Test Drive: รีวิว ทดลองขับ New BMW 530e, 520d, 330Li ในคราบ M Sport รวดเดียว 3 รุ่น
- โดย : พิสน ลีละหุต
- 25 ก.พ. 64 00:00
- 29,742 อ่าน
ปีก่อนกลายเป็นปีฉลองกันอย่างเบา ๆ ของค่ายใบพัดสีฟ้า บีเอ็มดับเบิ้ลยู เมื่อสามารถขึ้นครองยอดขายสูงสุดประจำปี 2020 ในกลุ่มรถหรูหรือ Luxury Car ไปครองได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถฉลองกันได้อย่างเต็มที่ เพราะถ้ามองยอดรวมแล้วก็ยังลดลงอยู่ดีคล้ายกับค่ายอื่น ๆ ที่เจอกันทั้งนั้นจากการที่เศรษฐกิจชะงักงันด้วยการระบาดของโรคเวรโรคกรรมของชาวโลกอย่าง Covid-19
ปีนี้ ทางบีเอ็มดับเบิ้ลยู ก็คงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง อยากครองตำแหน่งนี้ออกไปให้นานที่สุด รอบนี้แค่ผ่านมาไม่ถึง 2 เดือน ก็ทำการเปิดตัวรถใหม่ยอดนิยมไปแล้ว 2 Series ทั้ง 2021 The New BMW 5 Series ในช่วงปลายเดือนมกราคม และตามมาติด ๆ เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กับ BMW 3 Series รุ่นฐานล้อยาว นี่ยังไม่รวม BMW X7 รุ่นประกอบในประเทศ ที่ลดราคาลงมาอีกเพียบด้วยนะ เรียกได้ว่าปีนี้ค่ายใบพัดสีฟ้าเอาจริงแน่นอน
ด้วยความรวดเร็วหลังการเปิดตัว BMW 3 Series รุ่นฐานล้อยาวไม่กี่วัน ก็ได้รับหมายเชิญเพื่อทำการทดสอบในสนามแบบสั้น ๆ กันแล้ว โดยในหมายระบุเอาไว้เลยว่าจะได้ขับกันรอบเดียว 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น New BMW 530e, 520d และ 330Li โดยทุกคันจะเป็นตัวแต่ง M Sport ทั้งหมด เอาเป็นว่าท่าทางจะลำบากกับผู้รีวิวอย่างผมแน่นอน แต่ด้วยสปิริตอันแรงกล้าของนักทดสอบรถยนต์อย่างผม จัดไปครับ ไปลุยกันเต็มที่เลย
รอบนี้การทดสอบจัดกันที่เดิมก็คือสนามปทุมธานี สปีดเวย์ โดยครั้งนี้พิเศษหน่อยตรงที่จะได้ขับแบบเดี่ยวในระยะเวลาคันละ 1 ชั่วโมง จะมีสถานีตั้งเอาไว้รวม 4 สถานี คือ สถานี 0-100, สถานี ELK Test (หักหลบแล้วหักกลับแบบด่วน), สถานีทางโค้ง และสถานี Slalom หรือถ้ายังไม่พอก็เอาไปวิ่งข้างนอกได้เล็กน้อย ขออย่างเดียวคือ เอารถมาคืนเพื่อเปลี่ยนรถตามเวลาก็พอ ถามว่าพอไหม ถ้าตามหลักการทดสอบจริงก็คงไม่พอ แต่ก็ถือว่าปล่อยให้การทดสอบทำได้อิสระดีกว่าเดิม
ทีมงาน AUTODEFT ได้ทดสอบคันแรกกับ BMW 530e M Sport เป็นคันแรกเลย โดยรถเสียบปลั๊ก Plug-in Hybrid หรือ PHEV รถยนต์ใหม่ 2021 คันนี้ ใช้บริการเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ผลิตกำลังได้ 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ผนวกกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกำลัง 109 แรงม้า 265 นิวตันเมตร รวมกันแล้วได้กำลังสูงสุดที่ 292 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sport Steptronic พร้อม Gearshift Paddles เคลมอัตราเร่ง 0-100 ไว้ที่ 5.9 วินาที มีระยะทางวิ่งด้วยโหมดไฟฟ้าได้สูงสุด 52 กิโลเมตร มีระบบ XtraBoost ที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเสริมกำลังเครื่องยนต์สันดาปให้แรงยิ่งขึ้นด้วยการเพิ่มสมรรถนะให้สูงขึ้นไปอีก 30 kW (41 แรงม้า) ระบบขับเคลื่อนจะตอบสนองต่อความไวในการเหยียบคันเร่งเพิ่มมากขึ้น Top Speed ที่ 235 กม./ชม.
