสมควรก็ตาม
บทสรุปในการทดสอบครั้งนี้ สิ่งที่ต้องชม BMW ในทุกรุ่นคือ ระบบการเข้าโค้งและการบังคับ ที่สามารถทำได้ดีมาก ผู้ขับขี่สามารถมั่นใจได้เต็มที่ทุกโค้ง และเทคโนโลยีทั้งด้านความปลอดภัย, ความประหยัด และการรักษาสิ่งแวดล้อม ทาง BMW ก็จัดมาให้อย่างครบครันจริงๆครับ
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com