สิ่งโดดเด่นที่อยู่ใน BMW 530e M Sport นั้น มีทั้งระบบช่วงล่างแบบ Adaptive ที่จะปรับแดมเปอร์ให้เหมาะกับสภาพถนน, Adaptive Drive ที่ทำงานร่วมกับช่วงล่าง Adaptive เพื่อให้เสถียรภาพการทรงตัวทำได้ดีมากยิ่งขึ้น, ระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว เพื่อให้การเลี้ยวหรือเข้าโค้งทำงานได้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยถ้ารถวิ่งในความเร็วไม่เกินระดับ 60-80 กิโลเมตร / ชั่วโมง ล้อหลังจะหันในทางตรงข้ามกับล้อหน้า แต่ถ้าเกินกว่านั้น รถจะหันล้อไปทางเดียวกันกับล้อหน้า เพื่อลดอาการโคลงของตัวรถ เข้าโค้งได้ง่ายขึ้น
BMW 530e M Sport ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยแบบเต็มเปี่ยม ทั้งถุงลมนิภัย 8 ตำแหน่ง ระบบ ระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant) ที่มากันแบบเต็มระบบ, ระบบควบคุุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชัน Stop&Go (Active cruise control with Stop&Go function), ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus), ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC), ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC), ABS, BA, ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC), กล้องแสดงภาพแบบ 360 องศา
การตกแต่งภายนอกของ BMW 530e M Sport ที่เด่น ๆ นั้น จะมีทั้ง ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ปรับตามทิศทางหมุนของพวงมาลัย (Adaptive LED) พร้อมระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ, กระจกมองข้างตัดแสงอัตโนมัติ, ระบบเปิด-ปิดบานประตูท้ายอัตโนมัติด้วยระบบไฟฟ้า, ระบบช่วยผ่อนแรงกระแทกขณะปิดประตู, ชุดตกแต่ง M Aerodynamic ใส่ล้อมาขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 245/40 R19 ที่ล้อหน้า และล้อหลังขนาด 275/35 R19 ใส่คาลิเปอร์เบรกดีไซน์ M Sport มาด้วย
ภายในของ BMW 530e M Sport โดดเด่นมาด้วยหลังคากระจกเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ที่ช่วยให้เพิ่มความโปร่งสบายให้คนขับ เบาะนั่งหนังแท้ Dakota, เบาะนั่งตอนหน้าสไตล์ Sport ปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับ มีที่หนุนหลัง, พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M Sport คอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec มีชุดหน้าจอ BMW Live Cockpit Professional ระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันสั่งงานระบบ iDrive ด้วยการเคลื่อนไหวมือ (BMW Gesture Control) แพคมาพร้อมระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon ส่วนหน้าจอข้อมูลการขับขี่ ใช้เป็นระบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว
นอกจากนี้ BMW 530e M Sport ยังมาพร้อมระบบปลดล็อกประตููอัจฉริยะ (Comfort Access System) ที่ทำให้การเข้าสู่รถของเราทำได้ง่ายขึ้น โดยเมื่อเราเดินมาในระยะ 3 เมตร (กรณีที่มีกุญแจรีโมทอยู่ที่ตัว) รถจะทำการเปิดไฟ Welcome light และเปิดไฟภายในรถให้เองอัตโนมัติ และเมื่อถึงระยะ 1.5 เมตร รถจะทำการปลดล็อกให้อัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังรองรับการใช้งาน BMW Digital Key ซึ่งเปลี่ยนให้ iPhone กลายเป็นเหมือนกุญแจรถ สามารถล็อกและปลดล็อกรถได้โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระยะสั้นแบบ NFC (Near Field Communication) โดยรองรับผู้ใช้ได้สูงสุดถึง 5 คน
พอได้ละกับสเปกเบื้องต้นของ BMW 530e M Sport เพราะไม่งั้นกว่าจะรีวิวครบ 3 รุ่น ได้กลายเป็นวิทยานิพนธ์กันพอดี เรามาเริ่มต้นสถานีแรกกับการขับแบบอัตราเร่ง 0-100 กันก่อนเลย โดยรอบนี้ผมเดินทางไปกับต้ากล้อง 1 คนคือนาย TopTaro นั่นเอง รวม 2 คนพร้อมอุปกรณ์ก็น่าจะเพิ่มจากน้ำหนักตัวรถไปอีกร่วม 200 กิโลกรัม และที่สำคัญคือไฟฟ้าในแบตไม่มี จะมีก็คงเหลือเพียงไม่มากเท่าไหร่ บอกไม่ได้เพราะหน้าจอขึ้น 0% เอาวะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ต้องลองให้รู้ กดปังเข้าไปทีแรกได้มา 6.65 วินาที (จับเวลาผ่านแอพ iBolid 0-100 บน iPhone 11 ที่ผ่อนยังไม่หมด) ครั้งที่ 2 ได้มา 6.55 ถือว่าว้าวเลยครับ เพราะจากสเปกเคลมเอาไว้ 5.9 วินาที เพิ่มน้ำหนักไปแถมไฟมีน้อยยังได้ขนาดนี้ ถือว่าเยี่ยมแล้วครับ
สถานีต่อมาในการทดสอบ BMW 530e M Sport คือการเข้าโค้ง โดยทางสนามได้วางกรวยเอาไว้เป็นเส้นทางให้เราขับไปตามนั้น มีโค้งกว้างโค้งแคบสลับกันไป ซึ่งผมก็กดเข้าไปตามความเร็วที่พอจะควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทาง ไม่ลงไปกินฝุ่นข้างทางได้ ผมว่ารถซีดานกลางตัวหรูคันนี้ มันมีการจัดการช่วงล่างที่ดีมาก เข้าโค้งได้ดีมาก ควบคุมง่าย แต่ยังคงความนุ่มนวลเอาไว้ได้อย่างไม่มีเปลี่ยนแปลง วิ่งไปได้สั้น ๆ ก็หมดสถานีแล้ว จับความรู้สึกได้ประมาณนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีในสถานีต่อไป
สถานีต่อมากับการขับ ELK Test ด้วยการซัดเข้าสถานีไปด้วยความเร็วแถว 60 กม./ชม. จากนั้นก็หักซ้ายที ขวาที ประดุจมีกวางขวางทางอยู่แล้วต้องหักหลบ (Elk แปลว่ากวางตัวใหญ่) แต่หักหลบไปแล้วเจอรถบรรทุกสวนพร้อมยกไฟสูงใส่เลยต้องหักกลับกะทันหันเพื่อเข้าเลนเดิม ผมก็จัดเข้าไปตามระเบียบที่เขากำหนดให้เลย บอกเลยว่า เนียนกริ๊บ หักเข้าง่าย หักออกง่าย รถไม่มีการเสียอาการเลย ไม่ต้องใช้ทักษะเยอะ ไม่จำเป็นต้องแก้อะไร รถมันขับได้ง่ายจริง ๆ
ต่อมากับการขับ Slalom ด้วย BMW 530e M Sport รอบแรกเข้าแค่ 40 กม./ชม. มันก็ขับดูง่ายไปหน่อย รอบต่อมาเลยเพิ่มความเร็วเล็กน้อยเป็นเกิน 50 กม./ชม. มันก็ดูเข้ายากกว่าเดิมเล็กน้อย แต่มันไม่ได้ยากอะไร ที่สำคัญคือการจัดการช่วงล่างนั้นทำได้โคตรดี แรงเหวี่ยงจากตัวรถเมื่อหมุนพวงมาลัยเข้าไปตามกรวยนั้นมีน้อยมาก นี่คือความดีงามของระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว ที่ช่วยให้รถเข้าโค้งได้ดีมาก เมาะกับการนำไปขับให้ผู้บริหารอย่างแรง นั่งหลังคงสบายสุด ๆ
ในสนามพอแล้ว มากดกันถนนจริงกันบ้าง ผมเอา BMW 530e M Sport ออกมาวิ่งพร้อมกับการใช้งานระบบ Driving Assistant ด้วย เอาเรื่องการทำงานของเครื่องยนต์ก่อน ด้วยความที่เราอัดในสนามมาเล็กน้อย ทำให้ผมได้ไฟกลับมาให้ใช้งานได้ราว 1 กิโลเมตร (หมายถึงวิ่งไฟฟ้าได้ 1 กม.) ก็เลยยังมีไฟให้อัดเล่นได้เล็กน้อย มันทำให้รถมีกำลังเพิ่มขึ้นมาได้อย่างมาก กดเมื่อไหร่ รถก็วิ่งให้เต็มที่ อยากกดมิดก็ทำเอาหลังติดเบาะได้เหมือนกัน ลองกดเล่น ๆ แบบต่อเนื่อง รถวิ่งขึ้นสู่ 200 กม./ชม.ได้แบบไม่บ่นอะไร ไหลต่อเนื่องจนถึงสบาย และที่สำคัญคือตัวรถนิ่งมาก นิ่งแบบขับง่าย ไม่ต้องประคองมาก ใครได้ใช้แล้วเผลอขับไประดับเกิน 160 กม./ชม.ก็ไม่แปลก เพราะผมดูแล้วความเร็วระดับนี้ มันมีความรู้สึกเหมือนขับรถผมเองแค่ 80 (Toyota Wish รุ่นแรกเก่า ๆ )
ต่อมาคือระบบ Driving Assistant บน BMW 530e M Sport รถ Sedan ใส่ถ่านเสียบปลั๊ก PHEV กันบ้าง ระบบนี้ทำงานเร็วและแม่นพอตัว แค่รถขยับเข้าใกล้เส้นถนน พวกก็ดึงกลับแล้ว แถมมีทั้งเตือนสั่นบนพวงมาลัยแถมส่งเสียงร้องและสัญลักษณ์บนหน้าจอด้วย เยอะจนอยากจะบอกว่า “เออ กูรู้แล้ว” ดึงแรงชนิดที่คิดว่าบีเอ็มดับเบิ้ลยูแถมกุมารทองมาช่วยในรถ เห็นพี่นักทดสอบบางคนบอกว่า เหมือนจะดึงแรงไปหรือเปล่า เพราะพี่เขาดึงหลบรถบรรทุกอยู่ จังหวะที่รถเหยียบเส้นพอดี รถจึงหวังดีด้วยการดึงกลับให้เอง เกือบจะวัดกับรถบรรทุกไปแล้ว ส่วนตัวผมว่ามันก็แรงแหล่ะ แต่มันก็ไม่ถึงกับแรงมากเกินไปนะ
จบรอบแรกไปแล้ว นี่แค่คันเดียวก็ยืดยาวแล้ว เรามาต่อคันที่ 2 กับ BMW 520d M Sport กันต่อเลยดีกว่า เอาเป็นว่าง่าย ๆ เลยครับ มาดูสิ่งต่างกันกับ BMW 530e M Sport เลยดีกว่า โดยต่างแรกคือเครื่องยนต์รถยนต์ใหม่ 2021 คันนี้เลือกใช้ขุมพลังเครื่่องยนต์ดีเซล 4 สูบเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ขนาดกระบอกสูบ 2.0 ลิตร ให้แรงม้าได้สูงสุด 190 แรงม้า และรีดแรงบิดได้สูงสุด 400 นิงตันเมตร ต่างต่อมาคือเกียร์ที่ใช้ขับเคลื่อนเป็น เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Steptronic พร้อม Gearshift Paddles แน่นอนว่าอัตราเร่ง 0-100 ตามสเปกจึงได้ออกมาที่ 7.5 วินาที
ต่างต่อมาคือล้อใส่มาเป็น 18 นิ้ว ใช้ยางขนาด 245/45 R18 ที่ด้านหน้า และล้อหลังใช้ขนาด 275/40 R18 และไม่มี คาลิเปอร์เบรกดีไซน์ M Sport ต่างต่อมาคือช่วงล่าง ที่ตันนี้เป็นแบบ M Sport ต่างต่อมาคือรถคันนี้ไม่มี Sunroof ต่างต่อมาคือแอร์แบบแยก 2 โซน (ตัว PHEV แยก 4 โซน) ต่อมาคือระบบควบคุมความเร็วคงที่่ พร้อมฟังก์ชันช่วยลดความเร็ว (Cruise Control with braking function) ไม่แปรผัน ไม่มีระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering), ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ (Parking Assistant) ยังใช้เป็นเวอร์ชั่นเดิม และกล้องแสดงภาพด้านหลังเท่านั้น ไม่ใช่แบบ 360 องศา ส่วนอื่นที่เหลือก็เหมือนกันหมด
มาเริ่มต้นสถานีแรกกับอัตราเร่ง 0-100 กันเลยดีกว่า ผมจอดเข้าที่แล้วกดคันเร่งของ BMW 520d M Sport จนมิด อ่าวเฮ้ย ทำไมมันเหมือนไม่ค่อยบูสช่วงออกตัวเลย เหมือนมีอาการ Lag เล็กน้อย กว่าที่จะเข้าที่เข้าทาง ก็เข้าสู่ 10.16 วินาทีแล้วถึงจะไต่ถึง 100 กม./ชม. ไม่เหมือนที่คุยกันไว้ตามสเปกที่ 7.5 วินาทีเลยอ่ะ เอาใหม่ดีกว่า กดรอบนี้ อ่าห์ มาตั้งแต่เริ่มเลย รอบนี้ทำได้ 8.27 วินาที ก็ถือว่าใกล้เคียงกับสเปกเข้าไปอีกหน่อย แต่ต้องบอกเลยว่า การที่ได้ทดสอบรีวิวรถรอบแรกด้วยการขี่รถ 292 แรงม้า แล้วลดระดับมาเหลือ 190 แรงม้า มันเป็นการทำร้ายจิตใจกันอย่างมาก เพราะมันทำให้เห็นความต่างที่ชัดเจนอย่างมากของกำลังเครื่องที่หายไป 102 แรงม้า (สูงสุดนะ) ก็ทำเอาใจเหี่ยวได้เหมือนกัน
มาต่อกับสถานีเข้าโค้ง ขับแบบเดิมเลยครับ แต่รู้สึกเลยว่า BMW 520d M Sport คันนี้มันเข้าโค้งได้ยากขึ้นเล็กน้อย ทั้งที่ความเร็วประมาณเดิม ตรงนี้ทำให้เห็นได้นิดหนึ่งแล้วว่าระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว มันเป็นตัวช่วยที่ทำให้เข้าโค้งได้ง่ายขึ้นอย่างมาก แต่ไม่ใช่ว่าคันนี้เข้าโค้งได้ไม่ดีนะ มันก็ยังเป็นรถที่บังคับได้ดีอยู่ ควบคุมได้ไม่ยาก แต่ถ้าเทียบกัน 2 คันมันเห็นความแตกต่างก็เท่านั้นเอง ยิ่งเมื่อเข้าไปสถานี Elk Test กับ Slalom ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่า ถ้าให้เลือกได้ เลือกขับแบบมีระบบ Integral Active Steering ดีกว่า
ขับในสนามแล้ว มาต่อที่ถนนด้านนอกบ้าง เอาโดยรวมแล้ว ระบบ Driving Assistant บน BMW 520d M Sport ทำงานได้ดีไม่แตกต่างกับ BMW 530e M Sport เลย เสียก็เพียงแต่ระบบควบคุมความเร็วดันไม่ใช่เป็นระบบแปรผัน และไม่มีแบบ Stop & Go ส่วนอัตราเร่งนั้น แน่นอนว่ามันจะมาช้ากว่ารถเสียบปลั๊กที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าที่คอยช่วยผลักรถในตอนออกตัว แต่พอมันตั้งหลักได้ตามสไตล์เครื่องยนต์ดีเซล มันก็วิ่งพุ่งขึ้นไปได้แล้ว ต่อเนื่องไปความเร็วสูงได้ แต่ที่ผมรู้สึกว่ามันอืดหน่อย ก็เนื่องจากที่บอกไปแล้วว่าดันไปจับตัวแรงมาก่อน มันเลยทำให้ออกอาการแบบนี้ แต่ถ้ามองเทียบกับในตลาดด้วยกัน คันนี้ไม่ยอมใครเหมือนกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ชัดเจนบน BMW 520d M Sport ก็คือช่วงล่าง M Sport ที่จะออกแนวกระด้างเอาเรื่องอยู่ แต่นี่คือเอกลักษณ์จริง ๆ เพราะจากที่เคยลอง BMW 530e M Sport รุ่นก่อนหน้านี้เมื่อ 2-3 ปีก่อน มันก็จะประมาณนี้เลย ซึ่งต่างกับตัว BMW 530e M Sport ค่อนไปข้างชัดเจน ผมว่านี่คือช่วงล่างที่ถูกใจวัยรุ่นแน่นอน แต่สำหรับชายวัยกลางคนอย่างผม ขอแบบนุ่ม ๆ หนึบ ๆ ดีกว่าครับ
ขยับมาต่อที่คันสุดท้ายกับ BMW 330 Li M Sport ที่เป็นเครื่องยนต์แบบเบนซินปกติ (วันนี้ครบเลยแฮะ ขาดรถไฟฟ้า อ่อ ของบีเอ็มดับเบิ้ลยูยังไม่มี) โดยขุุมพลังที่ใช้นั้น เป็นแบบเบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ขนาดความจุกระบอกสูบ 2.0 ลิตร ให้พลังได้สูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ถือเป็นเครื่องยนต์เบนซินที่รีดแรงม้าและแรงบิดได้มากเอาเรื่อง ขับเคลื่อนด้วยเกียร์แบบอัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sport Steptronic ตามสเปกแล้ว จะทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 6.2 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กม./ชม.
BMW 330 Li M Sport รถยนต์ใหม่ 2021 เป็นรุ่นฐานล้อยาวปกติ โดยจะยาวกว่ารุ่นปกติ 110 มม. ทำให้ตัวรถยาวรวมเป็น 4,819 มม. เพิ่มพื้นที่ในการนั่งด้านหลังให้กว้างขึ้นได้ โดยจากที่มีการบรีฟก่อนขับ มีการแจ้งว่าตัวพื้นที่ตรงหัวเข่าจะมีความกว้างเพิ่มขึ้น 43 มม. ซึ่งหลังจากลองนั่งจริงแล้วมันกว้างจริงครับ นั่งสบายสุด ๆ นั่งหลังชิดเบาะยังเหลือช่องว่างอีกเพียบ นั่งไหลตัวได้สบายเลย นอกจากนี้ยังมี ELECTRIC PANORAMA GLASS ROOF ที่ทำให้ตัวรถดูกว้างมากขึ้นไปอีก นี่จะกลายเป็นรถ Compact Sedan สำหรับผู้บริหารได้เลย
ส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจแบบกระชับบน BMW 330 Li M Sport นั้น ก็จะมีทั้งไฟหน้าแบบ LED พร้อมฟังก์ชันส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง พร้อมระบบปรับการทำงานไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam Assistant), ระบบปลดล็อกประตูอัจฉริยะ (Comfort Access System), กระจกมองข้างและกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ, ชุดตกแต่ง M Aerodynamics ล้อใส่มาเป็นขนาด 18 นิ้ว แม็กซ์อัลลอยลาย Double-spoke แบบสลับสี รัดมาด้วยยาง 225/45 R18 ที่ด้านหน้า และ 255/40 R18 ที่ด้านหลัง
ด้านในของ BMW 330 Li M Sport ตัวเบาะเป็นเบาะนั่งหนังแท้ Vernasca เบาะนั่งตอนหน้าปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่งเฉพาะฝั่งคนขับ มีที่หนุนหลังปรับไฟฟ้าสำหรับเบาะนั่งตอนหน้า, คอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec พร้อมตกแต่งภายในด้วยอะลูมิเนียมลาย Tetragon, พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M Sport มีระบบบันเทิง BMW Live Cockpit Professional หน้าระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันสั่งงานระบบ iDrive ด้วยการเคลื่อนไหวมือ (BMW Gesture Control) แพคมาพร้อมระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon ส่วนหน้าจอข้อมูลการขับขี่ ใช้เป็นระบบดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว
BMW 330 Li M Sport จัดเต็มเรื่องระบบความปลอดภัยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น
- ถุงลมนิรภัย 8 จุด
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC)
- ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC)
- ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC)
- ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS)
- ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (Brake Assist)
- ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC)
- เซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง
- กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera)
และแน่นอนว่า จะมาด้วยระบบช่วยการขับขี่ (Driving Assistant) เช่นกัน
เพียงพอแล้วกับข้อมูลเบื้องต้น เรามาเริ่มขับ BMW 330 Li M Sport กันเลยดีกว่า เริ่มต้นสถานีแรกกับอัตราเร่ง 0-100 ซึ่งถ้าดูตามสเปกแล้ว เครื่องยนต์ 258 แรงม้า จะทำได้ที่ 6.2 วินาที แต่ตอนวิ่งจริงได้รอบที่ 1 7.35 วินาที รอบที่ 2 ได้ 6.84 วินาที (Condition เดียวกับทุกรุ่นที่เทสวันนี้) ซึ่งผมว่าดีมากเลยนะ อัตราเร่งมาตั้งแต่กดไปเลย แล้วดึงอย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด แล้วด้วยความที่น้ำหนักรถไม่ได้เยอะด้วย ทำให้การเร่งสามารถทำได้ดีไม่แพ้ BMW 530e M Sport เลย และแน่นอนว่าดีกว่าตัวดีเซลด้วย
ขยับมาที่สถานีการเข้าโค้งบ้าง โดย BMW 330 Li M Sport ผมว่าหน้าจะไวกว่าตัว 5 Series ประมาณหนึ่ง ส่วนการเข้าโค้งนั้นดีกว่า BMW 520d M Sport แต่ยังเนียนสู้ BMW 530e M Sport ไม่ได้ เช่นเดียวกับสถานี Elk Test และ Slalom ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
เมื่อขยับออกมาขับข้างนอก BMW 330 Li M Sport ก็ยังเป็นรถที่ขับได้ง่าย คล่องตัวเช่นเคย แต่อย่างที่บอกไปแล้วว่า คันนี้มันมีดีที่ฐานล้อยาว ดังนั้นคนที่นั่งด้านหลังนี่คือสวรรค์ของการเดินทางเลย ช่วงล่างเซ็ตมาได้ดีกว่ารุ่นปกติ มีความนุ่มนวลมากขึ้น ไม่ถึงกับนุ่มมาก อาจจะมีความกระด้างเล็กน้อยตามสไตล์ของบีเอ็มดับเบิ้ลยู แต่ไม่ได้มากมายอะไร นั่งสบายกว่าตัวดีเซลที่เทสวันนี้แน่นอน และที่สำคัญคือเรื่องอัตราเร่งของเครื่องยนต์มันขับสนุกมาก ยิ่งในช่วงที่รถพอวิ่งได้ แล้วต้องใช้ฝีมือในการมุดเข้าตามช่องการจราจร มันทำได้สนุกเลย ด้วยอัตราเร่งที่ดี พวงมาลัยไฟฟ้าที่ทำงานได้แม่นยำ ตัวรถที่ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ถึงแม้จะมีฐานล้อกว้างขึ้นก็ตาม แต่รถยังคงขับได้คล่องตัว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรถตระกูล 3 Series ถึงได้ครองใจชาววัยรุ่นได้ดีเสมอมา
หลังจากการขับทั้ง New BMW 530e, 520d, 330Li ที่เป็นชุดแต่ง M Sport ทั้ง 3 รุ่นในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง (คันที่ 1 กับ 2 ได้เวลา 45 นาที) ด้วยเวลาน้อยไปนิด เลยไม่อยากสรุปว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ต้องมีเวลาอยู่กับมันนานกว่านี้ถึงจะบอกได้ รู้แค่ว่าถ้าถามว่าถูกใจคันไหนที่สุด ก็บอกแบบฟันธงได้เลยว่าเป็น BMW 530e M Sport รองมาเป็น BMW 330Li M Sport และสุดท้ายคือ BMW 520d M Sport เรียงลำดับแบบนี้ที่ถูกใจคือเรื่องช่วงล่างมาอันดับ 1 เลย ตามมาด้วยความแรงของเครื่องยนต์ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ผมว่าทั้ง 3 คันไม่ได้ต่างอะไรกันมาก ส่วนราคาจำหน่ายก็มีดังนี้ครับ
BMW 530e M Sport ราคา 3,739,00 บาท
BMW 520d M Sport ราคา 3,539,000 บาท
BMW 330Li M Sport ราคา 2,899,000 บาท
โดยราคาทั้งหมดนี้ รวม BSI แบบ Standard แล้วครับ
ผมว่า BMW 530e M Sport คือรถสำหรับผู้บริหารอย่างแท้จริง นั่งนุ่มนวล ขับสบาย แต่ถ้าอยากซัดกับเขาบ้างก็กดได้เลย ไม่ต้องห่วงใคร กดกันแบบกระจายได้เลย แต่ถ้างบไม่ได้เยอะขนาดนั้น จะมาจับเป็น BMW 330Li M Sport ก็นั่งสบายได้เหมือนกัน แรงก็แรงได้เช่นกัน แต่ราคาต่ำกว่าเกือบล้าน แต่ถ้าขอบความสนุกในการขับ และเน้นความประหยัด ก็ต้องเลือกเป็น BMW 520d M Sport แต่ท้ายสุดแล้ว รถคันไหนจะเหมาะกับคุณบ้าง คงต้องไปลองขับ ลองจับ ลองนั่งด้วยตัวเอง แล้วคุณจะรู้เองว่าคันไหนใช่สำหรับคุณครับ
ทดสอบและเรียบเรียงโดย EARTHPARK02
ติดตามข่าวสารรถยนต์รวดเร็วก่อนใครได้ที่ AUTODEFT.com